ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ! – ตอนที่ 10 คนขับรถม้า มาร์คัส

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

ท้องฟ้ายามรัตติกาลไร้ซึ่งหมู่ดาว โรงแรมแห่งนี้ยังคงเปิดให้บริการตามปกติแม้จะเป็นยามค่ำคืนที่ดึกสงัด ราวกับว่าพร้อมจะต้อนรับลูกค้าคนไหนก็ตามที่มาขอเข้าพักยังที่แห่งนี้

หญิงสาวผมสีน้ำเงินสลวยนอนฟุบหลับอยู่บนเคาน์เตอร์พนักงานเก็บกุญแจ ใบหน้ายามหลับสนิทดูสงบนิ่ง แขนทั้งสองข้างแทนที่หมอนนุ่มๆ เสียงกรนเล็กๆ ของเธอดังเบาๆ ในห้อง แม้แต่ยามที่หลับสนิท เธอก็ดูเหนื่อยหน่ายและอ่อนล้า

เอี๊ยด เสียงเปิดประตูเบาๆ ดังขึ้น เด็กสาวในชุดฮู้ดสีน้ำตาล สวมหน้ากากอนามัยปิดปาก สวมกางเกงขาสั้นและสวมรองเท้าหนังสีดำเดินออกมาจากหลังประตู ดวงตาสีแดงดูนิ่งเฉยและไม่แยแสสิ่งใด

วาคาดะ ซายูริลูบผมตัวเองเบาๆ เป็นการตรวจสอบความเรียบร้อยของการแต่งตัวของตัวเอง ก่อนหน้านี้ราวๆ สิบนาที เด็กสาววางยาฮันน่าเพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายหลับไหล และสาเหตุที่เธอต้องลงมือดึกขนาดนี้นั่นก็เพราะว่า เธอรู้ว่าดึกๆ แบบนี้ลูกค้าจะยังไม่มา และจากที่วิเคราะห์จากความเหน็ดเหนื่อยของโรนาแล้วนั้น อีกฝ่ายจะต้องงีบหลับอย่างแน่นอน

เธอเลยฉวยโอกาส หาจังหวะที่เหมาะสมในการแอบออกมาจากห้อง เธอมัดผมของตัวเองให้กลายเป็นทรงหางม้า ก่อนจะสวมหมวกของเสื้อฮู้ดทับอีกทีหนึ่ง

จากนั้นเด็กสาวก็เดินทางออกจากโรงแรม บังเอิญสุดๆ ที่แม่สาวหูแมวตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับแขกก็กำลังแอบหลับอยู่ นั่นทำให้เธอสามารถแอบออกมาได้อย่างง่ายดาย

ท้องฟ้ายามรัตติกาลทำให้ใจของเธอสงบ ยูริกำลังคิดจะหาเหยื่อ ได้เวลาทำหน้าที่ในฐานะของฆาตกรต่อเนื่องจริงๆ จังๆ สักที ตั้งแต่ที่มายังโลกใบนี้ เธอก็แทบลืมตัวตนเก่าของตัวเองไปแล้ว

แต่วันนี้แหละที่ฆาตกรคนนี้จะได้เฉิดฉาย แต่คำถามก็คือ ควรเลือกเหยื่อยังไงดีล่ะ เธอไม่ค่อยมีของสำหรับก่อคดีฆาตกรรมมากนัก ไม่มีผ้าสำหรับปูรองพื้นเพื่อไม่ให้มีคราบเลือด อาวุธก็มีเพียงแค่มีดด้วย

ถ้าเข้าใจไม่ผิด จากที่ถามจากฮันน่ามา มิสเตอร์ไบรอันตายเพราะเด็กจรจัดแปลกหน้า เด็กนั่นคือพาหะนำเชื้อวัณโรค ทำให้มิสเตอร์ไบรอันเสียชีวิตจากโรคนั้น ส่วนเด็กนั่นป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง

พรุ่งนี้ฮันน่าต้องเข้าร่วมพิธีศพวันแรก ตอนนี้เธอต้องใช้เวลาทั้งหมดที่มีในการสังหารเหยื่อสักตน

