จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผมช่วยสองพี่น้องสาวสวยที่เกลียดผู้ชายโดยไม่บอกแม้แต่ชื่อ!? – ตอนที่ 7 ชื่อของฟักทองคือแจ็ค

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผมช่วยสองพี่น้องสาวสวยที่เกลียดผู้ชายโดยไม่บอกแม้แต่ชื่อ!?

“ชื่อของฟักทองคือแจ็ค”

 

[ตื่นเต้นไปหน่อยมั้ง]

 

[เปล่าเฟ้ย! อย่ามาดูถูกโอตาคุเชียว!!]

 

ในวันอาทิตย์ ในที่สุดวันฮาโลวีนที่พวกเรารอกันมานานก็ถูกจัดกันที่บ้านของเพื่อนผม

 

เพื่อนสองคนกำลังเถียงกันต่อหน้าผม

 

แน่นอนว่าทั้งสองคนรอวันนี้กันมานาน แต่พวกเขากำลังเถียงกันเรื่องชุดที่ใส่กันมาอยู่

 

คนหนึ่งกำลังคอสเพลย์เป็นตัวละครจากอนิเมะ ใส่ชุดสีดำเหมือนพวกจอมขมังเวทย์ ถือไม้คฑาที่น่าจะเป็นอาวุธ ราคาดูแพงไม่น้อย

 

[…นี่จริงจังใช่ไหม? ไม่สิ มันก็เท่อยู่หรอก]

 

แต่ก็อย่างว่า นี่คือการคอสเพลย์ บอกได้เต็มปากเลยว่ามันคืออาณาจักรที่จะสามารถเข้าไปได้หากถวายตัวใช้ชีวิตเป็นโอตาคุแล้วเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน อีกคนแต่งคอสเพลย์เป็นแดร็กคูล่าแบบทั่วไป แต่เขาใส่แค่ชุดสูทกับเสื้อคลุม และเมคอัพหน้าเล็กน้อยให้ดูเหมือนแดร็กคูล่า

 

[แดร็กคูล่าคลาสสิคจะตาย ไม่เหมือนของนาย]

 

[ก็จริงแหละ ต่างกับอีกคนที่… ไม่มีศิลปะเอาซะเลย]

 

ทั้งสองมองที่ผมแล้วเริ่มพูดเรื่องไร้สาระกัน

 

แต่ต่อให้ไม่ต้องพูดผมก็รู้ว่ามันดูธรรมดา ตอนนี้ผมใส่แค่ชุดธรรมดา มือถือไลท์เซเบอร์ และสวมหมวกฟักทองบนหัว สภาพเหมือนที่ใส่ไปช่วยคนในบ้านชินโจไม่มีผิด แค่ใส่เสื้อคนละตัวกับวันนั้น

 

[…ไม่หรอก อันที่จริงมันก็ดูไม่ธรรมดาอยู่นะ]

 

[เห็นด้วย… เหมือนพวกเครื่องแบบของผู้แข็งแกร่งเลย]

 

[คืออะไร?]

 

เครื่องแบบของผู้แข็งแกร่ง… กับอีแค่ใส่หมวกฟักทองแล้วมันจะแข็งแกร่งได้ยังไง? ผมตวัดไลท์เซเบอร์ในมือไปมา มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่เคยฝึกเคนโด้ขึ้นมาได้เลย ขณะที่ผมกำลังแกว่งมันอย่างนุ่มนวล ผมได้ยินเสียงปรบมือของทั้งสองแว๊บเข้ามา

 

[นายดูแข็งแกร่งมากเลยนะ รู้รึเปล่า]

 

[…ถึงจะไม่มีหัวใจ แต่ก็ทำเอาฉันรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อยเลยเชียว]

 

ก็แล้วมันคืออะไรฟะ!?

