“ชื่อของฟักทองคือแจ็ค”
[ตื่นเต้นไปหน่อยมั้ง]
[เปล่าเฟ้ย! อย่ามาดูถูกโอตาคุเชียว!!]
ในวันอาทิตย์ ในที่สุดวันฮาโลวีนที่พวกเรารอกันมานานก็ถูกจัดกันที่บ้านของเพื่อนผม
เพื่อนสองคนกำลังเถียงกันต่อหน้าผม
แน่นอนว่าทั้งสองคนรอวันนี้กันมานาน แต่พวกเขากำลังเถียงกันเรื่องชุดที่ใส่กันมาอยู่
คนหนึ่งกำลังคอสเพลย์เป็นตัวละครจากอนิเมะ ใส่ชุดสีดำเหมือนพวกจอมขมังเวทย์ ถือไม้คฑาที่น่าจะเป็นอาวุธ ราคาดูแพงไม่น้อย
[…นี่จริงจังใช่ไหม? ไม่สิ มันก็เท่อยู่หรอก]
แต่ก็อย่างว่า นี่คือการคอสเพลย์ บอกได้เต็มปากเลยว่ามันคืออาณาจักรที่จะสามารถเข้าไปได้หากถวายตัวใช้ชีวิตเป็นโอตาคุแล้วเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน อีกคนแต่งคอสเพลย์เป็นแดร็กคูล่าแบบทั่วไป แต่เขาใส่แค่ชุดสูทกับเสื้อคลุม และเมคอัพหน้าเล็กน้อยให้ดูเหมือนแดร็กคูล่า
[แดร็กคูล่าคลาสสิคจะตาย ไม่เหมือนของนาย]
[ก็จริงแหละ ต่างกับอีกคนที่… ไม่มีศิลปะเอาซะเลย]
ทั้งสองมองที่ผมแล้วเริ่มพูดเรื่องไร้สาระกัน
แต่ต่อให้ไม่ต้องพูดผมก็รู้ว่ามันดูธรรมดา ตอนนี้ผมใส่แค่ชุดธรรมดา มือถือไลท์เซเบอร์ และสวมหมวกฟักทองบนหัว สภาพเหมือนที่ใส่ไปช่วยคนในบ้านชินโจไม่มีผิด แค่ใส่เสื้อคนละตัวกับวันนั้น
[…ไม่หรอก อันที่จริงมันก็ดูไม่ธรรมดาอยู่นะ]
[เห็นด้วย… เหมือนพวกเครื่องแบบของผู้แข็งแกร่งเลย]
[คืออะไร?]
เครื่องแบบของผู้แข็งแกร่ง… กับอีแค่ใส่หมวกฟักทองแล้วมันจะแข็งแกร่งได้ยังไง? ผมตวัดไลท์เซเบอร์ในมือไปมา มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่เคยฝึกเคนโด้ขึ้นมาได้เลย ขณะที่ผมกำลังแกว่งมันอย่างนุ่มนวล ผมได้ยินเสียงปรบมือของทั้งสองแว๊บเข้ามา
[นายดูแข็งแกร่งมากเลยนะ รู้รึเปล่า]
[…ถึงจะไม่มีหัวใจ แต่ก็ทำเอาฉันรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อยเลยเชียว]
ก็แล้วมันคืออะไรฟะ!?
ว่าแล้วก็รู้สึกเหนื่อยจากเรื่องไร้สาระของสองคนนี้ ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วทานอาหารที่คุณแม่ของทางฝั่งคนที่คอสเพลย์เป็นจอมขมังเวทย์เตรียมไว้ให้
ผมมักจะทำอาหารเมื่อมีเวลา แต่ส่วนมากมักลงเอยด้วยการกินบะหมี่ถ้วยซะแทน เพราะแบบนั้นการได้ทานอาหารจากฝีมือใครสักคนแบบนี้ มันทำให้ผมมีความสุขมากเป็นพิเศษ
[เป็นสินน้ำใจจ้ะ ฟุฟุ ในเมื่อฮายาโตะคุงชอบอาหารฝีมือของแม่ล่ะก็ มันก็คุ้มค่าที่จะทำให้]
[ขอบคุณมากครับ! อร่อยมากจริงๆ]
ซุปฟักทองที่ทำสำหรับวันฮาโลวีน รสชาติกลมกล่อมจนน่าตกใจ แถมยังมีไก่ทอดกับเฟรนช์ฟรายที่หนุ่มม.ปลายอย่างเราๆ ชอบกันอีก
[ดีใจที่เห็นเธอชอบนะ ไม่เหมือนลูกชายแม่ที่ขอบคุณสักคำก็ยังไม่มี]
[แม่ก็รู้อยู่นี่นา! มันน่าอายจะตาย!]
