“สิ่งที่พึ่งได้คือหมวกฟักทอง”
ช่วงปลายเดือนตุลาคม ผมออกไปซื้อของต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันฮาโลวีน คุณอาจจะสงสัยว่าผมจะทำอะไรทั้งๆ ที่อยู่ม.ปลายปี 2 แล้ว แน่นอนว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะเอาไปสร้างปัญหาอย่างที่พบเจออยู่ตามข่าว ก็แค่กะจะแต่งคอสเพลย์และไปกินข้าวกับเพื่อนๆ เฉยๆ
[ไลท์เซเบอร์ หมวกฟักทอง… เยี่ยม สมบูรณ์แบบไปเลย]
ผมมีเพื่อนที่ชอบแต่งคอสเพลย์ ถึงเขาจะบอกว่ากำลังเตรียมชุดแบบจริงจังอยู่ก็เถอะ แต่สำหรับผมแค่นี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว
[…อื้มมม?]
ผมค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่ตัวเองพึ่งจะซื้อมา และระหว่างทางกลับบ้านผมก็เหลือบไปเห็นบ้านหลังนึงเข้า
[บ้านของชินโจซัง… งั้นหรอ?]
ชินโจซัง พี่น้องสาวสวยที่อยู่ชั้นเรียนเดียวกับผม พวกเธอทั้งงดงามและมีสไตล์ โดดเด่นถึงขนาดที่ไอดอลสมัยนี้ยังเทียบไม่ติด นับครั้งไม่ถ้วนที่มีคนไปสารภาพรักกับพวกเธอ ถึงอย่างนั้นมันกลับเป็นกำแพงเหล็กที่สูงชัน เพราะพวกเธอปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด
บ้านของผมเองก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ มีหลายครั้งที่พวกเราเจอ และทักทายกันระหว่างทางไปโรงเรียน
[อรุณสวัสดิ์]
[อรุณสวัสดิ์]
มันเป็นความสัมพันธ์แบบหนึ่ง เพราะเราอาศัยอยู่ใกล้กัน แต่มันก็ไม่ได้แย่ที่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้ แน่นอนว่าพวกเราไม่เคยไปโรงเรียนด้วยกัน และแม้จะไม่ได้คุยกันเลยที่โรงเรียน แต่พวกเราก็รู้จักกัน
[เป็นคนที่สวยจริงๆ เลยนะ ขนาดแม่เองก็ยังสวย จะว่าไป… ทำไมถึงเปิดประตูทิ้งไว้แบบนี้?]
ผมออกไปซื้อของหลังจาก 15.00 น. จากนั้นก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อย ตอนนี้จึงค่อนข้างมืดแล้ว ถึงแบบนั้นไฟที่ทางเข้ากลับไม่ติด แถมประตูยังเปิดอ้าไว้เต็มที่อีกต่างหาก จินตนาการอันไม่พึงประสงค์ของผมเริ่มทำงาน
[…คงไม่ได้ถูกปล้นหรอกนะ?]
ไม่ ไม่หรอกมั้ง ผมยิ้มแหย๋ๆ และพยายามจะเดินผ่านไป แต่สุดท้ายผมก็เกิดอยากรู้อยากเห็น ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปในบ้าน หวังว่าถ้าไม่โดนโกรธก็คงจะดี
ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงผู้ชาย เสียงของผู้ชายที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
[คึคึ นอกจากเงินแล้ว ผู้หญิงบ้านนี้ก็แจ่มสุดๆ ไปเลยนี่หว่า? เห้ยพวกเด็กๆ ถอดเสื้อผ้าออกซะ ถ้าไม่อยากให้แม่แกตายละก็]
[…..]
ดูเหมือนว่ากำลังเจอกับสถาณการณ์ที่เลวร้ายจริงๆ
ผมพยายามมองเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ถูกสังเกตุเห็น จากนั้นชายร่างใหญ่ก็อุ้มแม่ของชินโจไว้ในอ้อมแขน ใช้มือคลึงลูบไล้หน้าอกของเธอ และบอกให้สองพี่น้องถอดเสื้อผ้าออก
แม่น้ำตาไหล ดูเหมือนเธอจะพูดอะไรไม่ออกเพราะความกลัว ผมได้ยินว่าพวกเธอเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่ความใกล้ชิดของครอบครัวเธอก็เป็นสิ่งที่รู้กันดี ผมแน่ใจว่าพวกเธอคงกำลังหาทางช่วยแม่ของพวกเธอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
[………]
ก่อนอื่นก็โทรแจ้งตำรวจ จากนั้นก็เริ่มตรวจสอบข้าวของที่ผมมีติดตัว
ทั้งหมดที่ผมมีคือไลท์เซเบอร์ และหมวกฟักทองที่ผมซื้อมาสำหรับวันฮาโรวีน
สองพี่น้องตอนนี้ก็เหลือแค่ชุดชั้นในแล้ว ขืนยังปล่อยไว้แบบนี้ จินตนาการแย่ๆ ที่ผมกำลังคิดอยู่นั้นต้องเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน
[….ไอบ้าเอ้ยยย]
ผมพึมพำเบาๆ และหยิบหมวกฟักทองมาใส่ไว้ที่หัว
จริงๆ แล้วผมเป็นนักเคนโด้ระดับประเทศตอนอยู่ชั้นมัธยมต้น ดูเหมือนครั้งนี้ผมจะได้แสดงความสามารถของผมโดยที่ปิดบังใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้
[เอาละ ลุยละนะ]
ทั้งๆ ที่มันไม่ได้เกี่ยวกับผมแท้ๆ แต่มาเจอเหตุการณ์อยู่ตรงหน้าแบบนี้ก็คงจะมองข้ามไปไม่ได้
ปีสองโรงเรียนมัธยมปลายอาคากิ โดโมโตะ ฮายาโตะ ลุยละครับ
.
.
.
[…..]
[พี่คะ…]
ให้ตายเถอะ
ไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าจะต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้….นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด
ปลายเดือนตุลาคมก่อนวันฮาโลวีน ฉันกลับบ้านพร้อมกันกับน้องสาวตามปกติ ถึงจะรู้สึกแปลกใจที่ประตูถูกเปิดไว้แบบผิดปกติก็เถอะ แต่พวกเราก็ก้าวเข้าไปในบ้าน โดยไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ
ฉันคิดว่ามันเงียบจนน่ากลัว แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแม่ของฉันจะกำลังถูกผู้ชายบีบคออยู่
ถึงร่างกายแม่จะแข็งแรงมากกว่าพวกเรา แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถสู้แรงของผู้ชายคนนั้นได้
เมื่อชายคนนั้นเห็นเรา เขาก็ชี้มีดไปที่แม่ของฉันและขู่ว่าจะฆ่าเธอหากพวกเราขยับตัว ฉันกลัว อยากจะวิ่งหนี อยากตะโกนให้คนช่วย แต่ก็กลัวว่าถ้าทำอย่างนั้นแม่ขอฉันจะถูกฆ่าขึ้นมาจริงๆ
[จะยอมปล่อยจริงๆ ใช่มั้ย?]
[อ่า ถ้ายอมทำตามที่บอกละก็ ชั้นจะปล่อยพวกเธอไป]
…..
คงจะเป็นความคิดที่ถูกต้อง ถ้าหากการเปลือยกายจะสามารถช่วยชีวิตแม่เอาไว้ได้ พอคิดได้แบบนั้นฉันก็เริ่มถอดเสื้อผ้าออก แน่นอนว่าน้องสาวของฉันก็เริ่มถอดด้วยเหมือนกัน
ชายคนนั้นสั่งให้เราถอดเสื้อผ้าออก แค่คิดถึงเรื่องที่จะตามมาก็รู้สึกกลัวแล้ว… แต่ไม่ว่ายังไงฉันอยากจะช่วยแม่ และคงจะดีถ้าน้องสาวของฉันหนีไปได้
[ถ้าพวกแกหนีไปละก็คงจะเป็นเรื่องแน่ๆ เฮ้ย มัดแขนขาของนางนั่นซะ]
พูดแบบนั้นเสร็จ ชายคนนั้นก็โยนเชือกให้กับน้องสาวของฉัน
พอลองดูดีๆ แล้ว แม่ของฉันถูกมัดขาและมืออยู่ เพราะงั้นฉันเดาว่ามันคงจะทำแบบนั้นกับพวกเราเหมือนกัน
ฉันรู้สึกคลื่นไส้เมื่อเห็นรอยยิ้มอันน่าสะอิดสะเอียนที่ชายคนนั้นยิ้มออกมาขณะที่น้องสาวของฉันกำลังมัดฉันอยู่ ฉันรู้สึกสงสารเธอที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยใบหน้าที่เกือบจะร้องไห้
[เพราะแบบนี้ไง พวกผู้ชายมัน…]
มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว พวกผู้ชายไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสิ่งมีชีวิตที่ป่าเถื่อน หยาบคายและเลวทราม
ผู้ชายเพียงคนเดียวที่ฉันอยากให้อยู่ด้วยก็คือพ่อของฉัน เขาแต่งงานกับแม่ ให้ความรักแม่และเลี้ยงดูพวกเราตราบจนวาระสุดท้าย
[คึคึคึ ทำได้ดีมาก เอาละ ถ้าอย่างช่วยทำให้ชั้นมีความสุขหน่อยแล้วกัน]
เมื่อเห็นฉันขยับไม่ได้ ดูเหมือนชายคนนั้นจะเลือกน้องสาวของฉันเป็นเป้าหมายแรก
[เดี๋ยวก่อน! ห้ามแตะต้องน้องสาวของชั้น!!]