 

ว่าแล้วก็รู้สึกเหนื่อยจากเรื่องไร้สาระของสองคนนี้ ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วทานอาหารที่คุณแม่ของทางฝั่งคนที่คอสเพลย์เป็นจอมขมังเวทย์เตรียมไว้ให้

 

ผมมักจะทำอาหารเมื่อมีเวลา แต่ส่วนมากมักลงเอยด้วยการกินบะหมี่ถ้วยซะแทน เพราะแบบนั้นการได้ทานอาหารจากฝีมือใครสักคนแบบนี้ มันทำให้ผมมีความสุขมากเป็นพิเศษ

 

[เป็นสินน้ำใจจ้ะ ฟุฟุ ในเมื่อฮายาโตะคุงชอบอาหารฝีมือของแม่ล่ะก็ มันก็คุ้มค่าที่จะทำให้]

 

[ขอบคุณมากครับ! อร่อยมากจริงๆ]

 

ซุปฟักทองที่ทำสำหรับวันฮาโลวีน รสชาติกลมกล่อมจนน่าตกใจ แถมยังมีไก่ทอดกับเฟรนช์ฟรายที่หนุ่มม.ปลายอย่างเราๆ ชอบกันอีก

 

[ดีใจที่เห็นเธอชอบนะ ไม่เหมือนลูกชายแม่ที่ขอบคุณสักคำก็ยังไม่มี]

 

[แม่ก็รู้อยู่นี่นา! มันน่าอายจะตาย!]

 

[ฉันจะภูมิใจในตัวนายมาก ถ้าเกิดนายโยนความเขินอายนั่นทิ้งไป และยอมขอบคุณเธอที่ยอมเป็นแม่ของนาย]

 

ผมพูดพร้อมมองไปที่เขา ในขณะที่ปากตัวเองเน้นย้ำคำว่า ‘นั่น’ เสียงแข็ง

 

ผมไม่อยากพูดเท่าไหร่ แต่ยิ่งคิดว่าตัวเองต้องอยู่กับใครสักคนไปตลอดชีวิต สิ่งที่หน้าใจหายที่สุดก็คือตอนที่รู้ว่าต้องเสียมันไปในสักวัน มันจะเป็นความรู้สึกอันโดดเดี่ยวที่ยากจะเยียวยาให้หายไปอีกนานแสนนาน

 

[ดูแลคนที่บ้านให้ดีนะจ้ะ~!]

 

[…ครับ]

 

สองคนนี้รู้ดีว่าผมเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็ก พวกเขาเลยค่อนข้างจริงจังกับคำพูดของผม แน่นอนว่าแม่ของเพื่อนผมก็เหมือนกัน

 

[นายแน่ใจนะว่าไม่เป็นไร?]

 

[ฉันสบายดี ปู่ย่าตายายของฝ่ายแม่ฉันก็ดูแลฉันมาตลอด มันก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรแบบนั้นหรอก]

 

พวกเขาส่งเงินค่าอยู่กินมาให้ผมตลอด ผมเลยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินมากขนาดนั้น ผมรู้ดีว่าพวกเขาเป็นห่วงผมมากแค่ไหน แม้ว่าผมจะเป็นลูกชายของลูกสาวก็ตาม

 

ผมอาจจะต้องกลับไปหาพวกเขาในช่วงวันหยุดปีใหม่ แล้วก็ซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปด้วย

 

[นี่ ฮายาโตะ ถ้านายมีปัญหาล่ะก็ มาปรึกษาพวกฉันได้นะ]

 

[ใช่แล้ว เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป ไม่สิ… เพื่อนที่ดีที่สุดต่างหาก! ฉันให้คำมั่นกับนายเลย!]

 

…ให้ตายสิ พวกนายนี่เพื่อนที่ดีที่สุดของที่สุดสำหรับฉันเลย!

