“พอถอดหมวกฟักทองออกก็แค่คนธรรมดา”
มันเป็นวันหลังจากที่ผมช่วยเหลือพี่น้องชินโจ และแม่ของพวกเธอจากโจรที่บุกเข้ามา อย่างไรก็ตาม… เรื่องราวดังกล่าวถูกพูดต่อกันและแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความต้องการของพวกเธอเลยแม้แต่น้อย
[เหตุเกิดแถวๆ บ้านนายเลยนี่นา]
[ไม่เป็นไรจริงๆ งั้นหรอ!?]
พอผมมาถึงโรงเรียน เพื่อนๆ ของผมก็พากันตรงดิ่งมาเพื่อยิงคำถามใส่ เอาเถอะ… ถึงปกติจะเอาแต่เล่นเที่ยวเล่นอย่างกับพวกงี่เงาก็ตาม แต่ผมก็ดีใจนะที่รู้ว่าพวกเขาเป็นห่วงผม
[ชั้นเองก็ตกใจอยู่เหมือนกัน แต่พวกชินโจซังปลอดภัย ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วละ]
[ก็นั่นสินะ]
เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ผมควบคุมตัวชายร่างใหญ่เอาไว้และปกป้องครอบครัวของชินโจซัง ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วทั้งพี่น้องชินโจ และแม่ของพวกเธอจะปลอดภัยดี
เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุทันทีหลังจากที่เราได้ยินเสียงไซเรนของรถตำรวจเพียงไม่นาน แต่แล้วพวกเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นหมวกฟักทองที่ผมกำลังสวมอยู่
[นี่มัน…เรื่องอะไรกันเนี่ย!?]
ถ้าผมเป็นพวกเขา ผมก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน ภาพที่เห็นคือชายที่สวมหมวกฟักทองน่าสงสัยกำลังควบคุมตัวโจรอยู่ …อย่างกับเป็นการล้อกันเล่นอะไรสักอย่าง ถึงมันจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่น่าล้อเล่นสักเท่าไหร่ก็ตาม
ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะเคยถูกจับกุมมาก่อน และมีประวัติก่ออาชญากรรมมากมาย ตอนแรกพวกตำรวจก็ยังคงสงสัยผมอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้น… พี่น้องชินโจ และแม่ของพวกเธอก็ออกหน้ารับแทน และอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับตำรวจได้ฟัง
[คนๆ นี้คือผู้มีพระคุณของพวกเรา! ไม่ใช่คนน่าสงสัยเลยสักนิด!]
เป็นเรื่องปกติที่ตำรวจจะสงสัยผู้ชายแปลกๆ ที่จับโจรในขณะสวมหมวดฟักทอง แต่หลังจากได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมด คุณตำรวจคนนั้นก็กล่าวขอโทษออกมาจากใจจริง แม้จะใช้เวลานานไปสักหน่อย แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็จบลงได้ด้วยดี ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่ผมจะต้องกลับบ้านแล้ว ทันใดนั้น…
[เอ่อ ช่วยบอกชื่อได้รึเปล่าคะ…!?]
[คุณเป็นใครงั้นหรอ…!?]
[ช่วยถอดหมวกออกหน่อยได้มั้ย…!?]
ในตอนนั้น พวกเขาทั้งสามคนดูเหมือนจะอยากรู้ว่าผมคือใคร พี่น้องชินโจ รวมถึงแม่ของพวกเธอยื่นมือออกมาหาผม แสดงท่าทีราวกลับว่าไม่อยากให้ผมจากไป ถึงอย่างนั้นผมก็เดินจากพวกเธอมาโดยไม่หันหลังกลับ
…ก็นะ ผมจะพูดได้ยังไง!? มันเป็นภาระที่หนักสำหรับผมที่จะยอมรับความรู้สึกที่สื่อออกมาจากดวงตาของพวกเธอ
[ดูเหมือนวันนี้ทั้งสองคนก็มาโรงเรียนตามปกติ เป็นคนที่เข้มแข็งจริงๆ เลยนะ]
ถึงจะเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายแบบนั้น แต่พี่น้องชินโจก็ยังคงมาโรงเรียนตามปกติ และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเพื่อนร่วมชั้นทุกคน
[เอาเถอะ ยังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว]
ผมไม่ได้อยากทำตัวเป็นฮีโร่ ผมไม่ได้คิดว่าพวกเธอติดหนี้บุญคุณผม และก็ไม่อยากได้อะไรตอบแทน มีเพียงเรื่องที่ผมสามารถช่วยพวกเธอเอาไว้ได้เท่านั้น ที่มีความหมายยิ่งใหญ่สำหรับผม
[งั้นไปกินข้าวกันเถอะ!]
[อืมม]
ช่วงพักกลางวัน ผมไปกินข้าวที่โรงอาหารกับเพื่อนๆ พ่อของผมเสียตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก แม่เองก็จากไปเพราะโรคภัยไข้เจ็บตั้งแต่ผมยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เพราะงั้นถ้าจะพูดให้ถูกแทนที่จะเรียกว่าข้าวกล่องกลางวัน แต่มันเป็นอาหารกลางวันในโรงอาหารของโรงเรียนมากกว่า
[ทานแล้วนะครับ]
ผมพนมมือให้กับอาหารชุดหมูย่างขิงที่อยู่ตรงหน้า แต่ก่อนที่ผมจะได้เอามันเข้าปาก โรงอาหารก็ถูกปกคลุมไปด้วยความวุ่นวายเล็กน้อย
[เห้ย พวกเจ้าหญิงดูเหมือนจะมากินข้าวที่โรงอาหารด้วยละ]
[ยังคงได้รับความนิยมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน]
หลังจากได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกัน ผมก็หันความสนใจไปที่ทางเข้า ตรงนั้นมีพี่น้องชินโจและเพื่อนๆ ของพวกเธอยืนอยู่ ความงามที่หาใดเปรียบ รวมถึงสไตล์ที่โดดเด่น แค่สองสิ่งนี้ก็ทำให้พวกเธอดึงดูดความสนใจจากรอบข้าง และตกเป็นเป้าสายตามากมาย
จะว่าไปแล้ว ค่อนข้างหายากเหมือนกันนะที่พวกเธอสองคนมาใช้บริการโรงอาหารของโรงเรียนแบบนี้ แต่ก็อย่างว่าแหละนะ พวกเธอเพิ่งผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมา การเตรียมข้ามกล่องอาจจะเป็นเรื่องยุ่งยากสักหน่อย
[เป็นดอกฟ้าที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเราจริงๆ เลย]
[อืมม แค่ได้เห็นจากระยะไกล แค่นี้ก็มีความสุขเกินพอแล้ว]
อย่างว่า… ขนาดผมเองก็ยังคิดเลยว่า พวกเธอสองคนนั้นเป็นคนสวยจริงๆ
ก่อนอื่นเลยก็พี่สาว ชินโจ อริสะซัง ผมยาวสลวยของเธอถูกมัดไว้ด้านข้าง การจ้องมองสุดเย็นชาทำให้เธอดูเป็นสาวสวยสุดเท่น่าหลงไหล ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยยิ้ม จนมีข่าวลือว่า… ถ้าหากมีใครได้เห็นรอยยิ้มของเธอละก็ คุณจะโชคดีไปตลอดวัน
อีกคนคือน้องสาว ชินโจ ไอนะซัง เธอดูเหมือนจะมีบุคลิกที่สดใสตรงกันข้ามกับพี่สาวคนละขั้ว ผมสีน้ำตาลสว่างห้อยลงมาประบ่าแสดงออกถึงความน่ารัก และที่แตกต่างจากอาริสะซังมากที่สุดน่าจะเป็นตรงที่เธอมักจะยิ้มอยู่ตลอดเวลานี่แหละ
ถึงอย่างนั้น… สิ่งที่พวกเธอทั้งคู่มีเหมือนกันนั่นก็คือ สไตล์ที่รุนแรง
[ตรงนี้มั้ย!?]
[นั่นสินะ]
ในตอนที่ผมกำลังนึกถึงเรื่องของพวกเธอทั้งสองคน พวกเธอก็นั่งลงอยู่ใกล้ๆ เพื่อนของผมทั้งสองคนขยับถาดอาหารเพื่อรักษาระยะห่าง ว่าแล้วเชียว สองคนนั่นดูเหมือนจะมีพลังทำลายล้างอยู่พอสมควร
[…?]
ในตอนนั้นเองผมก็สบตาเข้ากับไอนะซัง ทันทีที่ดวงตาประสานกันเธอก็เบือนหน้าหนีทันที สุดท้ายแล้วผมก็เป็นแค่คนๆ นึงที่เธอไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
แตกต่างจากดวงตาสีน้ำเงินไพลินขอนพี่สาวเธอ ดวงตาของเธอมีสีแดงเข้มเหมือนกับทับทิม… มันเป็นความงามที่ตัดกันในหลายๆ ด้าน
[แต่ว่าไม่เป็นไรจริงๆ งั้นหรอ!? อย่างน้อยวันนี้น่าจะหยุดพักดีกว่านะ]
[ไม่ต้องห่วง สบายมาก ต้องขอบคุณคนๆ นั้นจริงๆ ที่ช่วยพวกเราเอาไว้]
[นั่นสินะ คงจะดีกว่านี้ถ้าหากเขายอมบอกชื่อให้รู้ แบบนั้นคงจะวิเศษสุดๆ ไปเลย]
แน่นอนว่าสิ่งที่พบเจอนั้นคงทำให้พวกเธอหวาดกลัว แต่ถ้าสามารถพูดคุยกับเพื่อนๆ ด้วยรอยยิ้มแบบนั้นได้ก็คงไม่มีอะไรต้องกังวล
[นี่ พวกเรามานั่งฟังแบบนี้คงไม่ค่อยดีมั้ง?]
[นั่นสินะ รีบกินรีบไปกันเถอะ]
เหมือนเพื่อนของผมจะทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ใกล้ๆ กับชินโจซัง ผมเห็นด้วยจากใจกับสิ่งที่พวกเขาพูดออกมา ผมรีบกินข้าวจนเสร็จจากนั้นก็ลุกออกจากโรงอาหารทันที
[อ่าา ประหม่าสุดๆ ไปเลย]
[ก็จริงนะ แต่ว่า… กะแล้วเชียวทั้งคู่สวยสุดๆ ไปเลยเนอะ]
ไม่ใช่แค่ความงามเท่านั้น แต่รู้สึกว่าพวกเธอมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คนอื่นหลงไหล เธอไม่เพียงแค่ดูดี แต่ยังคงมีบุคลิกที่ดีด้วย… ถึงอย่างนั้นผมกลับได้ยินข่าวลือที่แปลกประหลาดมา ข่าวลือที่ว่าอาริสะซัง ที่เป็นพี่สาวเกลียดผู้ชายเข้าไส้ ผมอยากจะรู้จริงๆ ว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไร
[ฮายาโตะ นายซื้อชุดอะไรมางั้นหรอ!?]
[ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก ก็แค่ไลท์เซเบอร์กับหมวกฟักทอง]
[…เห่ยสุดๆ]
[…ไม่มีศิลปะเอาซะเลย]
[หนวกหูน่า]
ผมไม่อยากซื้อของที่มันฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น… ถึงผมจะได้รับเงินมาพอสมควร แต่ก็ไม่อยากใช้มันไปกับสิ่งของพวกนี้ หลังจากไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนในช่วงบ่าย พวกเราก็ยังคงคุยแต่เรื่องนี้กันตลอด
[….???]
จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงสายตาแหลมคม ราวกับว่ามีใครกำลังจ้องมองจากด้านหลัง แต่ทันทีที่ผมหันกลับไป กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
….คิดไปเองงั้นหรอ!?
[ฮายาโตะ]
[มีอะไรรึเปล่า!?]
[โทษที ไม่มีอะไร]
พอถูกส่งเสียงเรียก ผมก็รีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
.
.
[หายากนะที่เธอไปเข้าห้องน้ำระหว่างกินข้าวเนี่ย]
[ฟุฟุ ขอโทษคะพี่ ชั้นปวดท้องนิดหน่อย…]
[ชั้นยังกินไม่เสร็จ หยุดพูดเลยนะ ดีนะที่ไม่มีคนอื่นได้ยิน]
[ขอโทษคร่าา♪]
น้องสาวที่พึ่งกลับมากล่าวขอโทษด้วยท่าทางไร้เดียงสา
มันไม่เหมาะที่จะพูดถึงเรื่องนี้ระหว่างกินข้าว แต่หากมองว่ามันเป็นส่วนน่ารักๆ ของน้องสาวตัวน้อยของคุณ มันก็น่าเอ็นดูไปอีกแบบ
จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่สามารถเอาเรื่องของชายสวมหมวกฟักทองที่ช่วยเราไว้ออกไปจากหัวได้ หากไม่มีเขาแล้วละก็รับรองเลยว่าโจรคนนั้นจะต้องได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เขาต้องการอย่างแน่นอน
[…เห้ออ]
เมื่อฉันคิดถึงคนๆ นั้น ฉันก็รู้สึกเจ็บในอก ฉันอยากเห็นหน้าเขา อยากรู้ชื่อของเขา ถึงอย่างนั้นเขากลับตอบคำถามของตำรวจโดยที่ไม่บอกอะไรกับฉันเลยแม้แต่น้อย ฉัน น้องสาว และแม่ อยากจะบอกขอบคุณเขาจริงๆ… ถึงอย่างนั้น เขากลับจากไปในทันที
[…เห้ออ]
ดูเหมือนว่าน้องสาวของฉันที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กำลังรู้สึกเหมือนกัน
ชายผู้ซึ่งช่วยเราไว้ ผู้ซึ่งวางมือบนบ่าและปลอบโยนพวกเรา ฉันอยากจะรับความรู้สึกทั้งหมดของเขาเอาไว้ด้วยร่างกายนี้ เขาไม่เหมือนผู้ชายคนไหนที่ฉันเคยพบมาก่อน อยากได้รับความรักจากคนๆ นั้น มีเพียงสิ่งนี้ที่ดังก้องอยู่ในใจ
[หรือว่าเธอตกหลุมรักคนที่ช่วยเธอเอาไว้อย่างงั้นหรอ!?]
ฉันส่ายหัวให้กับคำถามของเพื่อน
จะบอกว่าตกหลุมรัก… ก็คงจะไม่ผิดซะทีเดียว แต่ฉันก็ไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์แบบนั้น บางที… ฉันอยากจะเชื่อมต่อ อยากจะเชื่อมต่อและผูกมัดกับเขาคนนั้นตลอดไป
[…ทาส ชั้นอยากเป็นทาส]
ใช่แล้ว สิ่งที่ฉันต้องการก็คือการถูกกดขี่จนถึงจิตวิญญาณ และผูกมัดกับเขาคนนั้นตลอดไป