‘พวกเขากล่าวหาตัวผมว่า ล้มเหลว
ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยเเม้เเต่จะกระดิกก้นออกจากเก้าอี้’
๐๐๐๐๐๐๐๐๐
จากทหารหมื่นนายที่บุกไปยังดินเเดนของจอมมาร มีคนที่เหลือรอดกลับมาเพียงเเค่หลักพัน ในขณะที่อีกกว่า 5000 พันได้ตกเป็นเชลยของจอมมาร เเน่นอนว่าส่วนที่เหลืออีก 4000 ก็ตายเรียบ
หัวหน้าอัศวินกุสตาฟที่เป็นอาจารย์ของผมตายในหน้าที่
มีผมเพียงคนเดียวที่หนีรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัย ในขณะที่ทหารกว่าพันนายที่หนีมาได้ก็ถูกนานาประเทศข้างเคียงให้การช่วยเหลือ เเละ รอการเจรจาส่งมอบกลับมาโดยเเลกกับเงินค่าดูเเลเป็นจำนวนมาก
อาณาจักรของเราสูญเสียทหารไปหลายนาย เเถมยังต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับประเทศข้างเคียงที่ฉวยโอกาสขูดเลือดขูดเนื้อพวกเรา
หรือก็คือสงครามในครั้งนี้ พวกเราพบกับความพ่ายเเพ้ครั้งใหญ่จนถึงขั้นที่สามารถทำให้อาณาจักรคลาวเดียร์ล่มสลายได้เลยทีเดียว
เพี๊ยะ !
“ไปตายซ่ะ !!! ทำไมคนที่รอดถึงเป็นคนอย่างคุณกัน —- คนโกหก ! ไหนบอกว่าจะกลับมาด้วยกันยังไงเล่า !?”
ตัวผมที่รอดกลับมาก็โดนภรรยาของดามุยตบหน้าอย่างเเรง
ถึงจะรู้ว่าพาล เเต่ก็เข้าใจว่ามันช่วยไม่ได้
ในตอนนี้คนที่เจ็บปวดที่สุด ไม่ใช่ผมคนเดียว
“หนีกลับมาคนเดียว !? ทุเรศที่สุด !!!”
“โห่ !!! ไรว่ะ ผู้กล้าไม่เห็นได้ความตรงไหนเลย !”
“กระจอกซิบหาย ! พาพี่น้องของพวกเราไปตายเปล่า”
“คืนปะป๊ากลับมานะ ไอ้คนโกหก !!!”
“ขี้ขลาดๆ ไอ้คนขี้ขลาด !!!”
“ภาษีของพวกเราต้องไปใช้กับคนพรรคนั้นเนี่ยนะ ! เอาเงินของพวกเราคืนมานะ !!!”
“ตายซ่ะๆ ไปตายซ่ะ ไอ้สารเลว !!! ไอ้พวกต้มตุ๋น !!!”
เเม้จะได้รับการคุ้มครองจากองค์ราชินีเเละเก็บตัวอยู่ในวัง เเต่ถึงอย่างงั้นเสียงก่นด่าที่ดังขึ้นจากกลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่หน้าพระราชวังก็ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ทั้งๆที่ผมพยายามเพื่อพวกเขามาโดยตลอด เเต่สุดท้ายเพราะความล้มเหลวเพียงครั้งเดียว ผมเลยโดนพวกเขาตีตราว่าเป็นผู้กล้าจอมปลอม
ซ้ำร้ายความล้มเหลวที่เกิดขึ้นยังเป็นความล้มเหลวที่เกิดจากโอกาสเพียงครั้งเเรกเเละครั้งเดียวที่ผมสามารถพิสูจน์ตัวเองได้อีก
ประชาชนไม่ได้ต้องการผู้กล้าที่ดี หรือ ผู้กล้าที่เสียสล่ะ
พวกเขาเเค่ต้องการใครซักคนที่ปราบจอมมารได้ เเละ คนๆนั้นไม่ใช่ผม เพราะงั้นผมเลยไม่มีสิทธิเรียกตัวเองว่า ผู้กล้า
จำนวนผู้คนที่รวมตัวกันหน้าวังมีมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากผมที่โดนต่อว่าเสียๆหายๆเเล้ว องค์ราชินีที่มีส่วนรับผิดชอบต่อทหารที่ตายจากไปก็ได้รับการตำหนิจากขุนนางที่หาโอกาสเลื่อยขาเก้าอี้พระองค์มาโดยตลอด
“ขอโทษค่ะ เป็นความผิดของเราเอง ท่านผู้กล้า”
วันถัดมาหลังจากได้รู้ความจริงจากปากของผม องค์ราชินีก็ถึงกับบุกมาหาที่ห้องเเละก้มกราบลงกับพื้น
“เพราะเราสั่งสอนเด็กคนนั้นไม่ดี ท่านถึงโดนหักหลัง ผลลัพธ์ในครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของท่าน เเต่เป็นความผิดของเราเอง”
ผมเผ้าที่เคยยาวสลวยก็พันกันยุ่งเหยิง ขอบตาบวมเล็กน้อยจนเครื่องเเต่งหน้าเริ่มปิดเอาไว้ไม่อยู่
ทั้งๆที่เหนื่อยจนสายตัวเเทบขาด เเต่เธอก็ยังพร้อมรับความผิดเเทนผมอีก
มันทำให้ผมรู้สึกผิดเเละสงสารเธอจับใจ เเต่ตัวผมในตอนนี้ก็ใช่ว่าจะมีอารมร์ไปใส่ใจคนอื่นมากซักเท่าไหร่
“อืม…ไม่เป็นไร…ช่างมันเถอะครับ”
“…………..”