[หุบปาก เดี๋ยวเธอเองก็จะเป็นรายต่อไป ตอนนี้รออยู่เงียบๆ ซะ]
เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน ชายคนนั้นก็ตะโกนจากนั้นก็แทงมีดเข้าไปที่กำแพง
แม่และน้องสาวของฉันส่งเสียงกรีดร้องขณะที่ใบมีดปักเข้าไปในกำแพง ถ้าร้องดังกว่านี้คงดี แต่ถ้ามีใครได้รับบาดเจ็บขึ้นมาล่ะ…
ฉันเกือบจะร้องไห้… ไม่สิ ร้องไปแล้วต่างหาก
สุดท้ายก็ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ทุกที ตอนที่พ่อตายก็เป็นเพราะความไร้เหตุผลเช่นเดียวกัน
[…ไอบ้าเอ้ย… บ้า บ้า บ้าบ้าบ้าบ้าบ้า!!]
ฉันกำหมดและกัดฟันแน่น
น้องสาวเพียงคนเดียวกำลังจะถูกไอสารเลวนั่นข่มขืนโดยที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ในที่สุดน้ำตามากมายก็พรั่งพรูออกมา
[…ช่วยด้วย]
เสียงพึมพำเบาๆ
ใครก็ได้ ช่วยที ช่วยพวกเราด้วย… ขอร้องล่ะ แค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น ใครก็ได้ช่วยพวกเราที
ตึกๆ ๆ ๆ
มีเสียงบางอย่างดังขึ้นมา และค่อยๆ กลิ้งมาที่กลางห้องนั่งเล่น มันเป็นลูกเทนนิสที่วางอยู่ตรงประตูทางเข้า
ทันใดนั้นก็มีบางอย่างพุ่งเข้ามาในห้องนั่งเล่นอย่างเร็ว และดึงดูดความสนใจไปจากน้องสาวฉันอย่างสิ้นเชิง
[อะ นั่นมันอะไร!?]
ก่อนที่ชายร่างใหญ่คนนั้นจะได้ตอบสนอง บางอย่างที่เหมือนไม้เท้าเรืองแสงก็ฟาดลงเข้าที่ไหล่ของเขา ชายคนนั้นแสดงสีหน้าเจ็บปวดและทิ้งมีดลง การโจมตีมากมายถูกละเลงใส่ทั่วทั้งร่าง จนมีสภาพสะบักสะบอม
[อะไร… อะไรของแกกันวะ…!?]
[…..!?]
[….ฟังทอง?]
บางอย่างมองลงมาที่ชายผู้ซึ่งกำลังหมอบคลานด้วยความเจ็บปวดคือใครบางคนที่กำลังสวมหมวกฟักทองอยู่
เมื่อพิจารณาจากร่างกายของเขา ฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นเด็กผู้ชาย แต่…ทำไมเขาถึงต้องสวมหมวกฟักทอง?
ฉันรู้สึกหวาดกลัวจนถึงเมื่อกี้นี้ แต่ตอนนี้ความสงสัยกำลังหมุนวนอยู่ในหัวของฉัน
[ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าแกเป็นโจร หรือพวกข่มขืน แต่แกจบสิ้นแล้ว…]
ขณะที่ชายหัวฟักทองพูดเช่นนั้น เสียงไซเรนก็ดังก้องมาแต่ไกล เขามัดมือมัดเท้าไม่ให้ชายคนนั้นขยับได้ และค่อยๆ แก้เชือกให้กับพวกเรา
[ไอบ้านี่… ปล่อยชั้นนะโว้ย!!]
[แน่นอนอยู่แล้วว่าแกต้องไม่ชอบ แต่อาชญากรแบบแกสมควรถูกมัดและหมอบคลานอยู่กับพื้นแล้วละ]
แววตาที่มองออกมาจากดวงตาที่กลวงโบ๋นั้นเฉียบคมพอที่จะทำให้ชายคนนั้นนิ่งลงได้
[เอ้า ใส่เสื้อผ้าเถอะ ไม่เป็นอะไรแล้ว]
[….ขะ]
ไม่เป็นอะไรแล้ว เมื่อถูกพูดแบบนั้นดูเหมือนความอดทนของฉันจะมาถึงขีดสุด
ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ฉันก้มลงและร้องไห้เสียงดัง น้องสาวของฉันเองก็ร้องไห้เช่นเดียวกัน แม่เข้ามากอดพวกเราจากนั้นก็ร้องไห้ตาม
[…พอดีเลย มีผ้าห่มอยู่นี่พอดี]
เขาพูดแบบนั้นและเอาผ้าห่มคลุมตัวเราเอาไว้
ในตอนนั้นเอง แม้ฉันจะอยู่ใกล้เขาแต่กลับไม่รู้สึกรังเกียจเพราะเขาเป็นผู้ชายเลย
[…ดีจริงๆ]
[หืม…]
ถึงจะเป็นคำพูดที่ไร้ความหมาย แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอ่อนโยนได้อย่างชัดเจน
ตอนนั้นเองแก้มของฉันก็รู้สึกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว… ไม่สิ ดูเหมือนว่าน้องของฉันเองก็เช่นเดียวกัน
จากเหตุการณ์นี้ชายร่างใหญ่คนนั้นถูกจับ พวกเราทุกคนปลอดภัย ชายที่สวมหมวกฟังทองช่วยเราให้รอดพ้นจากวิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
อย่างไรก็ตาม ฉันกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง…. บางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น บางอย่างที่เรียกว่า “โชคชะตา”