“คมหอกของรักอันขื่นขมที่ทิ่มแทง”
การสูญเสียคนในครอบครัวไป มันไม่น่าอภิรมย์เลย
ความเศร้าของผม กับความเหงาในตอนนั้นได้กลับกลายเป็นสิ่งที่ผมชินกับมัน… เมื่อเวลาผ่านไป
พ่อผมจากไปก่อน จากนั้นก็ตามด้วยแม่ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี ผมรู้สึกเหมือนใจสลายเลยล่ะ
ครอบครัวของฝ่ายพ่อก็ดูจะไม่ชอบผมเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าทำไม แต่อย่างน้อยปู่ย่าตายายของฝั่งแม่ก็ยังเอ็นดูผม เพราะแบบนั้น พอพ่อแม่เสียไป พวกเขา(ฝ่ายพ่อ)เลยให้ผมไปอยู่กับฝ่ายนั้น(ฝ่ายแม่)แทน
[…ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะครับ แต่ผมชอบบ้านหลังนี้มากกว่า]
ผมไม่เกี่ยงกับข้อเสนอของปู่ยาตายายของผม แต่ผมไม่อยากจากบ้านหลังนี้ไป มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมหลงเหลือจากพวกท่านทั้งสอง ผมอยู่มานาน ผูกพันธ์กับมันเกินกว่าจะทิ้งไปได้
ผมเองก็กังวลอยู่หลายอย่าง แต่อย่างที่เคยว่าไว้ เดี๋ยวก็ชิน เมื่อเวลาผ่านไปก็คงทำใจได้แล้ว
ชีวิตที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ของผมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผม ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไปกับการอยู่คนเดียว
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมไม่เคยลืมเลือน…
[ฮายาโตะ]
[ฮายาโตะ]
ผมฝันเป็นครั้งคราว ฝันว่าพวกท่านยังคงมีชีวิตอยู่ ผมฝันแบบนี้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่แล้วก็ต้องรู้สึกตัวว่ามันไม่มีวันเป็นความจริง
ที่อยากบอกก็คือ ผมจะไม่มีวันลืม ว่าครั้งหนึ่งผมเคยได้รับความอบอุ่นของครอบครัวอย่างเต็มเปี่ยม แต่บ้านหลังนี้ก็ดูเงียบเหงา ทำให้ผมเหงาและรู้สึกไม่ดีนิดหน่อย
แต่ทุกครั้งที่รู้สึกแบบนี้ ผมจะเตือนตัวเองตลอด อย่ารู้สึกเสียใจไป ให้อยู่กับปัจจุบันก็พอ
ใช่แล้ว… มันไม่ต้องไม่เป็นไร
ผมไม่เป็นไร ผมรู้คัวอยู่ว่าเหมือนกำลังตัดพ้อ แต่ผมไม่ได้คิดอะไรแปลกๆ อย่างด่วนจากโลกนี้ไปไปเพียงเพราะรูัสึกเหงาหรอก ผมยังมีเพื่อนอยู่ และผมก็สนุกที่ได้คุยกับอาริสะกับไอนะด้วย
ไม่เป็นไร… ต้องไม่เป็นไร ไม่ว่าจะเป็นยังไง…
[…]
[ตายจริง ฉันทำเธอตื่นเหรอจ้ะ?]
พอผมลืมตาขึ้น ผมพูดไม่ออก
เพราะสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือลูกบอลสองลูก ไม่สิ… มันไม่ใช่ลูกบอล แต่มันคือหน้าอกขนาดใหญ่ที่ถูกคลุมไว้ด้วยเสื้อสเวตเตอร์
[…อื่ม?]
ความทรงจำของผมเลือนลาง
คงเพราะผมหลับไป สิ่งที่ผมจำได้เป็นอย่างสุดท้ายคือกำลังคุยกับอาริสะและไอนะ
ระหว่างนั้น ผมเกิดง่วงขึ้นมาแล้ว… ก็หลับไปทั้งอย่างนั้นเลยเหรอ?
[ข…ขอโทษครับ─]
[ฟุฟุ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ตามสบายเลย]
มือของเธอวางลงบนไหล่ผม ผมเลยลุกออกไปไหนไม่ได้
เจ้าของเสียงคือซากุนะซัง ดูเหมือนว่าผมกำลังนอนบนตักของเธอ ผมมองไม่เห็นใบหน้าของเธอเพราะมีหน้าอกบดบังไว้อยู่ แต่ผมแน่ใจว่าเธอคือซากุนะซัง
[ผม… นอนตักอยู่เหรอ…?]