[ฉันจะภูมิใจในตัวนายมาก ถ้าเกิดนายโยนความเขินอายนั่นทิ้งไป และยอมขอบคุณเธอที่ยอมเป็นแม่ของนาย]
ผมพูดพร้อมมองไปที่เขา ในขณะที่ปากตัวเองเน้นย้ำคำว่า ‘นั่น’ เสียงแข็ง
ผมไม่อยากพูดเท่าไหร่ แต่ยิ่งคิดว่าตัวเองต้องอยู่กับใครสักคนไปตลอดชีวิต สิ่งที่หน้าใจหายที่สุดก็คือตอนที่รู้ว่าต้องเสียมันไปในสักวัน มันจะเป็นความรู้สึกอันโดดเดี่ยวที่ยากจะเยียวยาให้หายไปอีกนานแสนนาน
[ดูแลคนที่บ้านให้ดีนะจ้ะ~!]
[…ครับ]
สองคนนี้รู้ดีว่าผมเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็ก พวกเขาเลยค่อนข้างจริงจังกับคำพูดของผม แน่นอนว่าแม่ของเพื่อนผมก็เหมือนกัน
[นายแน่ใจนะว่าไม่เป็นไร?]
[ฉันสบายดี ปู่ย่าตายายของฝ่ายแม่ฉันก็ดูแลฉันมาตลอด มันก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรแบบนั้นหรอก]
พวกเขาส่งเงินค่าอยู่กินมาให้ผมตลอด ผมเลยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินมากขนาดนั้น ผมรู้ดีว่าพวกเขาเป็นห่วงผมมากแค่ไหน แม้ว่าผมจะเป็นลูกชายของลูกสาวก็ตาม
ผมอาจจะต้องกลับไปหาพวกเขาในช่วงวันหยุดปีใหม่ แล้วก็ซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปด้วย
[นี่ ฮายาโตะ ถ้านายมีปัญหาล่ะก็ มาปรึกษาพวกฉันได้นะ]
[ใช่แล้ว เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป ไม่สิ… เพื่อนที่ดีที่สุดต่างหาก! ฉันให้คำมั่นกับนายเลย!]
…ให้ตายสิ พวกนายนี่เพื่อนที่ดีที่สุดของที่สุดสำหรับฉันเลย!
หลังจากนั้น พวกเราก็คุยเฮฮาสังสรรค์กันเสียงดัง แต่ก็พยายามไม่ให้ดังจนรบกวนเพื่อนบ้านด้วยแน่นอน
แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่มีปีละครั้ง หรือต่อให้เป็นการรวมกลุ่มกันที่เล็กมากก็ตาม แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ทำให้ผมได้รู้ว่าคำว่าเพื่อนมีค่าสำหรับผมแค่ไหน
ผมออกมาจากบ้านเพื่อนเร็วไปหน่อย จากนั้นก็มุ่งตรงกลับบ้านตัวเอง โดยไม่แวะไปไหนอีก
แต่ถ้าผมกลับบ้านตอนนี้ ผมก็จะอยู่คนเดียวเหมือนเคย และก็จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างไร้สีสันเหมือนที่ผ่านมา
[…ฉันก็คงเหงาจริงๆ นั่นแหละ]
ทั้งพ่อและแม่ ถ้าเกิดไม่มีอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นล่ะก็ ตอนนี้ก็คงมีคนรอให้ผมกลับบ้านไปแน่นอน
[ฟังนะฮายาโตะ ลูกเองก็น่าจะทำตัวเป็นเด็กดื้อบ้างนะ… เป็นเด็กเป็นเล็กก็ควรมีช่วงเวลาที่ต้องดื้อแบบนั้นบ้างเหมือนกันนะ]
ผมก็อยากเป็นเด็กดื้อบ้างนั่นแหละ… แต่พอรู้ตัวอีกที ก็เหมือนว่ามันจะสายเกินกว่าที่จะทำแบบนั้นแล้วล่ะ คุณแม่
เพื่อกลบเกลื่อนหัวใจอันดำดิ่งของผม ผมหยิบหมวกฟังทองออกมาจากกระเป๋าแล้วดูมัน ทั้งตาและปากของมันเป็นรูกลวง อนึ่งสร้างมาให้ดูน่าตลกมากกว่าน่ากลัว
[นายนี่น่าขำชะมัด]
แล้วผมก็เอาฝ่ามือตบหัวมันเบาๆ
มันไม่มีเจตจำนงหรือความคิดที่จะตอบผม
เมื่อผมรับรู้ถึงความจริงประการนี้ ผมตัดสินใจที่ใส่มันกลับเข้ามาอีกครั้ง
[ก็เพราะเป็นวันฮาโลวีนนี่นะ ถ้างั้นก็เดินเล่นรอบๆ ก่อนกลับบ้านก็แล้วกัน]
นับเป็นเรื่องดีที่เมืองนี้เป็นเมืองที่คึกคัก ถ้าผมไปเจอใครในที่เปลี่ยวๆ ในตอนที่ใส่หมวกนี้อยู่ล่ะก็ คงไม่วายโดนกรี๊ดใส่แน่นอน
ผมเลยตัดสินใจจะใส่ไปจนถึงเลี้ยวหัวมุมสุดถนน
[ฮึ่มฮึ่มฮึ่~ม♪]
ผมเดินไปตามถนนด้วยอารมณ์อันคึกคะนอง พร้อมกับฮัมเพลงของนักร้องวงโปรดของผม
จนถึงสุดถนนที่เป็นเส้นทางของผม ผมอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งตัวเองเพราะความประมาทของผม
[…ฮึ่~มฮึมฮึ~ม♪…?]
ในตอนที่ผมกำลังหันไปสุดทางถนน บังเอิญกับที่เวลานั้นมีคนเดินสวนออกมาพอดี แต่ดีที่พวกเราไม่ชนกัน ส่วนผมก็หยุดตัวไว้ทันก่อนจะชนร่างทั้งสองนั่น
[…อ๊ะ]
[…โอ๊ะ!?]
สองคนที่ผมเกือบชนคืออาริสะซังกับไอนะซัง
พวกเธอสวมแจ็กเก็ตตัวหนา เพราะมันหนาวมากในตอนกลางคืน แต่เหมือนว่ามันไม่หนาพอที่จะปกปิดหน้าอกของพวกเธอได้จนมิด ผมเห็นได้ชัดเลยล่ะ อาริสะซังมองมาที่ผมอย่างประหลาดใจด้วยตาสีไพลินนั่น ในทางกลับกัน ไอนะซังดูเหมือนจะไม่แปลกใจเป็นพิเศษ แต่…
[…อ๊า~]
โดยปกติ ผมไม่ค่อยสนใจอะไรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ ผมกำลังใส่หมวกฟักทองแบบที่ผมเคยใส่ตอนนั้น
ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ผมเลยไม่ทันได้ระวังตัว
ด้วยความตกใจขั้นสุด ผมรีบถอยออกมาและพยายามจะออกไป แต่อาริสะซังก็คว้าแขนผมไว้
[เดี๋ยว… อย่าเพิ่งไป!]
ผมรู้สึกได้ว่าคำพูดนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน ผมสัมผัสได้ถึงบางอย่างจากน้ำเสียงของเธอที่ดึงดันไม่ยอมให้ผมได้วิ่งหนีไป
[…มีอะไรรึเปล่า?]
สุดท้ายแล้ว การซ่อนใบหน้าอยู่แบบนี้ก็เหมือนจะทำให้ผมกลายเป็นคนที่ต่างจากปกติ ถ้าเกิดผมวิ่งออกไปหลังจากที่เพิ่งพูดไปไม่กี่คำเหมือนตอนที่ช่วยสองคนนี้ ก็จะไม่มีอะไร… เกิดขึ้นกับผม
[พี่คะ พี่กำลังทำให้เขาลำบากใจอยู่นะ ใจเย็นก่อน ใกล้ๆ นี้ก็มีสวนสาธารณะอยู่ บางทีเขาอาจจะไปที่นั่นกับเราด้วยได้นะคะ]
[…เข้าใจแล้ว]
…ผมไม่คิดว่าตัวเองจะหนีพ้นจากจุดนี้ได้อีกแล้ว ก็คงมีแต่ต้องตามพวกเธอไป
สวนสาธารณะในละแวกนี้เหมือนจะเปลี่ยนแสงไฟใหม่เป็นสีขาว เพราะแบบนั้นถึงมีแมลงมารุมบินกันใส่หลอดไฟพวกนั้น แต่แสงก็ยังสว่างเพียงพอที่จะทำให้สวนสาธารณะแห่งนี้สว่าง
ทันใดนั้น อาริสะซังและไอนะซังก็จับมือผมและนั่งลงบนม้านั่ง
[…]
[เรามาถึงแล้ว!]
อาริสะซังจ้องมาที่ผม และไอนะซังจากที่ผมคิดไว้ เธอน่าจะเป็นประเภท─ เดี๋ยวนะ ผมหมายถึง… เกิดอะไรขึ้น? ผมมาลงเอยในจุดนี้ได้ยังไง?
ผู้ชายสวมหมวกฟักทองกำลังถูกคั่นกลางระหว่างเหล่าดอกฟ้าทั้งสอง… เอาจริงดิ เกิดอะไรขึ้น?
[อา… ดีขึ้นเยอะเลย]
…ทำไมเธอถึงดูมีความสุขนักล่ะ?
ไอนะซังเริ่มเปิดบทสนทนากับอาริสะซังเพื่ออาจช่วยผม เพราะผมหาทางออกจากสถานการณ์นี้ไม่ได้
[พี่คะ? หนูเองก็เห็นด้วยและเข้าใจว่าทำไมพี่ถึงแสดงท่าทางแบบนั้น แต่เราไม่ควรรั้งเขาไว้นานไปใช่ไหมคะ]
[…อืม ใช่ เธอพูดถูกแล้ว]
บางที ไอนะซังอาจจะเป็นนางฟ้ามาโปรดก็ได้
อาริสะซังกระแอมครั้งนึง แล้วเริ่มพูดในสิ่งที่เธอสมควรจะต้องพูดก่อน
[ขอบคุณมากนะคะสำหรับสิ่งที่คุณทำให้เราในตอนนั้น คุณได้ช่วยครอบครัวของพวกเราเอาไว้]
[…]
มือของเธอกุมมือของผมแน่นขึ้น
อาริสะซังมีแววตาที่โหยหาเหมือนกับที่ผมเห็นในตอนนั้น เป็นดวงตาที่เหมือนมองเห็นความหวัง มองเห็นสิ่งที่เธอสามารถพึ่งพาได้ ผมให้ความสนใจอยู่กับอาริสะซัง แต่อีกขณะหนึ่ง ไอนะซังเหมือนจะวางมือของเธอลงบนไหล่ของผม แล้วลูบมันเบาๆ
[บอกชื่อของคุณให้เราได้ไหม…?]
เป็นคำขอที่ค่อนข้างจริงจัง
ผมแน่ใจว่าอาริสะซังจะไม่มีวันปล่อยมือผมแน่หากผมไม่บอกชื่อให้พวกเธอฟัง ผมเลยตัดสินใจที่จะบอกชื่อของผมให้เท่าที่จะนึกได้…
ราวกับจะบอกเธอว่า ‘พวกเราเพิ่งพบกันเมื่อคืนและตอนนี้ ลืมมันไปซะ และฉันไม่ใช่ฮายาโตะ โดโมโตะ แต่เป็นคนอื่นต่างหาก!’
[…ชื่อของฉัน]
[…]
อาริสะซังจ้องมาที่ผมขณะที่เธอรอคำพูดต่อไปของผม
[ฉัน…]
แจ็ค โอแลนเทิร์น… นี่แหละ!
[แจ็ค… ชื่อของฉันคือแจ็ค]
[…แจ็คซัง♪]
[พรืด─!]
นอกจากอาริสะซังที่กำลังหน้าแดงและพึมพำคำว่าแจ็คอยู่แล้ว ก็มีไอนะซังที่กำลังหัวเราะพร้อมเอามือกุมท้องอยู่
[คุณเป็นของฉัน…]
…ผมพูดอะไรตรงนี้ได้ไหม?
สายตาของอาริสะซังดูน่ากลัวยังไงชอบกล…
ขอถอนคำพูด คนพี่เองก็น่ากล้วเว้ย