บทที่ 1192 ทรยศ
บทที่ 1192 ทรยศ
กู้เสี่ยวหวานได้ยินคำว่าคอยปรนนิบัติรับใช้ก็หัวเราะพรืด “เจ้าเป็นผู้ชาย ข้าจะให้เจ้ามาคอยรับใช้ข้าได้อย่างไร เจ้าแค่คอยปรนนิบัติดูแลเหลียนจือให้ดี ๆ ดีต่อนางตลอดไปก็ไม่เสียแรงเปล่าที่นางปักใจต่อเจ้าแล้ว”
ถังซ่านจู่พยักหน้าติด ๆ กัน “ข้ารักนาง ตั้งแต่ที่ตกหลุมรักนาง ข้าก็นับว่านางเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของข้าแล้ว”
ความรู้สึกที่แท้จริงของถังซ่านจู่พรั่งพรู่ออกมายามที่มองเกาเหลียนจือ ประกายในดวงตานั้นก็ทำให้ใจคนรู้สึกหวั่นไหว
กู้เสี่ยวหวานเห็นคู่รักคู่นี้รักกันแต่ไร้วาสนาที่จะเคียงคู่ เพื่อที่จะช่วยพวกเขาและก็เพื่อที่จะช่วยน้องชายของตัวเอง กู้เสี่ยวหวานตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็จะต้องช่วยเหลือพวกเขา
เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือก็คิดอยู่ตลอดว่าจะพูดเรื่องนี้กับคู่สามีภรรยาเกาต้าผิงอย่างไร
และยังมีถังซ่านจู่ที่หลังจากกลับมาก็บอกเรื่องทุกอย่างแก่กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือ
ที่แท้เมื่อสองปีก่อน หลังจากที่เกาเหลียนจือและถังซ่านจู่รู้จักกัน ทั้งสองต่างก็ค่อย ๆ ถูกอีกฝ่ายดึงดูด
คนหนึ่งเป็นบัณทิตมีความรู้มากความสามารถ รูปร่างหน้าตาดี
คนหนึ่งเป็นผู้หญิงบอบบางร่าเริงดูมีชีวิตชีวา ต่างฝ่ายราวกับว่ารู้จักกันมานานแล้ว จึงก้าวเข้ามาในหัวใจของอีกฝ่ายทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ เกาเหลียนจือกับถังซ่านจู่ก็เริ่มเข้าใจความรักและมีความสัมพันธ์กันอย่างลับ ๆ
ทว่าหลังจากเรื่องของทั้งคู่ถูกเกาต้าผิงสองสามีภรรยารู้เข้าในภายหลังก็ได้คัดค้านเกาเหลียนจือกับถังซ่านจู่ไม่ให้ไปมาหาสู่กันอย่างเด็ดขาด
เพื่อที่จะตัดขาดความคิดถึงของเกาเหลียนจือ จึงได้กักขังเกาเหลียนจือไว้ในบ้าน และยังไปที่บ้านตระกูลถังเพื่อพบพ่อของถังซ่านจู่ ไม่ให้ถังซ่านจู่มาเสียเวลากับลูกสาวของเขา
ถังซ่านจู่เป็นคนที่หยิ่งผยองขนาดไหน แม้ว่าในใจจะชอบเกาเหลียนจือมาก แต่เมื่อเห็นพ่อแม่ของนางต่างไม่เห็นด้วยที่จะอยู่ด้วยกัน ก็คิดที่จะเก็บซ่อนความรักเอาไว้ในใจ
หลังจากที่เกาเหลียนจือรู้เข้าก็แอบวิ่งไปที่บ้านถัง และพูดกับถังซ่านจู่ว่าจะอยู่กับเขาตลอดไป
ในตอนนั้น ถังซ่านจู่กำลังมองเกาเหลียนจืออย่างแน่วแน่ รู้สึกเพียงว่าตัวเองจะต้องอยู่กับแม่นางผู้นี้ไปชั่วชีวิต นางมุ่งมั่นต้องการที่จะอยู่กับเขาขนาดนั้น ตัวเองจะยังพูดอะไรได้อีก
ทั้งสองอยู่ด้วยกันเช่นนี้อย่างลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่ให้พ่อแม่ของนางรู้
กู้เสี่ยวหวานฟังอย่างเงียบ ๆ และเหลือบมองถังซ่านจู่อยู่บ่อยครั้ง