เธอไม่ได้ทำแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์อะไรเป็นพิเศษ แต่เพราะมันคือหนึ่งในความสุขของเธอต่างหาก แม้การมายังโลกใบนี้จะทำให้เธอได้สัมผัสกับชีวิตสงบสุขดุจดั่งนิยายแนวชีวิตประจำวันก็ตาม แต่เธอก็ไม่ได้ปรารถนาสิ่งเหล่านั้น

ความพินาศและความโกลาหลต่างหากล่ะที่เธอต้องการ

สำหรับเรื่องปริศนาต่างๆ ที่ยังคาใจ ทั้งเรื่องเทพมารเบนิลกับดวงจันทร์หายนะทรีอาร์ และเรื่องของเสียงเพรียกน่าขนลุกในความฝัน เธอค่อยไปสืบหาในวันหลังก็ได้ เธอพอเดาได้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ปริศนาที่ซับซ้อนอะไรมาก เรื่องของเทพมารเบนิลอาจจะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ประชาชนบนโลกใบนี้ แต่ที่เธอไม่รู้ก็เพราะเธอไม่ใช่คนของโลกใบนี้ตั้งแต่ต้น เลยมีความรู้เป็นศูนย์

แต่ไอ้ความฝันนั่นต่างหากล่ะที่ทำเธอกังวล ตอนแรกเธอก็คิดว่ามันเป็นแค่ฝันร้ายจากผลกระทบของจันทร์หายนะซะอีก แต่พอลองสอบถามจากโรนาดูแล้ว อีกฝ่ายบอกว่าในบางครั้งฝันที่ได้รับก็เป็นแค่ฝันธรรมดาๆ แต่ในบางครั้ง ความฝันก็เกิดมาจากวิวรณ์ของเทพ ลางสังหรณ์ ความทรงจำในอดีต หรือบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

และเมื่อเธอถามว่ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าเบอร์มิวดาหรือไม่ โรนากลับบอกว่าไม่เคยได้ยินสิ่งนั้นมาก่อน และยังเตือนอีกด้วยว่าถ้าในความฝันได้ยินชื่อของสิ่งที่ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ จงจำเอาไว้ว่าอย่าพยายามตามหาหรือสืบเกี่ยวกับสิ่งนั้นเด็ดขาด เพราะมันอาจจะเป็นสิ่งที่ทรงพลังและอยู่นอกเหนือความเข้าใจของมนุษย์

เมื่อได้ยินแบบนั้นเด็กสาวเลยพับเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน และมุ่งเน้นไปที่แผนการโค่นล้มพระเจ้าตามที่ได้ท้าดวลกับอโลวีนัสไปก่อนที่จะมายังโลกใบนี้

ส่วนเรื่องปริศนาภาษาสุริยัน เธอคิดว่ายังไม่จำเป็นต้องรีบสืบขนาดนั้น มันไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วนเสียหน่อย บางทีอาจจะเป็นแค่ข้อผิดพลาดของเทพธิดาก็ที่ให้สกิลแปลภาษามาไม่ครบก็เป็นได้

หวังว่านะ แม้เธอจะอ่านนิยายแนวต่างโลกมาเยอะก็ตาม แต่นี่ไม่ใช่นิยายสักหน่อย การที่เธอถูกส่งมาต่างโลกก็ใช่ว่าจะได้เจออะไรที่เหมือนๆ กับแนวต่างโลกพวกนั้น ความผิดปกตินิดเดียวของแนวต่างโลกเรื่องอื่นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่นี่มันโลกความจริง การมีปรากฎการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นมันอาจจะหมายถึงชีวิต ใช่ เธอเป็นคนที่รอบคอบเช่นนี้แหละ

สรุปให้สั้นยิ่งกว่าเดิมก็คือ เธอจะยังไม่ค้นหาเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของปริศนาเสียงเพรียกในความฝัน แต่สำหรับเรื่องของเทพมารเบนิล อันนั้นไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่ ไว้เธอค่อยค้นหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ทีหลังยามมีเวลาว่าง