 

หลังจากนั้น พวกเราก็คุยเฮฮาสังสรรค์กันเสียงดัง แต่ก็พยายามไม่ให้ดังจนรบกวนเพื่อนบ้านด้วยแน่นอน

 

แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่มีปีละครั้ง หรือต่อให้เป็นการรวมกลุ่มกันที่เล็กมากก็ตาม แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ทำให้ผมได้รู้ว่าคำว่าเพื่อนมีค่าสำหรับผมแค่ไหน

 

ผมออกมาจากบ้านเพื่อนเร็วไปหน่อย จากนั้นก็มุ่งตรงกลับบ้านตัวเอง โดยไม่แวะไปไหนอีก

 

แต่ถ้าผมกลับบ้านตอนนี้ ผมก็จะอยู่คนเดียวเหมือนเคย และก็จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างไร้สีสันเหมือนที่ผ่านมา

 

[…ฉันก็คงเหงาจริงๆ นั่นแหละ]

 

ทั้งพ่อและแม่ ถ้าเกิดไม่มีอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นล่ะก็ ตอนนี้ก็คงมีคนรอให้ผมกลับบ้านไปแน่นอน

 

[ฟังนะฮายาโตะ ลูกเองก็น่าจะทำตัวเป็นเด็กดื้อบ้างนะ… เป็นเด็กเป็นเล็กก็ควรมีช่วงเวลาที่ต้องดื้อแบบนั้นบ้างเหมือนกันนะ]

 

ผมก็อยากเป็นเด็กดื้อบ้างนั่นแหละ… แต่พอรู้ตัวอีกที ก็เหมือนว่ามันจะสายเกินกว่าที่จะทำแบบนั้นแล้วล่ะ คุณแม่

 

เพื่อกลบเกลื่อนหัวใจอันดำดิ่งของผม ผมหยิบหมวกฟังทองออกมาจากกระเป๋าแล้วดูมัน ทั้งตาและปากของมันเป็นรูกลวง อนึ่งสร้างมาให้ดูน่าตลกมากกว่าน่ากลัว

 

[นายนี่น่าขำชะมัด]

 

แล้วผมก็เอาฝ่ามือตบหัวมันเบาๆ

 

มันไม่มีเจตจำนงหรือความคิดที่จะตอบผม

 

เมื่อผมรับรู้ถึงความจริงประการนี้ ผมตัดสินใจที่ใส่มันกลับเข้ามาอีกครั้ง

 

[ก็เพราะเป็นวันฮาโลวีนนี่นะ ถ้างั้นก็เดินเล่นรอบๆ ก่อนกลับบ้านก็แล้วกัน]

 

นับเป็นเรื่องดีที่เมืองนี้เป็นเมืองที่คึกคัก ถ้าผมไปเจอใครในที่เปลี่ยวๆ ในตอนที่ใส่หมวกนี้อยู่ล่ะก็ คงไม่วายโดนกรี๊ดใส่แน่นอน

 

ผมเลยตัดสินใจจะใส่ไปจนถึงเลี้ยวหัวมุมสุดถนน

 

[ฮึ่มฮึ่มฮึ่~ม♪]

 

ผมเดินไปตามถนนด้วยอารมณ์อันคึกคะนอง พร้อมกับฮัมเพลงของนักร้องวงโปรดของผม

 

จนถึงสุดถนนที่เป็นเส้นทางของผม ผมอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งตัวเองเพราะความประมาทของผม

 

[…ฮึ่~มฮึมฮึ~ม♪…?]

 

ในตอนที่ผมกำลังหันไปสุดทางถนน บังเอิญกับที่เวลานั้นมีคนเดินสวนออกมาพอดี แต่ดีที่พวกเราไม่ชนกัน ส่วนผมก็หยุดตัวไว้ทันก่อนจะชนร่างทั้งสองนั่น

 

[…อ๊ะ]

 

[…โอ๊ะ!?]