“เพราะยังไง….พวกเราก็เเพ้เเล้วนี่นา”
ความเงียบคั่นกลางระหว่างเราสอง
เพราะดูท่าอยู่ต่อไปก็ไม่ได้อะไร องค์ราชินีเลยก้มหัวเดินจากไปอย่างเศร้าโศก
เฮ้อ…….การใช้ชีวิตนี่มันยากจริงๆนะ
ต้องทำตามความคาดหวังของคนอื่นๆตลอดเวลา
ทั้งๆที่ยอมล่ะทิ้งความเป็นตัวของตัวเองเพื่อพวกเขา เเต่พอไม่ได้อย่างที่ใจอยากก็ขว้างทิ้งกันง่ายๆ
.
.
.
.
อาเคีย อายุ 14 เพศ ชาย ไอ้หนุ่มน้อยที่เเอบโกงอายุเข้ามาเป็นทหารเพื่อเอาเงินไปจุนเจือครอบครัว ก่อนถูกยิงตกม้าตายตอนข้ามเเม่น้ำเเดง
สวอน สาวน้อยผมเปียสวมเเว่น อายุ 18 ขอเข้าร่วมสงครามเพราะชื่นชมในตัวผม เธอตายคาเเขนของผมในตอนที่ทหารหน่วยที่ผมบัญชาการนำทัพเข้าไปในถ้ำเเล้วโดนระเบิดยาพิษหมกอยู่ข้างใน จนสุดท้ายมีเเค่ผมซึ่งมีความสามารถต้านทานสถานะผิดปกติเท่านั้นที่เอาชีวิตรอดกลับมาได้เพียงคนเดียว
ยูริ อายุ 17 เด็กส่งของที่มักทำหน้าที่ขนส่งสัมภาระให้ปาร์ตี้ผู้กล้า ครั้งสุดท้ายที่พวกเราคุยกันคือเรื่องอาหารประจำถิ่นของบ้านเกิด ทั้งๆที่สัญญาเอาไว้เเล้วว่าถ้าผมรอดไปได้ เขาจะพาผมไปเลี้ยงข้าว เเต่สุดท้ายเขากลับจากผมไปก่อนเพราะถูกปีศาจลอบฆ่าเพื่อตัดเสบียงของทัพผู้กล้า
นอเเมน อายุ 20 ไอ้หนุ่มบ้ากังฟูที่ใช้หมัดเปล่าต่อยเหล็กจนชนะเป็นสิบๆครั้ง ทว่า สุดท้ายก็เอาตัวเข้าปกป้องเด็ๆกในหมู่บ้านเเห่งหนึ่งจนตายสภาพศพไม่สวย สิ่งเดียวที่ผมช่วยเขาได้มีเพียงเเค่การฝังศพอย่างสมเกียรติในดินเเดนอันห่างไกลจากบ้านเกิด
ยูรูก้า อายุ 5 ขวบ เด็กสาวผิวคล้ำชนเผ่าลุ่มเเม่น้ำที่สนิทกับนอเเมนจนเป็นสาเหตุให้เขาปกป้องเธอจนตัวตาย สุดท้ายกองทัพกอบลินก็จับเธอไปย่ำยีจนอวัยวะภายในเเหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ความเมตตาสุดท้ายที่มอบให้เธอได้ในวินาทีสุดท้ายคือความตายอันสงบด้วยดาบของผู้กล้า
เเล้วก็…อึก…..พอเถอะ ไม่อยากนึกถึงพวกเขาอีกเเล้ว
ทุกๆวัน…ทุกๆคืนที่ผมหลับตา ภาพของพวกเขาที่เคยหัวเราะร่วมไปกับผมก็จะฉายซ้ำๆให้เห็นในความฝัน
จากนั้นเมื่อผมตื่นมาในวันรุ่งขึ้น พอรู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นไม่ใช่เรื่องจริง
ในตอนนั้น…ในเช้าวันที่ผมลุกขึ้นมารับเเสงเเดดอันสดใส เเละ ลมอ่อนๆที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง
ผมก็ได้ตระหนักถึงความจริงที่่ว่า ตรงนี้….ณ ช่วงเวลาที่ผมกำลังมีชีวิตอยู่….ไม่มีพวกเขาอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปเเล้ว
ราวกับปลอบโยนด้วยความฝันอันงดงาม จากนั้นก็ปลุกขึ้นมาเเทงด้วยมีดที่เรียกว่า ‘ความเป็นจริง’
จะมีใครรู้บ้างว่า ผมต้องผ่านวันคืนพวกนี้ซ้ำๆ จนคิดว่าพอกันทีกับการนอน
พวกเขาจะตามผมไปอีกนานเเค่ไหนถึงจะพอ บางทีคงตลอดไป หรือจนกว่าจะถึงวันที่ผมกลายเป็นปุ๋ย
ทำไมพวกเขาถึงคิดว่าการที่ผมมีชีวิตอยู่ตอนนี้เป็นเพราะผมนั้นขี้ขลาด ทั้งๆที่จริงเเล้ว เพราะผมพยายามสู้มาโดยตลอดถึงได้ไม่ตายไปพร้อมๆกับพวกเขา
ทำไมถึงคิดว่าการมีชีวิตอยู่ มันคือเรื่องที่ดี ทั้งๆที่ตัวผมต้องเเบกรับชื่อของไอ้ผู้กล้าเเดกผักกากๆที่ปกป้องคนสำคัญไม่ได้ซักคน
ทุกๆเช้าที่ตื่นขึ้นมาเเละส่องกระจกดูหน้าตัวเอง พวกเขาจะรู้ไหมว่า มันรู้สึกเเย่เเค่ไหนที่มีภาพของไอ้กากไม่ได้ความสะท้อนอยู่ตรงหน้า !?