ถนนหน้าโรงแรมเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน กลิ่นของท่อระบายน้ำอ่อนๆ และกลิ่นควันจากโรงงานจางลงไปบ้างแล้วเมื่อยามค่ำคืนมาถึง เธอสูดหายใจเบาๆ พลางหันไปมองโรงแรมที่เธอเดินออกมา หวังว่า

ฮันน่าจะยังไม่ตื่นนะ

ผมสีขาวและดวงตาสีแดงทำให้ตัวเธอดูโดดเด่นกว่าปกติในยามค่ำคืน ร่างเล็กๆ ดูปราดเปรียวและดูน่ารักตามฉบับของเด็กสาว และเมื่อสวมฮู้ดสีน้ำตาลมันก็ผนวกเข้ากับความลึกลับและความน่าค้นหา

บ้านหลายหลัง อาคารหลายแห่งปิดทำการในยามค่ำคืน หรือจะเป็นเพราะองค์กรล่ามารและกุหลาบสีชาดกันนะ?

ในกระเป๋าเสื้อฮู้ดของเธอมีมีดพับที่ถูกพับเก็บเอาไว้อย่างดี มันเป็นของที่เธอได้มาจากการนำเงินของฮันน่าไปซื้อของในตลาด ตอนนั้นมีคนขายอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นของมือสองพอดี เรียกได้ว่าบังเอิญสุดๆ ที่เธอไปเจอเข้าตอนอีกฝ่ายกำลังจะเก็บร้านพอดี และตลาดที่ว่าก็อยู่ห่างออกไปราวๆ สองถนนเท่านั้นถัดจากโรงแรมแห่งนี้ ทำให้ใช้เวลาเดินไม่นานนัก

เงียบ เงียบสนิทราวกับที่นี่ถูกดูดเสียงออกไปจนหมด บรรยากาศยามค่ำคืนน่าขนลุกเล็กน้อย ไม่มีรถม้าคันไหนทำงานเลยรึไงกันนะ? ถ้าเธอเข้าใจไม่ผิด ย่านสลัมที่เธอกับฮันน่าเคยไปมันจะอยู่ห่างจากที่นี่ค่อนข้างมาก และเป็นย่านสลัมเดียวกับที่มิสเตอร์ไบรอันติดเชื้อวัณโรคมาด้วย

นับว่าราวกับโชคเข้าข้างเลยล่ะ ก่อนหน้านี้หลายวันเธอวางแผนโน้มน้าวฮันน่าให้พาเธอมายังเมืองรัตติกาล โดยกะจะอ้างเหตุผลว่าบางทีความทรงจำที่กำลังตามหาอาจจะอยู่ที่เมืองแห่งนี้ก็ได้

แต่แล้วความบังเอิญอันน่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น มิสเตอร์ไบรอันตายทำให้เธอไม่ต้องเสียเวลาโน้มน้าวเลยสักนิดเดียว และได้มายังเมืองแห่งนี้

ความจริง ตอนที่มาเมืองนี้ครั้งแรก ตอนที่ฉี่รดในครั้งนั้น แล้วฮันน่าพาไปสำรวจย่านสลัมนั่น เธอก็มีเป้าหมายยิบย่อยในการใช้ชีวิตเพิ่มแล้ว นอกจากเรื่องการไขปริศนาเสียงเพรียกในฝันและเรื่องของการสังหารพระเจ้าแล้ว เธอยังได้เป้าหมายในการทำลายเขตสลัมมาอีก

นั่นก็แปลว่าเธอตั้งใจจะทำลายที่นั่นแต่แรกแล้วยังไงล่ะ การได้มาที่นี่เป็นเหตุบังเอิญที่เอื้อประโยชน์ให้กับเธอได้มากเลยล่ะ ไม่สำคัญว่ามิสเตอร์ไบรอันจะตายเพราะอะไร ต่อให้หมอนั่นจะตายเพราะถูกรถม้าชน เธอก็จะไปทำลายย่านสลัมอยู่ดี

ดังนั้นสาเหตุการตายของหมอนั่นจึงไม่เกี่ยวกับเธอแม้แต่น้อย มันก็แค่บังเอิญที่หมอนั่นตายเพราะวัณโรคในย่านสลัมเท่านั้นเอง

ว่าแต่ ไม่มีรถม้าเลยหรือ? ไปไหนหมดล่ะ หรือเป็นเพราะนี่มันดึกเกินไปหน่อยถึงได้ไม่มีรถม้ากันนะ?