 

สองคนที่ผมเกือบชนคืออาริสะซังกับไอนะซัง

 

พวกเธอสวมแจ็กเก็ตตัวหนา เพราะมันหนาวมากในตอนกลางคืน แต่เหมือนว่ามันไม่หนาพอที่จะปกปิดหน้าอกของพวกเธอได้จนมิด ผมเห็นได้ชัดเลยล่ะ อาริสะซังมองมาที่ผมอย่างประหลาดใจด้วยตาสีไพลินนั่น ในทางกลับกัน ไอนะซังดูเหมือนจะไม่แปลกใจเป็นพิเศษ แต่…

 

[…อ๊า~]

 

โดยปกติ ผมไม่ค่อยสนใจอะไรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ ผมกำลังใส่หมวกฟักทองแบบที่ผมเคยใส่ตอนนั้น

 

ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ผมเลยไม่ทันได้ระวังตัว

 

ด้วยความตกใจขั้นสุด ผมรีบถอยออกมาและพยายามจะออกไป แต่อาริสะซังก็คว้าแขนผมไว้

 

[เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป!]

 

ผมรู้สึกได้ว่าคำพูดนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน ผมสัมผัสได้ถึงบางอย่างจากน้ำเสียงของเธอที่ดึงดันไม่ยอมให้ผมได้วิ่งหนีไป

 

[…มีอะไรรึเปล่า?]

 

สุดท้ายแล้ว การซ่อนใบหน้าอยู่แบบนี้ก็เหมือนจะทำให้ผมกลายเป็นคนที่ต่างจากปกติ ถ้าเกิดผมวิ่งออกไปหลังจากที่เพิ่งพูดไปไม่กี่คำเหมือนตอนที่ช่วยสองคนนี้ ก็จะไม่มีอะไร… เกิดขึ้นกับผม

 

[พี่คะ พี่กำลังทำให้เขาลำบากใจอยู่นะ ใจเย็นก่อน ใกล้ๆ นี้ก็มีสวนสาธารณะอยู่ บางทีเขาอาจจะไปที่นั่นกับเราด้วยได้นะคะ]

 

[…เข้าใจแล้ว]

 

…ผมไม่คิดว่าตัวเองจะหนีพ้นจากจุดนี้ได้อีกแล้ว ก็คงมีแต่ต้องตามพวกเธอไป

 

สวนสาธารณะในละแวกนี้เหมือนจะเปลี่ยนแสงไฟใหม่เป็นสีขาว เพราะแบบนั้นถึงมีแมลงมารุมบินกันใส่หลอดไฟพวกนั้น แต่แสงก็ยังสว่างเพียงพอที่จะทำให้สวนสาธารณะแห่งนี้สว่าง

 

ทันใดนั้น อาริสะซังและไอนะซังก็จับมือผมและนั่งลงบนม้านั่ง

 

[…]

 

[เรามาถึงแล้ว!]

 

อาริสะซังจ้องมาที่ผม และไอนะซังจากที่ผมคิดไว้ เธอน่าจะเป็นประเภท─ เดี๋ยวนะ ผมหมายถึง… เกิดอะไรขึ้น? ผมมาลงเอยในจุดนี้ได้ยังไง?

 

ผู้ชายสวมหมวกฟักทองกำลังถูกคั่นกลางระหว่างเหล่าดอกฟ้าทั้งสอง… เอาจริงดิ เกิดอะไรขึ้น?

 

[อา… ดีขึ้นเยอะเลย]

 

…ทำไมเธอถึงดูมีความสุขนักล่ะ?

 

ไอนะซังเริ่มเปิดบทสนทนากับอาริสะซังเพื่ออาจช่วยผม เพราะผมหาทางออกจากสถานการณ์นี้ไม่ได้

 

[พี่คะ? หนูเองก็เห็นด้วยและเข้าใจว่าทำไมพี่ถึงแสดงท่าทางแบบนั้น แต่เราไม่ควรรั้งเขาไว้นานไปใช่ไหมคะ]

 

[…อืม ใช่ เธอพูดถูกแล้ว]

 

บางที ไอนะซังอาจจะเป็นนางฟ้ามาโปรดก็ได้

 

อาริสะซังกระแอมครั้งนึง แล้วเริ่มพูดในสิ่งที่เธอสมควรจะต้องพูดก่อน

 

[ขอบคุณมากนะคะสำหรับสิ่งที่คุณทำให้เราในตอนนั้น คุณได้ช่วยครอบครัวของพวกเราเอาไว้]

 

[…]

 

มือของเธอกุมมือของผมแน่นขึ้น

 

อาริสะซังมีแววตาที่โหยหาเหมือนกับที่ผมเห็นในตอนนั้น เป็นดวงตาที่เหมือนมองเห็นความหวัง มองเห็นสิ่งที่เธอสามารถพึ่งพาได้ ผมให้ความสนใจอยู่กับอาริสะซัง แต่อีกขณะหนึ่ง ไอนะซังเหมือนจะวางมือของเธอลงบนไหล่ของผม แล้วลูบมันเบาๆ

 

[บอกชื่อของคุณให้เราได้ไหม…?]