ในคำพูดของถังซ่านจู่ก็มีเพียงแต่เวลาที่กำลังพูดถึงเกาเหลียนจือที่ดูตื่นเต้นมาก เวลาอื่น ๆ นั้นก็ดูเฉยชาธรรมดา
โดยเฉพาะน้ำเสียงในคำพูดของเขานั้นฟังไม่ออกถึงความไม่พอใจของเขาที่มีต่อพ่อแม่แซ่เกาเลย เพียงแค่เล่าเรื่องนี้ออกมาอย่างธรรมดามาก สุดท้ายแล้วเขายังพูดอีกว่า เขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่เกาเหลียนจือ ตัวเขาเองไม่มีอะไรสักอย่าง สิ่งเดียวที่มีก็มีเพียงหัวใจที่รักเกาเหลียนจือ
แต่ก็เป็นเพราะว่าหัวใจดวงนี้ เขาถึงจะต้องมุมานะพยามยามดิ้นรนเพื่อให้เกาเหลียนจือมีชีวิตที่ดี
เมื่อมองดวงตาที่แน่วแน่ของถังซ่านจู่ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกว่าถ้าหากสามีภรรยาเกาต้าผิงต้องการพรากคู่รักที่รักใคร่แยกออกจากกัน ก็กลัวว่าเกาเหลียนจือจะต้องไม่มีความสุขไปชั่วชีวิตนี้
ผู้ชายคนหนึ่งถูกพ่อแม่ของหญิงสาวที่รักเย้ยหยัน แต่ต่อหน้าคนภายนอกกลับไม่กล่าวโทษพ่อแม่ของนางแม้แต่คำเดียว ตรงกันข้ามยังวางตัวเพื่อคำนึงถึงพวกเขา จิตใจเช่นนี้จะต้องเจอกับอุปสรรคเพียงชั่วคราว ในอนาคตข้างหน้าจะมีอนาคตที่สดใสแน่
กู้เสี่ยวหวานตัดสินใจที่จะช่วยพวกเขา
แต่ก่อนที่จะแก้ไขเรื่องของเกาเหลียนจือกับถังซ่านจู่ ก็ต้องแก้ไขเรื่องของเกาเหลียนจือกับกู้หนิงอันก่อน
กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าถ้าหากคู่สามีภรรยาเกาต้าผิงยืนกรานว่าต้องการให้กู้หนิงอันแต่งงานกับเกาเหลียนจือ ตระกูลกู้ก็จะไม่สามารถหาข้อโต้งแย้งได้
แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะรู้ว่าเกาเหลียนจือกับถังซ่านจู่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันแล้ว แต่ว่าแม่นางที่ดีเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานใจไม่แข็งพอที่จะเอาชื่อเสียงของคนอื่นไปเดิมพัน
กู้เสี่ยวหวานอยากช่วยก็ต้องช่วยโดยที่ไม่มีใครต้องถูกทำลาย
และการตัดสินใจนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากฉินเย่จือ
ทั้งสองคิดหาวิธีมากมายเพื่อให้พ่อแม่ตระกูลเกาปฏิเสธกู้หนิงอันตรง ๆ แต่ว่าจะปฏิเสธอย่างไรเล่า
ถ้าหากตระกูลเกาให้ความสำคัญกับกู้หนิงอัน เช่นนั้นกู้หนิงอันจะต้องมีบางอย่างที่ดึงดูดพวกเขาแน่ คงไม่ใช่แค่เพราะว่ากู้หนิงอันก็เป็นคนตระกูลกู้
นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลกู้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในตอนนี้ งั้นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เกรงว่าจะมีเพียงตระกูลเกาเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงบอกเกาเหลียนจือไว้ว่าจะต้องเป็นสะใภ้ใหญ่หรอกหรือ?
ถ้าเกาเหลียนจือเป็นหรือตาย ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นสะใภ้ใหญ่ หากเอาความตายมาใช้ขู่เล่า?
คู่สามีภรรยาเกาต้าผิงรักลูกสาวคนนี้มาก บางทีอาจจะทำตามความต้องการของเกาเหลียนจือ
กู้เสี่ยวหวานพูดเรื่องนี้กับเกาเหลียนจือ เกาเหลียนจือก็ตกลงและยังสาบานว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแน่นอน
เกาเหลียนจือถือโอกาสตีโพยตีพายโวยวายหาเรื่องประท้วงอดอาหาร
วันนั้นก็เป็นวันที่สามที่เกาเหลียนจือร้องไห้งอแง กู้เสี่ยวหวานยังไม่ทันที่จะตื่นขึ้นก็ได้ยินเสียงตะโกนและเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นจากข้างนอก
เสียงนั้นดังราวกับว่ากลัวคนอื่นจะไม่ได้ยิน เสียงนี้ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็เหมือนกับหยุดอยู่ที่ประตู
กู้เสี่ยวฟังอย่างตั้งใจ ในใจเต้นตึกตัก ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของสวีซื่อและยังมีเกาซื่อด่าทออยู่ที่ประตู
นางรีบแต่งตัวก็ได้ยินกู้ฟางสี่เคาะประตูอยู่ข้างนอก “เสี่ยวหวาน เจ้ารีบตื่นเร็วเข้า เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานสวมเสื้อผ้ามือก็สั่นเล็กน้อยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แท้ที่จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
รอจนกระทั่งนางสงบลงและสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เมื่อมาถึงประตูก็เห็นกู้ฟางสี่
เมื่อนางแสร้งทําเป็นใจเย็นและสวมเสื้อผ้าเสร็จ มาถึงประตูก็เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของกู้ฟางสี่ “เสี่ยวหวาน คนของตระกูลเกาส่งเกาเหลียนจือมาที่ประตูบ้านพวกเราแล้ว”
“พวกเขาคิดจะทำอะไร” กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าเกาเหลียนจือแกล้งอดอาหารประท้วง แท้ที่จริงแล้วสามีภรรยาเกาต้าผิงต้องการจะทำอะไรกันแน่
“พวกเขาบอกว่าเกาเหลียนจือเป็นคนของตระกูลกู้แล้ว หากอยากตายก็ต้องตายที่ตระกูลกู้” กู้ฟางสี่ลากกู้เสี่ยวหวานวิ่งไปที่ประตู
เมื่อมาถึงตรงประตูก็เห็นกลุ่มคนพากันยืนอยู่ตรงหน้าประตูชะเง้อคอออกไปดูความคึกคัก
เกาต้าผิงลากรถสามล้อที่ใช้บรรทุกสินค้ามา บนรถก็มีเกาเหลียนจือกำลังนั่งอยู่ ทั้งร่างราวกับคนโง่เขลา นั่งอยู่บนรถอย่างโง่งม เนื่องจากไม่ได้แต่งหน้าแต่งตัว ผมจึงแผ่สยายยุ่งเหยิง ท่าทางที่จนมุมนั้นราวกับว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
สวีซื่อก็คุกเข่าอยู่ข้างรถ นางก้มหัวให้เกาเหลียนจือไปด้วยพลางร้องไห้ไปด้วยไม่หยุด
ส่วนเกาซื่อยืนเท้าเอวอยู่ตรงกลางด่าตระกูลกู้อย่างสาดเสียเทเสีย
ด้วยคำด่าทอนี้นั้นมากมายจนยากที่จะฟัง