กุกกัก ฟืดฟาด เสียงประหลาดดังออกมาจากถนน เด็กสาวเขม่นมองต้นเสียงนั่นในความมืดมิดพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย รถม้างั้นหรือ? พอเธอต้องการปุ๊ปมันก็ออกมาเลยงั้นเหรอ? นี่มันไม่บังเอิญไปหน่อยรึไง?

เอาเถอะ ก็คงแค่บังเอิญแหละ ม้าสองตัวสีน้ำตาลอ่อนลากวัตถุบางอย่างที่คล้ายกับลูกบาศก์ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นตัวรถม้า คนขับรถนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ เป็นชายสวมหมวกทรงสูงและสวมเสื้อโค้ทตัวเก่าๆ ดวงตาสีดำและมีผมสีดำ ดูมีอายุ กำลังฮัมเพลงกับตัวเองเบาๆ ระหว่างที่ขับผ่านมา

เด็กสาวโบกไม้โบกมือ หมายจะเรียกอีกฝ่ายให้จอด ชายวัยกลางคนที่เห็นดังนั้นก็ขับรถม้ามาใกล้ๆ ก่อนจะหยุดให้จอด เด็กสาวเปิดประตูขึ้นไปและนั่งลงบนเบาะสีแดงของรถ ก่อนจะปิดประตูเบาๆ

“ไปที่ไหนครับ”

อีกฝ่ายถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ ท่าทางกำลังอารมณ์ดีจากอะไรบางอย่าง บางทีคงจะเจอเรื่องดีๆ มา แต่เธอก็ไม่มีเวลาสนใจหรอก

“ไปถนนเตาไฟ”

เธอเอ่ยเสียงราบเรียบ รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกอย่างเชื่องช้า

ผ่านไปราวๆ ห้านาที คนขับเอ่ยถามด้วยเสียงเป็นกันเอง

“คุณหนูจะไปทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ ที่ถนนเตาไฟในเวลานี้เหรอครับ? มันอันตรายนะ ที่นั่นเต็มไปด้วยชนชั้นล่างและพวกคนไร้บ้าน ผมเองก็ไม่ได้จะเหยียดพวกเขาหรอกนะ แต่คนเสียสติยังรู้เลยว่าที่นั่นน่ะอันตราย โดยเฉพาะตอนกลางคืน ยิ่งเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวด้วยแล้ว”

ดูเหมือนหมอนี่จะเป็นพวกพูดคุยเก่ง เด็กสาวได้ข้อสรุปในใจ จากที่อารมณ์ดีจนฮัมเพลงมาตลอดทางเมื่อกี้ หมอนี่เป็นพวกที่ค่อนข้างสบายๆ กับการใช้ชีวิตมากเลยล่ะ

“ธุระส่วนตัว”

เธอเอ่ยเสียงเย็น ไม่มีเหตุผลอะไรให้บอกนี่ ไม่สิ ขืนบอกไปถ้าไม่ถูกมองว่าเป็นพวกเบียวก็มีหวังถูกแจ้งตำรวจจับแน่ๆ เพราะจุดประสงค์ของเธอในการไปยังพื้นที่แห่งนั้นไม่ใช่จุดประสงค์ที่ดีสักเท่าไหร่

“เหรอครับ” อีกฝ่ายฮัมเพลงด้วยท่าทางอารมณ์ดี “ถ้าเผลอไปละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวก็ขอโทษด้วยครับ”

“ไม่เป็นไร” เธอเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก พลางสังเกตุป้ายชื่อคนขับที่ติดกับประตูทางเข้า “คุณ…มาร์คัส?”