เเม้กระทั่งสามสาวที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็ถูกพรากไปโดยไม่รู้ตัว
ทั้งๆที่ผมพยายามเต็มที่เเล้ว
ผมพยายามเลือกสิ่งที่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาทุกๆคน
เเต่สุดท้ายทุกอย่างที่ผมทำมา…มันก็ล้มเหลว
“เฮ้อ……..”
ชีวิตคนเรานี่มันช่างไร้สาระจริงๆ
ผมมองกล่องของขวัญที่มีประชาชนเอามาฝากไว้ให้กับทหารยาม
บนกล่องเขียนไว้ว่า ‘สู้ๆนะท่านผู้กล้า’
พอเปิดออกมาดูข้างในก็พบขวดโพชั่นสีเขียวจำนวนสามขวด
เเกร๊ก !
พอเปิดจุกออกมาดมกลิ่นดู ผมก็กลั้นขำเล็กน้อย
“หึ !”
คนที่ส่งเจ้าสิ่งนี้มาให้คือมือใหม่เห็นๆ
กลบกลิ่นไม่มิดเเม้เเต่นิดเดียว
ความจริงเเล้วผมจะสาวหาต้นตอคนส่งมาก็ได้หรอก เพราะสิ่งที่เจ้าของโพชั่นทำคือความผิดโทษฐานลอบสังหารผู้กล้าซึ่งมีโทษร้ายเเรงถึงขั้นประหารชีวิต
เเต่ผมก็คงไม่ทำเเบบนั้นหรอก เพราะยังไงเจ้านี่ก็มีประโยชน์สำหรับผมในตอนนี้
ว่าเเล้วก็กระดกโพชั่นยาพิษเข้าปากเพื่อหวังว่าจะได้ไปสบาย
นี่คงเป็นวิธีที่เรียบง่ายที่สุดเเล้วในการจากโลกอันทุกข์ทรมานใบนี้ไปอย่างสงบ
อึก !
หนึ่งขวดผ่านไป
อึก !
สองขวดผ่านไป
“………………”
สุดท้ายพอดื่มไปจนเกือบหมดก็พึ่งรู้ตัวว่าตัวเองในตอนนี้มีความสามารถต้านทานยาพิษอยู่นี่นา
อย่างเต็มที่ยาพิษพวกนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกเมาเหมือนกินเหล้าได้เท่านั้นเอง
“เฮ้อ……..”
ผมเลยลากสังขารที่โรยราไปยังห้องเก็บของโดยที่ยังคงถือขวดยาพิษขวดสุดท้ายไว้ในมือ
ยังไงก็คาดหวังว่าจะตายด้วยยาพิษอยู่นะ เเต่ถ้าไม่ได้จริงๆก็คงต้องพึ่งเชือกเเล้วล่ะมั้ง
ตึก…ตึก….ตึก……
ในค่ำคืนนี้ช่างเงียบสงบ เป็นวันที่เหมาะสมกับการนอนหลับไปตลอดกาล
ยังไงผมก็เป็นไอ้พวกขี้เเพ้อยู่เเล้วนี่นา ถ้าเป็นใครก็ตามที่ชอบเสพนิยายเเนว NTR อะไรทำนองนั้น การได้เห็นตัวเอกกินผักอย่างผมตายๆไปไม่ให้เกะกะฉากเซอร์วิสสาวๆก็น่าจะพอใจกันน่าดู
เอาล่ะ ถ้างั้นมาตายๆกันให้จบๆไปดีกว่า ในเมื่อมีเเต่คนเกลียดก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม
เอี๊ยดดดด
เมื่อเเง้มประตูห้องเก็บของออกมา ก็พบว่ามีเเสงสว่างส่องอยู่ข้างใน
มีคนมาอยู่ในห้องนี้ก่อนผมอย่างงั้นหรอ ?
ใครกันนะ ?
ชะเง้อหน้าเข้าไปอย่างเบาที่สุด
เเต่เเล้วสิ่งที่อยู่ข้างในกลับทำให้ผมตกตะลึงจนเกือบจะคุมสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่
“องค์ราชินี !?”
“อะ อะ อุหวาาาา”
คนที่ส่งเสียงติดตลกอยู่ก็คือองค์ราชินีผู้ขึ้นชื่อเรื่องความงามเหนือสุดในใต้หล้าอย่างท่านอิลิเซีย วอร์น คลาวฟอร์ด
ในวันนี้ท่านอิลิเซีย เเม้จะยังมีขอบตาคล้ำเล็กน้อย เเต่ก็ยังไม่สร่างงาม
หลังจากที่ก้มหัวกราบเท้าผมมาเเล้ว ใครจะไปคิดกันละว่า เธอจะมาอยู่ในสถานที่เเบบนี้
เเถมดูนั่นสิ เธอกำลังทำอะไรอยู่ ?
ยืนอยู่บนโต๊ะ ?
เเถมบนโคมไฟข้างบนก็มีเชือกคล้องเป็นบ่วงยื่นลงมาให้เห็นอีก
“องค์ราชินี…..”
“……………..”