 

เป็นคำขอที่ค่อนข้างจริงจัง

 

ผมแน่ใจว่าอาริสะซังจะไม่มีวันปล่อยมือผมแน่หากผมไม่บอกชื่อให้พวกเธอฟัง ผมเลยตัดสินใจที่จะบอกชื่อของผมให้เท่าที่จะนึกได้…

 

ราวกับจะบอกเธอว่า ‘พวกเราเพิ่งพบกันเมื่อคืนและตอนนี้ ลืมมันไปซะ และฉันไม่ใช่ฮายาโตะ โดโมโตะ แต่เป็นคนอื่นต่างหาก!’

 

[…ชื่อของฉัน]

 

[…]

 

อาริสะซังจ้องมาที่ผมขณะที่เธอรอคำพูดต่อไปของผม

 

[ฉัน…]

 

แจ็ค โอแลนเทิร์น… นี่แหละ!

 

[แจ็ค… ชื่อของฉันคือแจ็ค]

 

[…แจ็คซัง♪]

 

[พรืด─!]

 

นอกจากอาริสะซังที่กำลังหน้าแดงและพึมพำคำว่าแจ็คอยู่แล้ว ก็มีไอนะซังที่กำลังหัวเราะพร้อมเอามือกุมท้องอยู่

 

[คุณเป็นของฉัน…]

 

…ผมพูดอะไรตรงนี้ได้ไหม?

 

สายตาของอาริสะซังดูน่ากลัวยังไงชอบกล…

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผมช่วยสองพี่น้องสาวสวยที่เกลียดผู้ชายโดยไม่บอกแม้แต่ชื่อ!?

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผมช่วยสองพี่น้องสาวสวยที่เกลียดผู้ชายโดยไม่บอกแม้แต่ชื่อ!?

Status: Ongoing
เมื่อผมเข้าไปช่วยสองพี่น้องสาวสวยร่วมชั้นจากโจร มีข่าวลือว่า… พวกเธอเกลียดผู้ชาย ไอนะ น้องสาวที่ใช้เนินอกบิ๊กไซส์ถูไถปรนเปรอผม กับอริสะ พี่สาวที่ต้องการจะรับใช้ผมในชุดเมด นะ นี่มัน… ต่างจากที่ผมได้ยินมาลิบลับเลยนี่หว่า!? ผมไม่ทันได้สังเกตุเลยว่า สำหรับสองพี่น้องคู่นี้ “ผมเท่านั้นที่พิเศษ” [ชั้นอยากจะร่วมรัก และให้กำเนิดลูกของฮายาโตะ] [ชั้นอยากเป็นทาสรักของท่านฮายาโตะ] [ถ้างั้น… พี่คะ เรามาดำดิ่งไปกับความรักของฮายาโตะด้วยกันมั้ย!?] …ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้จะต้องแย่แน่ๆ ถึงอย่างนั้นความรักที่พวกเธอมอบให้นั้น มันช่างหอมหวานจนผมชักอยากจะยอมจำนนด้วยตัวเอง อยากจะถูกรุมรักแบบนี้สักครั้ง เรื่องราวความรักฮาเร็มสุดแสนบริสุทธิ์ที่ออกจะเข้มข้นจนเกินไปได้เริ่มต้นขึ้น!!

แสดงความคิดเห็น

  1. เทพดาบ พูดว่า:

    ขอถอนคำพูด คนพี่เองก็น่ากล้วเว้ย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท