ตอนที่ 145 ราชวงศ์ในภูเขาแดง (2)
แสงอ่อนของไข่มุกเชื่อมสวรรค์ในเส้นทางยาวและมืด ดูมืดและเงียบอย่างเห็นได้ชัด
ชุดคลุมยาวสองสีขาวดำ เดินหน้าไปช้าๆ ทางซ้ายและขวาของเส้นทาง
ฝุ่นควันเบาบางปกคลุมเส้นทาง ลอยขึ้นเบาๆ ตามชุดคลุม
ศีรษะของสองคน ทุกระยะห่างราวสิบจั้งจะเห็นไผ่กลมอิ่มเอิบเปล่งแสงอ่อนห้อยอยู่บนหน้าผา
ไข่มุกเชื่อมสวรรค์แต่ละเม็ดลอยอยู่บนเส้นทางภูเขาแดง เหมือนแช่ในน้ำทะเลจะเสียน้ำหนักไป แต่ความจริงถูกคนใช้กำลังมหาศาลที่อธิบายไม่ถูกดันไว้ ลอยขึ้นลง ในนั้นซ่อนแสงอ่อนแคบยาว แกว่งไกวตามสายลม เหมือนตะเกียงไฟ สะท้อนภาพของเส้นทางออกมา
บุรุษหนุ่มชุดคลุมขาวมีสีหน้าจริงจัง
หลี่ไป๋หลินหรี่ตาลง เขาคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าเมื่อเข้าภูเขาแดงมาก็อาจจะเจอกับคนที่ตนไม่อยากเจอมากที่สุด แต่เขาไม่นึกเลยว่าจะเจอกันเร็วขนาดนี้ และยังไร้เหตุผลเช่นนี้ หลังจากเดินเข้ามาในเส้นทางด้านหยินและหยางของภูเขาแดง เพียงแค่เกือบครึ่งก้านธูป สองคนก็เจอกัน
เขาไม่คาดคิดเลยว่าในเส้นทางนี้…นอกจากไข่มุกเชื่อมสวรรค์แล้วจะไม่มีอะไรเลย
ดังนั้นสองคนเลยได้แต่เดินหน้าไปเงียบๆ
หลี่ไป๋หลินมีสีหน้าไม่แน่นอน นึกถึงความคิดที่ผุดออกมาช้าๆ ตลอดปลายปีมานี้ของตน เขาเลี่ยงสบตากับไข่มุกเชื่อมสวรรค์ เลือกก้มหน้าลงเล็กน้อย เงียบไม่พูด
หลี่ไป๋จิงมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อยเช่นกัน เขาไม่มีรอยยิ้ม แต่ก็ไม่เคร่งขรึม เดินมาตลอดทาง เขาเงยหน้านิดๆ สบตากับไข่มุกเชื่อมสวรรค์ทีละเม็ด ในดวงตามีความงุนงงเสี้ยวหนึ่ง เหมือนกำลังถามทางนั้นของไข่มุกเชื่อมสวรรค์
ท่าน…นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
ไข่มุกเชื่อมสวรรค์หมายถึงว่าภาพจริงทั้งหมดในเส้นทางนี้ จะสะท้อนไปถึงบุรุษที่ถือบ่อเกิดไข่มุกเชื่อมสวรรค์นั้นใต้ฟ้าต้าสุย
ตอนนี้บุรุษคนนั้นน่าจะนั่งอยู่ในวัง
เชื่อมฟ้าสองคำนี้ คือมือตาเชื่อมฟ้า
วันล่าเหยื่อบนที่ราบสูงเทพสวรรค์ยังคงดำเนินต่อไป ผู้บำเพ็ญแดนบูรพากับประจิมกำลังล่าสังหารเผ่าปีศาจบุพกาล…เดิมทีหลี่ไป๋จิงคิดว่าเสด็จพ่อของตนอยากจะเห็นฝีมือของตน เลยจัดการแข่งขันที่ภูเขาแดงแห่งนี้ ให้ตนตัดสินอย่างยุติธรรมกับน้องชายที่แยกกันสองดินแดน
ไข่มุกเชื่อมสวรรค์หมายถึงเสด็จพ่อของตนอยู่
ห่างไปหมื่นลี้ ก็อยู่แค่เอื้อม
หลี่ไป๋จิงมีสีหน้าไม่แน่ใจ เขาชำเลืองตามองบุรุษหนุ่มผอมสูงหน้าขาวซีดข้างกายตน พบว่าอีกฝ่ายเหมือนจะเติบใหญ่แล้วจริงๆ แก้มมีเส้นสายของความแน่วแน่เพิ่มมาเล็กน้อย มองทีแรกยังทำให้ตนแปลกตาแต่ก็คุ้นเคย
การพบกันปลายปีของทุกปี หลี่ไป๋จิงต้อนรับน้องชายคนนี้ด้วยรอยยิ้มตลอด