เธอเริ่มอ่านภาษาสุริยันออกแล้ว! ขอบคุณการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน คิดไปคิดมาคราวหน้าฝึกภาษารัตติกาลบ้างดีกว่า จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลัง แบบว่าไปยังสถานที่ที่ใช้ภาษารัตติกาลเป็นหลักหรืออะไรแบบนี้

“ฮ่าฮ่า อ่านจากป้ายชื่อสินะครับ”

มาร์คัสหัวเราะเบาๆ มันทำให้ยูริขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อะไรทำให้คุณอารมณ์ดีขนาดนี้กัน?”

เธอเอ่ยถาม พลางคิดขึ้นได้ว่าในโลกเก่าเธอฆ่าคนด้วยเทคนิคหลอกถามแบบนี้แหละ ไม่ได้ทำมานานแล้ว ลองดูสักหน่อยแล้วกัน ไม่น่าจะเสียหายอะไรนัก

“ถ้าเผลอไปละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวก็ขอโทษด้วย”

เธอจงใจดัดเสียงของตัวเองให้อยู่ในโทนเดียวกับอีกฝ่าย และจงใจพูดด้วยประโยคเดียวกันเป๊ะๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกับตนหรือรู้สึกถึงความเป็นมิตร มันเป็นเทคนิคทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งในการผูกมิตรกับใครสักคน

แต่แน่นอนว่าห้ามทำบ่อยเกินไป และถ้าเอาไปใช้กับบางคนก็อาจจะถูกต่อยปากแตกได้ข้อหาล้อเลียนคำพูด

มันคือเทคนิคเลียนแบบพฤติกรรมไงล่ะ

“ฮะฮะฮ่า”

คนขับรถม้าหัวเราะออกมาเบาๆ

“ไม่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวหรอกครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น ภรรยาผม โอรอน กำลังจะคลอดลูกคนที่สี่แล้ว!”

น้ำเสียงของเขาเจือปนไปด้วยความสุข แต่ด้วยความสามารถที่เหนือกว่านักจิตวิทยาของเด็กสาว ทำให้เธอพอจับความกังวลของอีกฝ่ายได้ มันคือความกังวลที่เบาบางจนแทบไม่สังเกตุเห็นและถูกกลบมิดไว้ด้วยรอยยิ้มสดใสของเจ้าตัวเอง

“ตายแล้ว! ยินดีด้วยนะคะ”

เธอจงใจทำเสียงสูงด้วยความตื่นเต้น ทำทีราวกับว่าดีใจไปกับอีกฝ่ายด้วย แต่ในใจคิดแผนร้ายแล้ว

“หลังจากนี้ครอบครัวของเราจะเต็มไปด้วยเด็กๆ ที่น่ารัก”

อีกฝ่ายฮัมเพลงอย่างสุขสันต์

“ลูกชายคนโตผมมีอายุพอๆ กับคุณหนูเลยนะ ราวๆ เจ็ดขวบได้ ส่วนลูกสาวคนเล็กผมราวๆ ห้าขวบน่ะ ส่วนลูกชายคนกลางหกขวบ”

ปั้มลูกกันถี่ไปมั้งนั่น…

“ดีใจด้วยจริงๆ นะคะ ช่างเป็นเรื่องที่วิเศษไปเลยค่ะ”

เธอเอ่ยด้วยเสียง ‘จริงใจ’

“ลูกคนล่าสุดผู้ชายหรือผู้หญิงหรือคะ”

“หมอบอกว่าผู้หญิง” คนขับรถจ้อต่อไป “ฮะฮะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะมีลูกถึงสี่คนแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นพรจากเทพธิดา”

เทพธิดา มุมปากของเด็กสาวกระตุกอย่างบิดเบี้ยวเล็กน้อย ให้ตายสิ ยัยนั่นอีกแล้วงั้นเหรอ น่าหงุดหงิดชะมัดเลยนะ

“ขอเทพธิดาอวยพร” เด็กสาวยิ้มกริ่ม “จริงด้วย! ฉันมีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นแวมไพร์ คุณสามารถนำลูกของคุณไปขอให้เธอรักษาได้นะถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ขอเดานะว่าภรรยาคุณสุขภาพไม่แข็งแรงใช่ไหมล่ะ?”

คนขับรถม้าถึงกับสะดุ้งเฮือกและหยุดพูดไปสักพัก

“คุณหนูรู้ได้ยังไงครับ?”