[ใช่แล้ว หลับสบายดีหรือเปล่าจ้ะ? แต่สัมผัสคงไม่ดีเท่าหมอนหรอกนะจ้ะ]
ไม่สิ มันไม่ใช่ของที่จะเอามาเปรียบเทียบกับหมอนอยู่แล้วนี่นา
แม้ว่าเธอจะบอกว่าให้ผมพักผ่อน แต่ผมก็ลุกขึ้นแล้วบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว
[โอ๊ะ…]
ซากุนะซังทำหน้าเหมือนเสียดาย แล้วมองผมอนึ่งไม่พอใจเมื่อผมลุกออกไป ขอล่ะ อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นสิ… ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ ตอนนี้ผมเห็นแค่ซากุนะซังอยู่คนเดียว แล้วอีกสองคนที่เหลือล่ะ?
[…? นี่มัน?]
ผมได้กลิ่นแกงกะหรี่โชยออกมา
ผมมองไปที่อีกฝั่งของห้องก็เห็นอาริสะกับไอนะอยู่ตรงนั้น พวกเธอสวมผ้ากันเปื้อนสีชมพู ดูเหมือนว่าพวกเธอกำลังทำอาหารอยู่
[โอ๊ะ ตื่นแล้วเหรอ]
[ฉันไม่อยากปลุกนายเพราะนายดูจะหลับสบายมาก… แต่ทำแบบนั้นมันไม่ยุติธรรมเลยนะคะ คุณแม่]
ซากุนะซังก็ดูจะไม่สะทกสะท้านอะไร ต่อให้ตอนนี้จะถูกอาริสะมองมาที่ตัวเองก็ตาม
อา ดูเหมือนว่าจะใกล้เที่ยงแล้ว เพราะพวกเธอกำลังทำแกงกะหรี่กันอยู่
ผมกะว่าจะกลับไปตั้งแต่เช้า เพราะผมก็ไม่อยากรบกวนให้พวกเธอมาดูแลผม
[ให้ผมอยู่ด้วยจะดีเหรอครับ?]
[แน่นอนสิจ้ะ สองคนนั้นตั้งใจทำเพื่อเธอเลยเชียว ปกติต้องเป็นฉันที่เข้าไปทำเอง แต่ฉันก็ไปไม่ได้เพราะให้เธอนอนตักฉันอยู่ เพราะฉะนั้น…]
ขอโทษที่รบกวนครับ
ซากุนะซังหัวเราะในลำคอแล้วบอกว่าไม่เป็นไรขณะที่ผมก้มหัวให้ สมแล้วที่เป็นแม่ของอาริสะกับไอนะ ผมยิ่งรู้สึกประทับใจในตอนที่ได้เห็นเธอใกล้ๆ ว่ากันตามตรง เธอดูเหมือนพี่สาวมากกว่าแม่ซะอีก
[มีอะไรเหรอจ้ะ?]
[…อา เปล่าครับ แค่คิดว่าซากุนะซังดูเหมือนพี่สาวมากกว่าแม่น่ะครับ]
นี่ผมพูดอะไรลงไป
ซากุนะซังมองผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน ผมชอบท่าทางแบบนั้นของเธอนะ ชอบที่ยิ้มแบบนั้นแทนที่จะมองผมแหยงๆ จากคำที่ผมพูดไปมากกว่าอีก
[ขอบใจจ้ะฮายาโตะคุง ดีใจที่เธอพูดแบบนั้นนะ แต่ฉันขอถามอะไรเธอหน่อยได้ไหม?]
[ครับ ไม่มีปัญหา]
[ฮายาโตะคุง เธอกำลังคิดถึงใครอยู่รึเปล่า?]
[นั่น…]
ผม… ประหลาดใจมาก ไม่คิดว่าซากุนะซังจะถามผมแบบนี้ เดาว่าเธอคงเห็นจากท่าทางของผมแน่ๆ วิธีการของเธอดูนุ่มนวลและให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แต่สายตาของเธอที่มองผมตอนนี้ค่อนข้างเฉียบคม ผมรู้สึกกลัวด้วยซ้ำว่าเธอจะมองทะลุเข้ามาในจิตใจของผม
[…คงล้ำเส้นไปสินะ ขอโทษนะจ้ะ]
[…เอ่อ เปล่าครับ]
ซากุระซังคุณคิดสักหน่อยก่อนจะยกยิ้มอ่อนโยนขึ้นมา เมื่อกี้… ผมยังคิดว่าเธอเหมือนพี่สาวอยู่เลยแท้ๆ แต่สีหน้าอันอ่อนโยนของเธอที่แสดงออกมาล้วนแล้วคือสีหน้าของความเป็นผู้ใหญ่ มันทำให้ผมเริ่มคิดว่าเธอเหมือนแม่ขึ้นมาแล้ว
[ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณพูดถูกแล้ว ผมมีคนที่คิดถึงอยู่จริงๆ นั่นแหละ]
[นั่นสินะ…]
[มาแล้วค่าา~!]
[ทำเสร็จแล้ว ฮายาโตะคุง แม่คะ]
เอาล่ะ ดูเหมือนว่ามื้อเที่ยงจะทำเสร็จแล้วนะ
ผมกับซากุนะซังลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะที่ถูกเตรียมไว้ นี่คือแกงกะหรี่ทั่วไป แต่สำหรับผม มันดูน่าอร่อยมาก
[…น่าอร่อยจัง]
กลิ่นของแกงกะหรี่ลอยคลุ้งออกมาในอากาศ อีกทั้งยังทำโดยฝีมือของผู้หญิงที่สวยที่สุดสองคนจากโรงเรียนของผม
[ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ]
[ขอรับประกันเรื่องรสชาติเลยล่ะ ฉันทำให้เพราะอยากให้นายได้ทานเลยนะ ฮายาโตะคุง]
ผมหัวเราะในลำคอกับคำพูดของอาริสะแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ต้องขอบคุณพวกเธอเลยที่ทำแกงกะหรี่ออกมาให้น่าอร่อยขนาดนี้
[ทานแล้วนะครับ]
ผมหยิบช้อนขึ้นมาเพื่อที่จะเริ่มทานแต่อาริสะกับไอนะก็มองมาที่ผม ผมเริ่มตื่นตัวขึ้นนิดหน่อยเพราะพวกเธอมองผมแบบตาไม่กระพริบเลย แต่ตอนนี้ผมตักแกงกะหรี่เข้าปากตัวเองแล้ว
[…อร่อย]
[…]
[…]
พวกเธอยังคงมองมาที่ผมอยู่
มีเพียงซากุนะซังที่หัวเราะคิกคักด้วยท่าทางที่มีความสุข ในมุมมองของผม ผมคิดว่านี่คงเป็นบรรยากาศปกติของคนในบ้านชินโจ
ถึงแบบนั้น… ความเข้ากันของแกงกะหรี่ที่รสจัดจ้านนิดหน่อย รสหวานอ่อนๆ ของข้าว และมันฝรั่งที่เข้ากันได้ดีกับแกงกะหรี่ ถึงมันจะดูปกติ แต่มันดีกว่าแกงอื่นๆ ที่ผมเคยทานมาเลย
[อร่อยมากเลย ดีจริงๆ ขอบคุณนะทั้งสองคน]
คำพูดของผม ในที่สุดก็ทำให้พวกเธอยิ้มออกมา
…มันทำให้ผมนึกได้ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนได้นั่งร่วมโต๊ะกับครอบครัวแบบนี้นอกจากเพื่อนๆ แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ได้นัดทานข้าวกันในวันฮาโลวีน นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนได้ทานอาหารกับครอบครัวจริงๆ
[…]
อบอุ่นจัง…
แกงกะหรี่อร่อยมาก แต่ตอนนี้ทั้งอาริสะ ไอนะ รวมถึงซากุนะซังกลับทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นมากกว่า ความอบอุ่นนี้คงมาจากความห่วงใยของพวกเธออนึ่งผมเป็นคนในครอบครัวจริงๆ
[…]
พอนึกดูก็สงสัย ว่าแกงกะหรี่ที่แม่ทำรสชาติเป็นแบบนี้รึเปล่า ไม่คอดเลยง่ารสของแกงกะหรี่จะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงตอนได้นั่งทานอาหารด้วยกันกับครอบครัวเลย
[ฮายาโตะคุง!?]
ไอนะพูดเสียงดังออกมา
ไม่ใช่แค่ไอนะ แต่ทั้งอาริสะและซากุนะซังต่างก็มองมาที่ผมอย่างตกใจ ผมเอียงหน้ามองพวกเธออย่างสงสัย แต่แล้วผมก็รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น
[…อ้อ]
ดูเหมือนว่า… ผมจะร้องไห้ออกมา
ผมรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาแล้วบอก ‘ขอโทษครับ’ พร้อมกับเช็ดน้ำตา
[ไม่เป็นไร แต่…]
[มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?]
ผมส่ายหน้ายิ้มแห้งกับคำพูดของอาริสะ แล้วบอกไปว่าไม่ใช่
พวกเธอคงตกใจที่จู่ๆ ผมก็ร้องไห้ แต่อย่างน้อยก็ควรต้องบอกว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ เพื่อนผมก็รู้เรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ปกปิดอะไรอยู่แล้ว
[ขอโทษนะ ที่นี่อบอุ่นมากจริงๆ จนผมนึกถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาได้น่ะ]
[นึกถึงเรื่องเก่าๆ…?]
ผมพยักหน้าให้กับซากุนะซัง
[ผมเสียพ่อกับแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก ผมก็อยู่คนเดียวมาตั้งแต่ตอนนั้น ความอบอุ่นแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงขึ้นมาได้เลยล่ะว่าครอบครัวมันเป็นยังไง]
หลังจากขอโทษที่ทำบรรยากาศพัง ผมกลับมากินแกงกะหรี่ต่อ
.
.
.
ไม่มีอะไรหวนกลับมาได้อีกแล้ว เขารู้ตัวดี
เขารู้สึกได้ถึงรอยยิ้มที่ถูกส่งมาให้จากที่อันห่างไกล