แม้น้องชายคนนี้จะมีชีวิตน่าเศร้ามายี่สิบปี อดทนอดกลั้นมาตลอด อยู่ต่อหน้าคนอื่นก็แสร้งให้ดูน่าสงสาร และยังพยายามประจบตน แต่หลี่ไป๋จิงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าขอแค่ตนรอน้องสามเติบโตขึ้นอีกหน่อย ก็จะลุกขึ้น สวมใบหน้าเฉยชาอีกครั้ง จะชิงของที่ล้ำค่าที่สุดในใต้ฟ้าต้าสุยกับตน
ความจริงพิสูจน์แล้ว เขาเดาไว้ไม่ผิด
แดนประจิมยิ่งใหญ่ขึ้นเร็วเช่นนี้ น้องชายที่แสดงออกว่าเปราะบางคนนั้นของตนรวบรวมยอดฝีมือยุทธภาพมากลุ่มหนึ่ง กุมเขาศักดิ์สิทธิ์สองลูก และยังดึงสำนักเต๋าแห่งแดนประจิม กระทั่งใช้สิทธิ์ ‘อาจารย์’ นั้นของเสด็จพ่อ สวีชิงเค่อที่นั่งข้างหลี่ไป๋หลิน หลังพบกันคุณชายน้ำค้างที่เมืองหลวง ก็ถูกอาจารย์ตนหานเยวียจัดให้เป็นบุคคลที่แดนบูรพาต้องรับมืออย่างระมัดระวัง ดูถูกศักยภาพไม่ได้เลย
หลายปีมานี้ แรงกดดันที่แดนบูรพามีต่อแดนประจิมยังคงอยู่ แต่กำลังกลับเริ่มลดน้อยลงอย่างไร้การควบคุม คำพูดของแดนบูรพาเริ่มใช้ไม่ได้ผลในแดนประจิม เขาหลี่ไป๋จิงยังคงเป็นเจ้าในแดนบูรพา แต่ยื่นมือข้างหนึ่งในแดนประจิม อยากจะก่อกวนเมฆลมกลับยากขึ้นเรื่อยๆ
นี่ยังไม่เท่าไร หลายปีมานี้ การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุด
คือทุกปีที่พบกัน เด็กอ่อนแอที่น้ำมูกไหลดูน่าสงสารนั่น ยืดหลังตรงต่อหน้าตน ไม่แสร้งประจบอีก
…….
หยุดเดิน
หลี่ไป๋หลินยืนข้างพี่ชายของตน เขามีสีหน้าสงบนิ่งและเป็นธรรมชาติ สภาพจิตใจกลับไม่ใช่เช่นนี้ เดินเคียงข้างพี่ชายของตน แม้จะไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เงียบ แต่ก็ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก่อนในอดีต
เหมือนโยนหินสองก้อนลงในทะเลสาบจิตที่แน่นิ่ง
คลื่นกระเพื่อม
สิบกว่าปีมานี้ ทุกปีที่กลับเมืองหลวง เขาจะป่วยหนักล้มนอนออกมาพบไม่ได้ หรือไม่ก็ทำท่าทีทึ่มทื่อน่าสงสาร ข้างในซ่อนความคับอกคับใจไว้เท่าไรถึงได้อดทนมาจนถึงตอนนี้ได้
ลืมตาอ้าปากหรือ ไม่ หลี่ไป๋หลินรู้สึกว่าตอนนี้ตนเหยียดหลังตรงได้ พึ่งพิงตนเอง ไม่ใช่คนอื่น เขาไม่ซาบซึ้งใจใคร เขาชอบความรู้สึกที่ได้ยืนและพูด อีกทั้งเขายังคิดมากกว่าเดิม
ผนังหินทางซ้ายและขวามีไข่มุกเชื่อมสวรรค์ลอยเต็มไปหมด นั่นหมายความว่าเสด็จพ่อของตนกำลังมองทุกอย่างที่เกิดขึ้น
หลี่ไป๋หลินถอนหายใจเบา ยื่นฝ่ามือออกมาแนบกับผนังหิน พลังหนาแน่นในฝ่ามือ เพราะความปั่นป่วนของสภาพจิตใจทำให้พุ่งออกมาอย่างไร้การควบคุม กระเทือนหินแตก หลังปล่อยมือก็เกิดเป็นรอยดอกบัวไม่เล็กไม่ใหญ่บนผนังหิน
หลี่ไป๋หลินรู้ว่าเส้นทางนี้อีกไม่ไกล แต่จะต้องเกิดอะไรขึ้นแน่
…….
องค์ชายรองหลี่ไป๋จิงที่สวมชุดคลุมดำพลันพูดขึ้น “หลายปีมานี้ เจ้าไม่ง่ายเลย”
หลี่ไป๋หลินเพ่งสายตา
เดินเงียบๆ มาช่วงหนึ่ง ในเส้นทางภูเขาแดงแห่งนี้ไม่ใช่อย่างที่ตนคิด ที่จะมีเผ่าปีศาจบุพกาลที่สามกรมต้าสุยเลี้ยงไว้โดดออกมา ดูท่าเสด็จพ่อของตนคงไม่แยแสจะใช้อุบายเช่นนี้…ให้ตนกับหลี่ไป๋จิงรวมกันในภูเขาแดง เดินไปช้าๆ แบบนี้ ก่อนเดินสุดทาง จะพูดอะไร จะทำอะไรต่างหากคือสิ่งที่บุรุษคนนั้นอยากเห็น
แน่นอนว่าจะไม่มีการต่อสู้กันรุนแรง
ดังนั้นหลังสองคนเงียบอยู่นานมาก พี่ชายของตนพูดก่อน เอ่ยมาเช่นนี้ ดูเป็นคำพูดที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
หลี่ไป๋จิงเอ่ยราบเรียบ “ข้าไม่ง่าย เจ้าก็ไม่ง่ายเช่นกัน”
สองคนอยู่ในเมืองหลวง ก้มหน้าไม่พบเงยหน้าพบ แต่เรื่องจุกจิกพวกนั้นที่อาจจะทำให้พบกัน ถูกสองคนปัดออกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย…การพบกันที่ภูเขาแดง เป็นครั้งแรกหลังจากที่จวนเขาคราม
นี่เป็นการต่อสู้ที่ไร้เขม่าควัน
ตั้งแต่สถาปนาต้าสุยมา การต่อสู้เช่นนี้ดำเนินมานานมาก ผู้ชนะเป็นราชา ผู้แพ้เป็นโจร
บางทีอาจเป็นเพราะทุกคำพูดของพวกเขาจะไปถึงหูบุรุษคนนั้นในไข่มุกเชื่อมสวรรค์…
หลี่ไป๋หลินก้มหน้าลง สีหน้าดูเป็นธรรมชาติมาก แต่การกระทำเล็กน้อยกลับไม่เป็นธรรมชาติขนาดนั้น
อย่างเช่นตอนที่เขาตึงเครียดจะมีเหงื่อออกมือ ดังนั้นตอนที่เขาเดินทางในเส้นทางภูเขาแดง จึงเช็ดมือกับแขนเสื้อหลายครั้งมาก…นี่เป็นการกระทำที่เล็กน้อยมาก แต่ก็ยังไม่พ้นสายตาหลี่ไป๋จิง
เหตุใดถึงตึงเครียด
เพราะหลี่ไป๋หลินจะพูดผิดไม่ได้เลย
หลี่ไป๋จิงก็ไม่ได้เช่นกัน
พวกเขาเดินในเส้นทางนี้
สิ่งที่พวกเขาแสวงหา สิ่งที่กระทำ สิ่งที่ต่อสู้ สิ่งที่แย่งชิง สิ่งที่ฟันฝ่าออกไป…เหตุผลมากมายทำให้พวกเขาผูกเข้าด้วยกัน
มองเหตุผลต่างๆ สิ่งที่พูดได้ชัดเจนก็ไม่อาจพูดได้ชัดเจน เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดในนั้น…ความจริงคือความแคบของเส้นทาง ทำให้สองชุดคลุมขาวกับดำต้องเบียดกัน ดูเหมือนพี่น้องที่รักกันจริงๆ
……
เลี่ยงการพบกันก็เพราะไม่อยากพบกัน
เพราะหากพบกันก็ยากจะเอ่ยอันใดได้
หลี่ไป๋จิงเกิดความคิด จากนั้นหัวเราะเสียงเบา ระหว่างทางก็พูดไปเรื่อย ตั้งแต่ชมตะวันจันทราของแดนบูรพาไปจนถึงเทศกาลดอกไม้ของเมืองหลวง พูดถึงเทศกาลบาตรพระของเขาวิญญาณ พูดว่าเคยไปที่ใดในหนึ่งปีมานี้บ้าง เจอใครบ้าง เกิดเรื่องน่าสนใจหรือไม่น่าสนใจอะไรบ้าง
หลี่ไป๋หลินรับมือตามสถานการณ์ ความร้อนรนเล็กๆ ในใจนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เขาขมวดคิ้ว เดินต่อไปเช่นนี้ หรือจะไม่มีวันสุดทางกัน
หลี่ไป๋หลินเหงื่อเปียกมืออีกครั้ง เหงื่อซึมออกมา เขามองไข่มุกเชื่อมสวรรค์นั้น พบว่าผนังหินสองด้านมีหมอกจางๆ วนเวียนอยู่…
ม่านตาเขาหดตัวลง
ผนังหินที่เพิ่งโดนตนตบฝ่ามือแตกเมื่อครู่เว้าลงไป รอยดอกบัวนั้นยังอยู่ เมฆหมอกวนเวียน หินแตกบนพื้นยังคงกระจายอยู่ใต้เท้า…มิน่าถึงเดินไม่ถึงสุดทางเสียที เพราะตนกับพี่รองเดินวนเป็นวงกลม
หมอกข้างหน้าหนาขึ้นเรื่อยๆ
ในความคิดหลี่ไป๋หลิน ปรากฏภาพมากมายขึ้นปานสายฟ้าแลบ
ราวกับลูกธนูที่พุ่งออกมา ผ่านทะเลสาบจิต ตอนที่จะถึงอีกฝั่งก็ถูกพลังงานไร้ชื่อดึงไว้ ดังนั้นเลยลากน้ำทะเลสาบไปข้างใน เชื่อมเศษความทรงจำระหว่างทาง รวมภาพที่แตกกลับมา
ตนจะเปิดประตูใหญ่ของหอบัว
เสาสูงของจวนเขาครามพังลง หมอกภูเขาอบอวล
คืนหนึ่งที่เดินกางร่มกับคุณชายผ่านจวนน้ำค้าง
ตอนที่บีบยันต์หยกแตกกลับจากเขาสู่ซานมาถึงเมืองหลวง ได้สบตากับองค์รัชทายาทบนหออยู่ไกลๆ
ตนขึ้นรถม้าดอกบัวสีขาวนั้นใต้หอสามวิสุทธิ์ วันนั้นที่ออกจากแดนประจิมพร้อมกับคุณชายสวีชิงเค่อ หอสามวิสุทธิ์ถูกตนเกลี้ยกล่อมจนตัดสินใจในครั้งสุดท้าย
ความทรงจำพวกนี้แล่นเข้ามา พุ่งไปข้างหน้าจนมาถึงตอนแรกสุด…ตนตัดสินใจจะยืนขึ้น จะกำสิ่งนั้นในมือ คุณชายตบบ่าเขา ยืนกลางหมอกบนยอดเขา พูดคำนั้นกับตน
ราตรีมืดมิดยาวนาน แสงไฟดาราเป็นจุด
หลี่ไป๋หลินส่ายหน้า หน้าซีดขาว เขามองไข่มุกเชื่อมสวรรค์ พูดไม่ออกสักคำ ห่างไปพันลี้หมื่นลี้ เขารู้ว่าบุรุษคนนั้นเห็นสีหน้าตนในตอนนี้
ทุกคนบอกว่าเสด็จพ่อของตนรู้ทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง และทำได้ทุกสิ่ง
หลี่ไป๋หลินไม่เชื่อ
หากคนหนึ่งปิดความลับไว้แน่นหนา ไม่ยอมปริปาก เช่นนั้นจะมีใครรู้ได้
เสียงหนึ่งดึงเขากลับมาความจริง
“เฮ้ย…”
เสียงของหลี่ไป๋จิง
“หมอกจางแล้ว”
………………………..