“เดาเอาน่ะ”

เธอยิ้ม

“น้ำเสียงของคุณดูร่าเริงตอนที่พูดถึงลูกของตัวเอง แต่ภายใต้ความร่าเริงนั้นคุณก็พูดเสียงแผ่วกว่าที่จำเป็น ราวกับว่าทั้งดีใจและกังวลอะไรบางอย่างไปพร้อมๆ กัน ตามนิสัยของคุณแล้วคุณเป็นคนช่างจ้อใช่ไหมล่ะ คนช่างจ้อที่ฉันรู้จักส่วนใหญ่ไม่พูดกันด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแบบนั้นหรอกนะ”

“การที่คุณมีความกังวลในเรื่องน่ายินดีอย่างการคลอดลูกของภรรยา นั่นทำให้ฉันสงสัยว่าคุณกังวลเรื่องอะไรกันแน่ และเมื่อนำเรื่องความกังวลกับการคลอดลูกไปเชื่อมโยงกัน จะให้ฉันคิดอะไรได้อีกล่ะ”

“ภรรยาของคุณอาจจะมีร่างกายอ่อนแอ ทำให้ถึงคุณจะยินดีกับการคลอดลูก แต่ก็กังวลกับสุขภาพของอีกฝ่ายที่อาจจะทรุดโทรมลงกว่าเดิมจากการคลอดบุตรสาวก็ได้ ฉันพูดถูกไหม? คุณมาร์คัส”

มาร์คัสอ้าปากค้าง นับแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นใครที่ชาญฉลาดขนาดนี้มาก่อน อีกฝ่ายคาดเดาความรู้สึกของเขาได้ผ่านน้ำเสียงและท่าทางอย่างงั้นหรือ? นี่มันเหมือนกับนักสืบอัจฉริยะในนิยายชื่อดังที่เขาเคยอ่านเลยนะ

ในอดีตเด็กสาวเคยแฝงตัวเข้าไปทำงานในกรมสืบสวนสอบสวนของตำรวจสืบสวนมาก่อน เลยทำให้พอมีพื้นฐานด้านการวิเคราะห์

อยู่บ้าง ผนวกกับความรู้ด้านจิตวิทยาที่มีติดตัว ทำให้เธอเคยได้รับสมญานามว่านักสืบจิตอัจฉริยะด้วย

ถึงภายหลังจะถูกจับได้ว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมหลายๆ อย่างจนทำให้ถูกไล่ล่าและถูกยิงตายก็เถอะ แต่ความสามารถของเธอนั้นเรียกได้ว่าหาจับตัวได้ยากมากแม้แต่ในบรรดาอาชญากรอัจฉริยะด้วยกันเอง

เธอคือของจริง

“ครับ คุณพูดถูกทุกอย่างเลย” มาร์คัสถอนหายใจเบาๆ “ผมกับภรรยาเคยคิดว่าจะมีลูกสักสิบคนน่ะครับ แต่ดูจากสภาพแล้วน่าจะมีได้มากสุดแค่นี้ เฮ้อ ถ้ามีวิธีที่ทำให้เธอไม่ท้องก็คงดีสิ”

ยูริไม่รู้ว่าควรจะขบคิดหรือตกตะลึงกับประเด็นไหนก่อนดี มีลูกสักสิบคนหรือ? จะสร้างทีมฟุตบอลรึไง? ส่วนสำหรับเรื่องการมีเซ็กส์แบบไม่ท้องได้ เธอคิดออกได้หนึ่งอย่าง

ถุงยาง! แต่โลกใบนี้ยังผลิตถุงยางไม่ได้แฮะ และเธอก็ไม่ได้รอบรู้ขนาดที่จะรู้วิธีผลิตได้หรอกนะ

“คุณบอกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นก็สามารถไปหาพี่สาวของคุณได้สินะ”

คนขับเหลือบมองเด็กสาวเล็กน้อย

“แล้วผมจะไปหาได้ยังไง”

ยูริเล่าไปตามตรงว่าต้องไปหาในป่าซึ่งอยู่ห่างจากเมืองรัตติกาลเป็นร้อยๆ ไมล์ คนขับทำสีหน้าลำบากใจ

“นั่นมันค่อนข้างไกลเลยนะ…เอางี้ ในเมืองมีสถานที่สำหรับนัดพบดีๆ อยู่ที่หนึ่ง ที่นั่นคือผับฉลามล่าวาฬ คุณกับผมสามารถนัดเจอกันที่นั่นได้”

“ตกลง!”

ยูริเอ่ยเสียงใส เท่านี้ก็ได้เหยื่อเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว อยู่ๆ ก็ได้คนขับรถม้ามาเป็นเพื่อนเฉยเลยแฮะ เธอวางแผนจะใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายในอนาคต

คนขับรถม้าที่สัญจรไปมาหลายที่ ย่อมรู้จักสถานที่ดีๆ แน่นอน เผลอๆ จะรู้มากกว่าฮันน่าเสียอีก หึหึหึหึ

หลังจากนั้นคนขับรถม้าก็พาเธอมาส่งถึงสถานที่เป้าหมาย อีกฝ่ายบอกว่าจะไม่เก็บเงินจากเธอเพราะยังไงอนาคตอีกฝ่ายอาจจะขอให้ช่วยรักษาภรรยาให้อยู่แล้ว

ยูริกระโดดลงจากรถม้า เท้ากระทบพื้นเสียงดังตุบ

“ระวังตัวด้วย ที่นี่มันอันตราย”

มาร์คัสบอกก่อนจะขับจากไป เบื้องหน้าเด็กสาวคือถนนคนเดินเส้นเล็กที่มืดมิดและเปล่าเปลี่ยว เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศหนาวเย็นและน่าขนลุก มันเป็นบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเย็นชาดุจดั่งน้ำแข็งที่เสียดแทงเข้าไปในร่าง

ถนนเตาไฟ มาถึงสักที

 

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!

Status: Ongoing
“ฉันก็แค่อยากตาย แต่ไหงต้องมาเกิดใหม่ด้วยล่ะ!” เรื่องราวของหญิงสาวนางหนึ่งที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เธอถูกตำรวจวิสามัญตายตรงหน้าผา ขณะที่กำลังจะตายนั้นเธอก็ปลงกับตัวเองไปแล้วและอ้าแขนยอมรับจุดจบของตัวเองอย่างเต็มใจ แต่ช้าก่อน! เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีเธอก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ต่อหน้าตัวตนอันยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ เทพเจ้า! เทพธิดาอโลวีนัสได้ยื่นข้อเสนอให้กับเธอว่าจะมอบชีวิตใหม่ ในโลกใบใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และปรากฎการณ์ลึกลับเหนือธรรมชาติ และจะมอบพลังวิเศษที่แข็งแกร่ง หรือที่คนชอบเรียกกันว่าสกิลโกงเอาไว้ให้ “ไม่เอา” ฆาตกรสาวปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันไม่อยากไปเกิดใหม่” “ยังไงเจ้าก็ต้องไปเกิดใหม่” น่าเสียดายที่ท่านเทพของเราเอาแต่ใจไปนิดและไม่ยอมทำตามคำขอของหญิงสาว “ก็ได้ แต่ส่งฉันไปเกิดใหม่ในสภาพไร้พลังซะ” เธอรู้ว่ายังไงก็ไม่อาจฝ่าฝืนพระบัญชาแห่งเทพได้ เลยจะไปเกิดใหม่พร้อมกับปฏิเสธสกิลโกงที่อีกฝ่ายจะมอบให้ทั้งหมด “ทำไม?” ท่านเทพถามด้วยความประหลาดใจ “เพราะฉันจะกลับมาและเอาชนะแกในสักวันหนึ่ง แต่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้สกิลโกงอะไรนั่น” “ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าทำได้ก็ทำ” “พนันกันไหมล่ะ?” ด้วยเหตุนั้นเอง เรื่องราวของฆาตรกรต่อเนื่องสาวที่ไปเกิดใหม่โดยมีเป้าหมายเป็นการโค่นทวยเทพทั้งๆที่ตนไร้พลังก็ได้เริ่มต้นขึ้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท