“ฟักทองที่เย้ยหยันหัวใจความเป็นทาสอันผลิบาน”
อาริสะซังกำลังพึมพำว่า ‘แจ็ค’ อนึ่งว่าเธอทึ่งกับชื่อนี้ ส่วนไอนะซังก็กำลังหัวเราะขณะที่เอามือกุมท้องของเธอไว้…
แจ็ค ผมพูดบ้าอะไรไปเนี้ย…
แล้วทีนี้ผมจะทำยังไงต่อล่ะ
แม้ว่าผมจะอยากหนีออกจากสถานการณ์นี้ให้ไว แต่ก็คงได้แต่คิดเท่านั้น เพราะผมถูกขนาบข้างจากพร้อมกันทั้งซ้ายขวาจากเธอสองคนนี้
หนักกว่านั้นคือ พวกเธอยังขยับเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิม จนหน้าอกของทั้งคู่กดมาโดนที่แขนผม
[…]
ใครก็ได้ช่วยผมออกไปที ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสวรรค์และนรกไม่มีผิด เหมือนได้ยินเสียงวิญญาณของผมร้องโหยหวนออกมาด้วย จนกระทั่งไอนะซังทำท่าเหมือนจะพูด แล้วก็พูด…
[ฟุฟุ มีปัญหาอะไรรึเปล่าฮายาโตะคุง?]
[มีแน่นอน… เอ๊ะ─?]
…เดี๋ยว เมื่อครู่ไอนะซังพูดว่าอะไรนะ
ภายใต้หมวกฟักทอง ผมช็อค
แล้วผมก็หันไปหาไอนะซังโดยสัญชาตญาณ สายตาของเธอบอกว่าเธอรู้ว่าเป็นผมโดยไม่พูดอะไร
[ฮายาโตะ …คุง?]
อาริสะซังเอียงหน้ามอง สงสัยว่าที่ไอนะซังพูดมาหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้ความสนใจของผมไม่ได้อยู่ที่เธออีกต่อไป
ผมมองไอนะซังที่ซึ่งมองผมผ่านหมวกฟักทองเหมือนกัน เธอไม่ได้ยิ้มเหมือนที่ผ่านมาในตอนที่มองผม แต่กำลังมองผมด้วยสายตาที่โหยหาและรักใคร่
[ขอโทษนะ ที่จริงหนูรู้เรื่องนี้มาพักใหญ่แล้ว แต่หนูไม่คิดว่าพี่จะสังเกตเห็นหรอก พี่คะ]
[เอ๊ะ? ไอนะ?]
[…]
เห็นได้ชัดเลย ว่าพอผมเจอเรื่องให้น่าประหลาดใจมาบ่อย มาคราวนี้ผมกลับรู้สึกใจสงบขึ้นกว่าคราวก่อน ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าไอนะซังหมายถึงอะไร เธอเรียกผมฮายาโตะ ผมใส่หมวกฟักทอง หมวกนี้ค่อนข้างมิด ยังไงก็มองไม่เห็นหน้าคนใส่แน่นอน แสดงว่าเธอรู้ว่าผมเป็นใครมาตั้งแต่เนิ่นอยู่แล้ว
[…บางทีพอทำแบบนี้แล้วก็เหมือนเป็นคนโง่เลย แต่ฉันว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ]
ในเมื่อรู้อยู่แล้วก็ช่วยไม่ได้
แล้วผมก็ถอดหมวกฟักทองออกทันที
[ฮายาโตะคุง!]
[น─นายคือ…]
สิ่งแรกที่ไอนะซังทำเมื่อผมถอดหมวกฟักทองคือ โน้มตัวเข้ามาใกล้ผมกว่าเดิม อาริสะซังเองก็ประหลาดใจที่ได้เห็นใบหน้าของผม อย่างที่คิด… แต่ว่าไอนะซัง หน้าใกล้ไปแล้วนะ
[ไอนะซัง… เอ่อ ตำแหน่งแบบนี้มันน่าอายอยู่นะ ลุกออกไปก่อนได้รึเปล่า?]
“ไม่ได้~? ทั้งที่พวกเราผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันแท้ๆ”
ไม่สิ ก็เธอเพิ่งบอกไปหยกๆ นี่นาว่าผมเป็นใคร
แต่เธอรู้ว่าเป็นผมตั้งแต่เมื่อไหร่ สำหรับคำตอบนั้น เธอบอกว่ารู้มาตั้งแต่แรกแล้ว
เธอเริ่มรู้ตัวตั้งแต่ตอนที่อาริสะซังถูกสารภาพรักเมื่อตอนนั้น แสดงว่าที่เธอเข้าหาผมก็เพื่อต้องการยืนยันให้แน่ใจ สรุปแล้วเรื่องที่ผมปกปิดไว้ก็ไม่มีประโยชน์สินะ
[ไอนะ…]
[…หนูแค่อยากให้เขาเป็นของหนูสักพักนี่คะ]
[…จริงๆ เลยนะ]
พวกเธอสองพี่น้องเริ่มแบ่งปันตัวผมให้ซึ่งกันและกัน ผมลอบถอนหายใจแล้วหันไปมองอาริสะซังอีกครั้ง จากนั้นก็ก้มหัวลง
[…เรื่องเมื่อกี้ ขอโทษที่ปิดบังเอาไว้นะครับ]
ผมเองก็มีเหตุผลที่ต้องปิดบังเอาไว้อยู่เหมือนกัน
ตอนแรก ผมคิดว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่ต้องมาพัวพันกับสถานการณ์แบบนี้
เอ๊ะ แต่ถ้าไอนะซังรู้จักผมอยู่แล้ว ถ้างั้นอาริสะซังก็ต้องรู้ในสักวันอยู่แล้วน่ะสิ?
เมื่อได้ฟังคำพูดของผม อาริสะซังมองเข้ามาในดวงตาของผม เพราะแสงไฟที่ส่องสว่างในสวนสาธารณะ ผมมองเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน
[─ท่านฮายาโตะ…]
ท่าน…?
วินาทีนั้นเธอก็ก้มหน้าลง จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วพูด
[สายัณห์สวัสดิ์อีกครั้งค่ะ ชื่อของฉันคืออาริสะ ชินโจ ยินดีที่ได้รู้จักกันอีกครั้งนะคะ…]
[…อื้ม]
ผมรู้สึกแปลกๆ ที่เหมือนเธอกำลังมองอะไรบางอย่างที่มันเปร่งประกาย อาริสะซังมองมาที่ผม ผมรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่น่าสะพรึงจากสายตานั่น แต่ผมละสายตาจากเธอไปไม่ได้เลย
ท่ามกลางความรู้สึกแปลกนี้ ผมได้สติอีกครั้งเมื่อไอนะซังเอามือวางลงบนไหล่ของผม
[…ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ชินโจซังกับ… ไอนะซัง…ไม่มีปัญหาใช่ไหม?]
[แน่นอน! ทีนี้เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้วเนอะ]
[…ไอนะ?]
[ฉันด้วยสิ เรียกฉันว่าอาริสะด้วยได้ไหม? ฉันอยากให้นายเรียกฉันด้วยชื่อจริงเหมือนกัน แล้วก็ไม่ต้องสุภาพด้วยก็ได้]
[…]
ผมดีใจนะที่เธอบอกผมแบบนั้น แต่ก็เหมือนกับกรณีของไอนะ ผมเองก็กังวลอยู่
แต่ถึงยังไง ผมก็เรียกไอนะซังด้วยชื่อจริงของเธออยู่แล้ว มันคงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่หากผมเรียกแต่อาริสะซังด้วยนามสกุล
ดูเปลืองตัวยังไงชอบกล… แต่ผมไม่ถือสาอะไรหรอก ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร
[…อาริสะซัง]
[เรียกแค่ชื่อจริงของฉันก็พอ… ขอโทษที่ขอเรื่องส่วนตัวแบบนี้นะ ฉันจะมีความสุขมากเลยถ้านายเรียกชื่อจริงฉันเหมือนที่คนเป็นเพื่อนสนิทเขาทำกัน]
[อื้ม…]
ถ้างั้นนี่ก็อยู่ในระดับเพื่อนกันสินะ… ผมพยายามที่จะออกจากสถานการณ์นี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่อาริสะซังไม่ละสายตาไปจากผมเลย แถมยังคงจ้องมาที่ผมด้วยดวงตาสีไพลินที่เป็นประกายคู่นั้น
หลังจากที่โดนจ้องอยู่สักพัก สุดท้ายผมก็พยักหน้ารับคำ แล้วก็ทำข้อตกลงกับเธอ
[เข้าใจแล้ว ผมจะเรียกแบบนั้นก็ได้ แต่ก่อนอื่น… ผมก็ไม่คิดว่าควรพูดเรื่องนี้หรอก แต่ทำตัวเป็นปกติก่อนได้รึเปล่า เหมือนอย่างที่คุยกับไอนะซังเมื่อกี้]
[นั่น… ฉันคิดว่าฉันคงทำไม่ได้]
[ถ้าให้เดา คงจะเป็นแบบนี้แค่กับผมใช่ไหม?]
คงเป็นแค่กับผมสินะ? ผมจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้เพราะมันค่อนข้างสำคัญ มันจะสะดวกกว่านี้ถ้าเกิดเธอพูดเหมือนปกติอย่างที่เธอพูดกับไอนะซัง
หลังจากที่ครุ่นคิดด้วยท่าทางที่ห่อเหี่ยว ในที่สุดอาริสะซังก็เริ่มพูดอะไรบางอย่างออกมา
[เข้าใจแล้ว… ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วล่ะฮายาโตะคุง แบบนี้คงไม่มีปัญหาสินะ?]
[ใช่แล้ว แบบนั้นแหละอาริสะ]
[…ฟุฮ่าห์]
อาริสะซังยกยิ้มอนึ่งว่าหน้าของเธอเริ่มบิดเบี้ยวไปทีละนิด ทั้งยังเอาแต่พึมพำอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้ จนผมต้องขยับตัวออกมาสักหน่อย แต่สุดท้ายผมก็ชนกับไอนะซังที่อยู่อีกฝั่งพอดี
[เรียกพี่แบบนั้นไม่ยุติธรรมเลยน้า เรียกชื่อแบบไม่มีคำลงท้ายกับฉันบ้างสิ ฮายาโตะคุง♪~?]
[…ไอนะ?]
[…อื้มห์… แบบนั้นแหละ สัมผัสได้เลย]
แต่ยังไงก็ตาม หลังจากนั้นพวกเราก็คุยกันอีกสักพักใหญ่ แล้วก็ตัดสินใจกลับกัน เพราะนี่ก็ดึกแล้ว
ตำรวจออกตรวจตราแถวนี้เพราะเหตุโจรกรรมเมื่อไม่นานมานี้ ผมเดินไปส่งพวกเธอถึงบ้านเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก
พวกเธอก็ชวนผมให้มาที่บ้านพวกเธอในโอกาศหน้า แต่ผมก็ต้องปฏิเสธไปก่อนด้วยเหตุผลส่วนตัว ฯลฯ
“ถ้าอย่างนั้น ฮายาโตะคุง!”
“เจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียนนะ”
ดอกฟ้าทั้งสองมองแผ่นหลังของผมที่จากไป
อนึ่งว่าผมเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่เร่าร้อนมา หมวกฟักทองในกระเป๋าก็เหมือนกำลังหัวเราะเย้ยหยันผมอยู่
…
…
…
ทางด้านของอาริสะ
ถ้ามีคนบอกว่ามันคือพรมลิขิต ฉันก็เชื่อสุดใจ
ไม่กี่วันหลังจากเรื่องนั้น ฉันได้พบกับเขาอีกครั้ง ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อแจ็ค และได้รู้ว่าที่จริงแล้วเขาคือเพื่อนรุ่นเดียวกันกับไอนะ ที่ฉันทั้งเคยเห็นและเรียนโรงเรียนเดียวกัน
“โดโมโตะ… ฮายาโตะคุง… ฮายาโตะคุง… ท่านฮายาโตะ”
ในตอนที่ฉันเห็นหน้าเขาเป็นครั้งแรก หัวใจฉันเต้นแรงตื่นเต้นไปหมด
ทรงผมที่ดูสะเปะสะปะนิดหน่อย สายตาที่โอบอ้อมอารีทำให้เขาดูสมชายชาตรี เขาไม่ได้มีกล้ามที่ใหญ่โต แต่ฉันก็เดาออกว่าเขาพยายามมากแค่ไหน บางทีเขาอาจจะเคยเล่นกีฬามาก่อน
ในหัวของฉันมีแต่เรื่องของเขา ฉันตกหลุมรักเขาแค่เพียงครั้งแรกเห็น อยากคุยให้มากกว่านี้ อยากให้มองมาที่ฉันมากกว่านี้ อยากให้เรียกชื่อฉันมากกว่านี้ อยากเป็นสิ่งของของเขาตราบเท่าที่เป็นไปได้
“…ฟุฟุ”
ไม่เคยรู้สึกสุขใจขนาดนี้มาก่อนเลย
ฉันเป็นของเขา… แค่คิดถึงเขา หัวใจฉันก็เต้นระรัว ฉันอยากอยู่เคียงข้างเขา อยากทำให้เขามีความสุข อยากสนับสนุนเขาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน นั่นคือทั้งหมดที่ฉันนึกได้
“ยิ่งไปกว่านั้น… เขาปกป้องพวกเรามาตลอด”
ฮายาโตะคุง นายเฝ้าดูมานานแล้วสินะ
ฉันรู้ว่าบ้านเขาอยู่ในละแวกนี้ พวกเราทักทายกันทุกครั้งที่เห็นหน้ากัน ฉันอยากจะเอาหัวมุดดินจริงๆ ทำไมฉันถึงไม่รู้จักเขาให้เร็วกว่านี่นะ ทำไมถึงไม่รู้ว่าเขาปกป้องเรา
[ใช่… เขาปกป้องพวกเรามาตลอด การที่มาช่วยพวกเราก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร]
เขาทำแบบนี้… มาโดยตลอด แล้วฉันมัวไปทำอะไรอยู่
ฉันได้ทำอะไรให้เขาบ้างไหม ในตอนที่เขาปกป้องเรา
ใช่… ฉันไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย
เพื่อตอบแทนที่เขาปกป้องพวกเรามาหลายปี ไม่มีอะไรดีไปกว่าเป็นสิ่งของของเขาอีกแล้ว เพื่อที่เราจะได้สนันสนุนเขาต่อไป
ฉันต้องดูแลเขา อยู่เพื่อเขา และอยู่เคียงข้างเขาในฐานะสิ่งของของเขา
[…วิเศษจริงๆ♪]
ฉันมีชีวิตอยู่ในฐานะสิ่งของเพียงหนึ่งเดียวของเขา นี่คือเหตุผลที่ฉันเกิดมา
ระหว่างบทสนทนากับเพื่อน ฉันบอกไปว่าฉันอยากจะรับใช้เขา ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งได้ ใช่ ฉันอยากเป็นทาสของเขา ใช่แล้ว… ใช่แล้ว!!
[ฟุฟุ… ฮ่าฮ่าฮ่า♪]
วิเศษไปเลย เป็นโลกที่วิเศษจริงๆ
ฮายาโตะคุง… ท่านฮายาโตะ… ชื่ออันแสนไพเราะนี้จะถูกสลักเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของฉัน คือความสุขของฉัน ตอนนี้ความเป็นตัวฉันเริ่มปะทุออกมาแล้ว
ฉัน อาริสะ ชินโจ คือทาสของท่านฮายาโตะ…
นายท่านคะ… อ๊าห์… ถึงมันจะน่าอายไปหน่อย แต่ฉันรู้สึกอิ่มเอมหัวใจจนไม่อาจกักเก็บความสุขนี้ไว้ และไม่มีอะไรจะมาหักล้างมันได้