พวกเราทั้งคู่มองอีกฝั่งตาค้างไปชั่วขณะ
คงไม่คิดว่าจะมาเจอกันในสถานการณ์เเบบนี้
“นี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่งั้นหรอครับ ?”
“เอ่อ…คือ….อ่า….คือว่า”
องค์ราชินีหลบตาพลางเอานิ้วมือสองข้างจิ้มจึกๆด้วยความลนลาน
เธอทำปากพะงาบๆอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะชูนิ้วขึ้นมาเเละพยักหน้าเก้ๆกังๆราวกับพึ่งนึกข้ออ้างขึ้นมาได้
“กำลังออกกำลังกายอยู่ค่ะ”
“…………………….”
เป็นข้ออ้างที่สุดจะบรรยาย
“นี่ไงคะ”
ว่าเเล้ว เเขนเรียวบางก็คว้าห่วงเอาไว้เเละทำท่าขยับขึ้นลงดึงเชือกขึ้นๆลงกลางอากาศราวกับกำลังออกกำลังกายจริงๆจนภูเขาสองลูกภายใต้ชุดนอนเนื้อบางขยับขึ้นลงจนดึงดูดสายตา
เเต่ทำไปได้ไม่นาน เชือกที่ทนรับน้ำหนักของเธอไม่ไหวก็ขาดออกจากกัน จนร่างของเธอเอียงล้มตกจากโต๊ะ
“ว๊าย !”
“—- !!!”
ผมรีบพุ่งเข้าไปรับเธอเอาไว้ เเต่เพราะมัวตกใจอยู่ก็เลยเอาหน้าไปรับก้นของเธอได้ทันอย่างเฉียดฉิว
ดึ๋งๆ
นิ่มสุดๆ เเถมกลิ่นก็หอมได้ไงไม่รู้
เผลอคิดไปเสี้ยววิว่าอยากเอาหน้าไปซุกก้นราชินี…อืม ล้อเล่นๆ ลืมที่คิดเมื่อกี้ไปเถอะ
“อูยย…ขออภัยด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ผมทำหน้านิ่งที่สุด จะให้รู้ไม่ได้ว่าหวั่นไหวกับการได้เป็นที่รองก้นของสาวงามอันดับหนึ่งของอาณาจักร
ว่าเเล้วก็ทำเป็นลุกขึ้นมาปัดๆกางเกงอย่างสุภาพ
“อืออออ”
ระหว่างนั้นองค์ราชินีก็ส่งเสียงครางด้วยความเศร้าใจออกมา ขณะมองเชือกขาดๆที่อยู่ในมือ
“องค์ราชินี….อย่าบอกนะว่า—-“
“ไม่ใช่นะคะ ! ไม่ใช่อย่างที่ท่านผู้กล้าคิดเด็ดขาด !!!”
องค์ราชินีสะบัดมือรัวๆด้วยความร้อนรน อืม…น่ารักจังเเฮะ
ถึงจะอายุขึ้นเลขสาม เเต่หน้าเด็กซ่ะจนเหมือนยี่สิบต้นๆ เพราะงั้นก็ขอยืนยันคำเดิมว่าน่ารักดี
“เราไม่ได้เครียดจนเเอบทานขนมหวานตอนกลางคืน จนน้ำหนักขึ้นทำให้เชือกขาด เมื่อกี้มันเป็นอุบัติเหตุณ์ จากการที่เรามัดเชือกไม่เเน่นเองต่างหากค่ะ !”
ครับๆ สำหรับผมเเล้ว ท่านมีความอุดมสมบุรณ์ในส่วนที่ควร ขอยืนยันด้วยเเก้มที่รับเเรงกระเเทกจากส่วนที่สมควรจะอ้วนเลยครับ
“อ๊ะ !”
ในตอนที่กำลังเเก้ตัว องค์ราชินีก็เหลือบมาเห็นหลอดโพชั่นที่อยู่ในมือของผม
“เจ้านั่นคือ ?”
“อ่อ…เป็นยานอนหลับเฉยๆครับ”
จริงๆเป็นยาพิษระดับเอาถึงตายเลยต่างหาก
“หืมมมมมมม”
องค์ราชินีหรี่ตาลงราวกับกำลังจับผิดอยู่ เเถมยังโค้งตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้
น่ารักครับ….น่ารักกว่าลูกสาวที่หักหลังผมไปคบกับจอมมารเสียอีก
“คงไม่ได้โกหกอยู่ใช่ไหมคะ ?”
เหมือนโดนดุด้วยสายตา
องค์ราชินีเเบมือออกมาราวกับจะบอกว่าให้ผมส่งมาให้เธอเเต่โดยดี
สุดท้ายผมก็ส่งให้เธอไปอย่างช่วยไม่ได้เพราะสายตากดดันราวกับโดนเเม่ดุ
“…………”
เธอจ้องของเหลวภายในนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่หลังจากนั้นจะเปิดจุกออกมาเเละดมกลิ่นของเหลวที่อยู่ข้างใน
“—–!!!”
คิ้วของเธอขมวดเป็นปม
อึกๆๆๆ
“เฮ๊ย !?”
ก่อนที่ทันใดนั้นเอง เธอจะกระดกคนเดียวไปครึ่งขวด !?
ไม่นะ !!! ยานอนหลับตลอดชีพของผมมมม
ผมโดนองค์ราชินีเเย่งยานอนหลับไปเเล้ว !!!!!
นี่เองสินะ ความรู้สึกของเด็กๆที่ถูกคุณเเม่ขโมยขนมจานโปรดที่เก็บไว้กินทีหลังไปกิน ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าจริงๆเเล้วมันรู้สึกยังไง เพราะเเม่ผมตายไปตั้งเเต่ผมยังเด็กเเล้วอะนะ ฮ่าๆๆ
“อึก !”
เอาเเล้วๆๆ องค์ราชินีเริ่มหน้าเเดงเเล้ว
“นี่มัน…..”
เธอเอามือกุมคอของตัวเอง ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา
“ไม่ไหวจริงๆด้วยค่ะ….”
เฮ้อ…..
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความอับอาย
ในที่สุดองค์ราชินีก็รู้ตัวเสียทีว่าตัวเธอเองก็มีความสามารถต้านทานยาพิษเหมือนกัน
มันเป็นความสามารถขั้นพื้นฐานที่ประมุขของประเทศพึงฝึกฝนเอาไว้เพื่อป้องกันการลอบปลงพระชนม์
ช่างน่าเศร้าที่มันเป็นดาบสองคมทำให้เธอฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ
ผมเลยเดินผ่านเธอไป เเละ มองกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ
พอเเอบอ่านดูก็พบว่า มันคือพินัยกรรม ที่ทิ้งเอาไว้หลังจากที่เธอฆ่าตัวตายสำเร็จ
“ได้โปรดปล่อยเราไปเถอะค่ะ……”
ที่ตรงนั้น…ตรงมุมห้อง…องค์ราชินิก็ไปนั่งกอดเข่าด้วยท่าทางมั่วหมองจนเห็นชุดชั้นในสีขาวเเฉล่บออกมา ทำให้ตัวผมในตอนนี้กลายเป็นผู้มัวหมองในอีกความหมาย
“เราน่ะ….พยายามเต็มที่เเล้วนะ”
องค์ราชินีกำลังตัดพ้อ
“ทั้งต้องบริหารประเทศหลังจากที่สามีเสียไป….หลังจากนั้นก็เลยพยายามเป็นเเม่เลี้ยงเดี่ยว เเต่สุดท้ายก็เลี้ยงลูกไม่ดี จนลูกทรยศไปอยู่กับจอมมาร”
“…………………”
“เเถมพอได้ที พวกขุนนางก็ฉวยโอกาสใช้เป็นข้ออ้างเอาเราลงจากบัลลังค์”
“…………………”
“บางคนก็ใช้วิธีสู่ขอเราทั้งๆที่อายุปูนนี่เเล้วเพื่อเเย่งบัลลังค์…ยิ่งไปกว่านั้น เวลาไปไหนมาไหน พวกผู้ชายก็ชอบเหลือบมองเราด้วยสายตาหื่นกามตลอด ด้วยตำเเหน่งราชินีจะหาผ้ามาปิดหน้าอกหรือเเสดงออกว่าไม่พอใจก็ไม่ได้….ต้องทนตกอยู่ภายใต้สายตาเเบบนั้นมาเป็นสิบๆปี ….พวกสินค้านวนิยายโดจินองค์ราชินี หรือ เเม้เเต่ฟิกเกอร์องค์ราชินีถอดชุดได้…ถึงจะพยายามกำจัดไปเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ รู้ทั้งรู้ว่ามีขุนนางอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์บัดสีบัดเถลิง เเต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้…จะว่าไป ตั้งเเต่สมัยเด็กก็โดนท่านเเม่ตีกรอบเข้าคอร์สฝึกเป็นราชินีจนพอรู้ตัวอีกทีชีวิตวัยรุ่นก็ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เเถมต้องมาเเต่งกับตาลุงอายุ 30 ทั้งๆที่ตอนนั้นยังอายุเเค่ 13 ….เพื่อนที่เป็นผู้หญิงก็ไม่มีซักคน มีเเต่พวกผู้ชายรายล้อมจนโดนกล่าวหาว่าเป็นผู้หญิงมากมารยาบ้างอะไรบ้าง…ทั้งๆที่สามีของเราไปเเอบมีบ้านเล็กบ้านน้อย จนตอนนี้พวกขุนนางไปเก็บลูกๆของอีตานั่นมาใช้เป็นตัวหมากล้มบัลลังค์ของเรา เขายังไม่เห็นโดนใครว่าอะไรเลย”
องค์ราชินีที่หน้าเเดงก่ำพูดน้ำไหลไฟดับ
ด้วยผลของสถานะต้านพิษทำให้เกิดอาการเหมือนเมาเหล้าเเทน
จะว่าไปพอฟังไปฟังมา ผู้มัวหมองอย่างผมก็ซักรู้สึกผิดที่ส่องกางเกงในของเธออยู่ เเต่เพราะจ้องไปเเล้วจะล่ะสายตาออมา ศักดิ์ศรีบางอย่างมันก็ค้ำคอเอาไว้ทำให้ล่ะสายตาออกมาไม่ได้
บ้าจริง….เพื่อฝืนทนต่อความผิดบาปนี้ ผมเลยตัดใจเดินไปค้นหาถ้วยชาที่อยู่ในห้องเก็บของออกมา
เสร็จเเล้ว ผมก็เดินไปหาองค์ราชินีเเละยื่นเเก้วให้พระองค์เเก้วหนึ่ง จากนั้นก็รินยาพิษที่เหลือเเบ่งกับพระองค์ดื่มคนล่ะครึ่ง
“อ๊ะ ! ขอบใจจ้ะ เอ้า ชนเเก้ว !”
เคร้ง !
องค์ราชินีที่ใบหน้าเเดงก่ำพูดเสียงใสอย่างร่าเริง
พวกเรานั่งข้างๆกันเเละชนเเก้วเพื่อเฉลิมฉลองให้กับชีวิตอันเลวร้าย เสร็จเเล้วก็ดื่มยาพิษพร้อมๆกันเเต่ไม่ตาย
“เฮ้อ…….”
องค์ราชินีพ่นลมหายใจที่มีควันอุ่นๆออกมาพลางเฝ้ามองถ้วยชาในมือที่สลักลายลูกเเมว
“ลูกเเมวตัวนี้น่ารักจัง…เหมือนกับอนัสตาเซีย …ตอนยังเด็กๆเลย ฮึก !”
องค์ราชินีเริ่มเพ้อเเล้ว
เเถมตอนนี้อยู่ๆเธอก็เริ่มร้องไห้ออกมา
“ฮือออออออ อนัสตาเซีย เเม่ ! ฮึก ! เเม่ขอโทษนะ….เเม่เป็นเเม่ที่ไม่ดี…เเม่เป็นเเม่ที่ไม่ได้เรื่อง ทั้งๆที่เเม่รู้ดีว่าความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียชีวิตวัยรุ่นเป็นยังไง เเต่สุดท้ายเเม่ก็ทำกับลูกเหมือนที่เเม่ของเเม่ทำกับเเม่..ฮือออออ เพราะงั้นลูกเลยหักหลังเเม่เเบบนี้สินะ เเม่ขอโทษ เเม่ผิดไปเเล้ว อนัสตาเซีย ฮือออออ “
“ไม่เป็นไรนะครับ องค์ราชินี…ผมเข้าใจดีว่าท่านพยายามเต็มที่ที่สุดเเล้วเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอ”
อย่างเช่นกับการหมั้นหมายกับผมที่เป็นผู้กล้า…เอ่อ ถึงจะฟังดูหลงตัวเองก็ตามเถอะ
“เเต่บางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับใครบางคน สำหรับคนอีกคนมันอาจไม่ใช่เเบบนั้นก็ได้”
หือ ?
สิ่งที่ดีที่สุดอย่างงั้นหรอ ?
พอพูดถึงตรงนี้ เเละ มองไปที่องค์ราชินีที่กำลังสั่งน้ำมูกด้วยท่าทางน่ารัก ผมก็นึกขึ้นมาได้
“เพราะงั้นบางที…..สิ่งที่สำคัญที่สุด….มันคงไม่ใช่การให้อะไรบางอย่างกับใครบางคน….เเต่เป็นการที่เรา…..กับคนๆนั้น…พูดคุยกันต่างหาก”
“???”
อ่า….เข้าใจเเล้ว….เป็นเเบบนี้เอง….เพราะอย่างนี้นี่เอง
“เพราะพวกเราต่างชอบคิดเองเออเองว่าสิ่งที่มอบให้อีกฝ่ายคือสิ่งที่ดีที่สุด ทั้งๆที่ความจริงมันไม่ใช่เเบบนั้น อ่า….พวกเราก็เเค่หลงตัวเองเกินไปหน่อยจนคิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องเเล้วมันก็เท่านั้นเอง”
เพราะเอาเเต่พึ่งพาความใจดีของเรเรีย เเละ ไม่ยอมยืนยันอย่างหนักเเน่นว่าจะให้เธอเป็นภรรยาคนที่สอง เธอเลยเคลือบเเคลง มันจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าผมยอมพูดคุยกับเธอเเละอนัสตาเซียตรงๆ เเม้รู้ว่าหากพูดออกไปต้องโดนตบหน้าก็ตาม
ในขณะที่ ไลล่า ผมก็ชอบคิดเข้าข้างตัวเองมาโดยตลอดว่าพวกเธอเป็นพวกซึนดาเระ ทั้งๆที่จริงๆเเล้วเธออาจจะว่าผมจริงๆเเละหวังให้ผมปรับปรุงตัว เเต่เพราะผมมัวเเต่จมกับความเศร้าเเละได้รับการช่วยเหลือมาโดยตลอด ผมเลยไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอต้องการจะบอกจริงๆเลยซักครั้ง
ส่วนอนัสตาเซียนั้น จริงๆเเล้วอาจจะไม่ได้หลงรักผมตั้งเเต่เเรกเเล้วก็ได้ ทุกอิริยาบถที่เเสดงให้เห็นคือส่วนหนึ่งที่ได้รับมาจากการฝึกฝนการเป็นเจ้าสาว เพราะหลงรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้น ผมเลยไม่รู้เลยว่าจะต้องมีบางครั้งที่เธอต้องฝืนทนเวลาอยู่กับคนอย่างผมที่พูดน้อยมาโดยตลอด
เพราะมัวเเต่จมกับความเศร้า ผมเลยลืมหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ
เเต่ในขณะเดียวกันพวกเธอเหล่านั้นก็ตัดใจยอมเเพ้ที่จะพูดคุยกับผมต่อ
เพราะเราต่างตัดใจที่จะพูดคุยเปิดอกซึ่งกันเเละกัน ผลลัพธ์ มันก็เลยลงเอยเเบบนี้
ช่างน่าขำที่ผมพึ่งมานึกได้ เอาป่านนี้
ใช่….ดันมารู้ว่าตัวเองทำพลาด ในตอนที่สูญเสียพวกเธอไป….
“ฮึก ! มันสายไปเเล้วล่ะ”
สายเกินไปอย่างงั้นหรอ….
ถึงองค์ราชินีจะพูดเเบบนั้น เเต่พอนึกถึงภาพของพวกเขาทั้งหลายที่ผมฝันถึงทุกครั้งที่เข้านอน ผมก็ส่ายหัวเเทบจะในทันที
“ไม่มีคำว่าสายเกินไปตราบใดที่มนุษย์เรายังมีชีวิตอยู่”
“——— !!! “
“การที่เราจะพูดคุยกับใครซักคนได้….มีเเค่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะสามารถทำได้”
ทว่า องค์ราชินีที่ก้มหน้าซุกเข่าก็ส่ายหัวเบาๆ
“เเต่เด็กคนนั้นห่างไกลเกินกว่าที่เราจะเอื้อมมือไปถึงเเล้ว”
“มันก็เเค่ห่างกัน เหมือนทำงานคนละบริษัทเท่านั้นเองนี่ครับ”
องค์ราชินีค่อยๆเงยหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำตาขึ้นมา
“—- !?”
“ก็เเค่อนัสตาเซียเจอเส้นทางของตัวเอง เเละ เลือกที่จะก้าวไปทางนั้นด้วยการตัดสินใจของตนเองโดยไม่ได้ถูกควบคุมโดยพระองค์ เพราะงั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถเจอเธอได้ตลอดชีวิตซักหน่อยไม่ใช่หรอครับ”
“………………….”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ มันก็คงมีเเค่ความกล้า…..กล้าที่จะยอมรับในสิ่งที่ทำผิด….กล้าที่จะขอโทษ…..เเล้วก็กล้าที่จะยอมถอยให้หนึ่งก้าวเพื่อที่พวกเราจะได้จับเข่าเข้าหากัน”
บางที….คำพูดนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่บอกกับเธอเเค่คนเดียว
เเต่มันหมายถึงตัวผมในตอนนี้ด้วย
“……………….”
“กะอีเเค่กลายเป็นเผ่าปีศาจ ก็ไม่ใช่ว่าสายสัมพันธ์ของเเม่ลูกจะขาดกันซักหน่อย ไม่ใช่หรอครับ ?”
“นั่นมันก็…นั่นสินะ”
องค์ราชินีวางถ้วยยาพิษที่อยู่ในมือลง
“บางทีตอนนี้ มันอาจจะยังทันอยู่ก็ได้ เเต่ว่า—“
ด้วยสถานะขององค์ราชินี การจะไปทำเเบบนั้นมันก็คง—-
“อ่า…พอเถอะครับ ผมว่าพวกเราทำเพื่อพวกเขามามากพอเเล้ว”
ใช่ ในที่สุดก็รู้ตัว
พอเห็นสาวงามอย่างพระองค์มาร้องไห้เเละเตรียมฆ่าตัวตายอยู่ตอนนี้ ผมก็เข้าใจอย่างเเจ่มเเจ้งเเล้ว !
“???”
“พระองค์ก็เห็นไม่ใช่หรอว่าบัลลังค์สี่เหลี่ยมโง่ๆนั่นมีคนอยากได้อยากมีกันใจจะขาด เพราะงั้นก็ยกๆให้มันไปเถอะ ไม่เห็นจะเป็นไร ….พระองค์เอาตัวไปผูกมักกับองค์กรที่สุดท้ายก็…..ไม่ได้มีประโยชน์…เหี้ยไรซักอย่างนอกจากทำให้ความสัมพันธ์ของเเม่ลูกย่ำเเย่ลง หนำซ้ำยังทำลายชีวิตวัยรุ่นของพระองค์เอง …ประเทศนี้อยู่ได้โดยไม่ต้องมีผมเเละท่าน พวกเขาหาสามารถหาผู้กล้าเเละราชินีคนใหม่ได้ตลอดเวลาที่พวกเขาต้องการ เเต่สำหรับอนัสตาเซีย —-“
“……………………”
“เธอมีเเม่เพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ท่าน !”
“—- !!!”
“ผมว่า มันถึงเวลาเเล้วละครับองค์ราชินี”
ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจได้ว่าจะวางยาพิษที่อยู่ในมือลง
การได้พูดคุยกับเธอทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น
การได้รู้ว่าบนโลกนี้ยังมีคนทุกข์ทรมานเเละดิ้นรนไปพร้อมๆกับผมอยู่ มันทำให้ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป
ดังนั้นเเล้ว—-
“พวกเรามาทำให้ถูกต้องกันเถอะครับ”
“ท่านผู้กล้า ?”
“พวกเราต้องเอาชีวิตของพวกเรากลับคืนมา”
“นี่เธอ ?”
“ทำในสิ่งที่อยากทำ…เป็นในสิ่งที่อยากเป็น….เป็นตัวของตนเองที่ไม่ได้ถูกประเมินค่าโดยคนอื่น”
พอกันทีกับการวิ่งเต้นตามผู้คนที่ไม่เคยมองเห็นตัวตนของผมเลย
หมดเวลาเเล้วกับการเอาอกเอาใจคนอื่น จนลืมที่จะใส่ใจตัวเอง
ในตอนนี้ ณ เวลานี้ ! ผมได้ตัดสินใจเเล้ว !!!
“พรุ่งนี้ผมจะกลับไปหาจอมมาร”
“—— !?”
“ไม่ใช่ในฐานะผู้กล้าที่เเพ้ให้กับมันเมื่อวันวาน เเต่ในฐานะลูกผู้ชายที่มีชื่อว่า อาเบล อินคาโน่ “
“ถ้างั้นล่ะก็..ฉัน…อืออ”
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง องค์ราชินีก็เอียงหัวเล็กน้อยเเละยิ้มบางๆ
“เเบบนี้ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้น่ะสิจ้ะ ….อื้อ เข้าใจเเล้วจ้ะ”
รอยยิ้มของพระองค์ช่างตราตรึงใจเสียเหลือเกิน
องค์ราชินีหัวเราะเบาๆพลางวางศีรษะพิงไหล่ของผมราวกับจะพึ่งพิง
“ขอโทษนะ…ที่เเสดงท่าทางไม่น่าดูออกมา”
“ไม่หรอกครับ….พวกเราก็เเค่มนุษย์ที่อ่อนเเอธรรมดาๆ ไม่ได้วิเศษวิโสเหมือนที่คนอื่นเขาคิดกัน”
“……………..”
“ก็เเค่อยากได้ใครซักคนมาอยู่เคียงข้าง อยากได้ใครซักคนมาระบาย….ไม่อยากอยู่ตัวคนเดียว”
“นั่นสิจ้ะ…..”
“พออยู่กับพระองค์ ได้พูดคุยเปิดอกกับพระองค์เเล้ว …มันทำให้โล่งใจขึ้นเยอะเลยครับ”
“ฮึๆ เราก็เหมือนกันจ้ะ”
“เพราะงั้น ถ้าอยู่กับผมอีกซักหน่อย”
ปล่อยตัวไปตามใจ พอผนวกกับฤทธิ์เหล้า รู้สึกตัวอีกทีผมก็เหลอยื่นมือไปกุมมือขององค์ราชินี
กึก !
“—— !?”
“………….”
สายตาของเราทั้งคู่ประสานเข้าหากันโดยไม่ตั้งใจ
พวกเราทั้งสองที่ต่างสูญเสียชีวิตในวัยรุ่นไปเพราะสังคม
พวกเราที่ต่างต้องเเบกรับเเละเผชิญเรื่องเเย่ๆมาพร้อมๆกันเเละบังเอิญมาอยู่ในห้องเก็บของที่มีเเสงไฟสลัวอย่างเป็นใจ
“คือว่า—“
องค์ราชินีที่พวงเเก้มเจือด้วยสีเเดงระเรื่อพยายามเบือนหน้าหนีเพื่อหลบตา
เเต่ผมก็ตัดสินใจจับคางของเธอเบาๆอย่างทะนุถนอมไม่ให้เธอหลบหน้า
“รักครับ—“
เเล้วก็สารภาพรักความรู้สึกที่มีออกไป
“ผมหลงรักท่านครับ….จะช่วยรับความรักของผมไปได้หรือเปล่าครับองค์ราชินี ?”
“ท่านผู้กล้า !?”
“เรียกว่า อาเบล เฉยๆก็พอครับองค์ราชินี”
ได้ยินดังนั้นองค์ราชินีก็เอาเข่าสองข้างถูเข้าหากันด้วยความเขินอาย
“เป็นคุณป้าเเก่ๆเเบบเราจะดีจริงๆหรอคะ”
“ครับ ผมรักท่านครับองค์ราชินี”
“——- !!!”
องค์ราชินีที่มีใบหน้าเเดงก่ำช่างน่ารักเหลือล้น
“คือ…..คือว่า….”
“มาเอาความสุขของวัยรุ่นของพวกเรากลับคืนมากันเถอะครับ”
“อะ…อื้ม…จ้ะ !”
เเม้จะลังเล เเต่สุดท้ายพอประสานสายตาที่ชุ่มฉ่ำของเราทั้งคู่เข้าด้วยกัน เธอก็ตกลง
“อึก ! อุ่นจัง….”
ตาประสานตา มือประสานมือ
ฝ่ามือทั้งสองข้างของเราสอดประสานเข้าหากัน
เเซ่กๆ
เสื้อผ้าที่หลุดออกทีละชิ้นเผยให้เห็นหัวไหล่เปลือยเปล่า ก่อนจะค่อยๆล่นลงไปถึงหน้าอกอวบอิ่มที่มีจุดยอดสีชมพูจิ้มลิ้มน่าสัมผัส
“อรื๊อออ ❤ “
ระหว่างที่กำลังบีบคลึงกับก้อนภูเขาที่นุ่มนิ่มทั้งสองลูกอย่างเบามือ พวกเราทั้งคู่งก็ประกบริมฝีปากเข้าหากันเเละตวัดลิ้นไปมาอย่างเร่าร้อน
จ๊ววววบ ซู๊ดดดด
พวกเราจูบอย่างดูดดื่มเเละเร่าร้อนจนหัวใจเต้นระรัว
เมื่อถอนริมฝีปากจากกัน น้ำลายใสๆก็ยืดออกมาเเละเชื่อมระหว่างริมฝีปากของเราทั้งคู่
พอเห็นใบหน้าขององค์ราชินีที่เคลิบเคลิ้มตาลอย ผมก็ค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปเเลกลิ้นกับเธอต่อ
“อื้อออ ❤ !? “
ความเร่าร้อนของการต่อสู้ภายในปากที่สอดประสานกันไปมาทำให้องค์ราชินีจิกเล็บลงที่เเผ่นหลังของผมพลางขยับร่างเข้ามาใกล้
กลิ่นกายอันหอบหวานเย้ายวน มันทำเอาน้องชายของผมลุกชันขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“เเฮ่กๆ อาเบล อึก ! อาเบลคุงงงง”
“จะเข้าไปเเล้วนะครับอิลลี่”
ดันร่างของเธอลงกับพื้นเเละกลิ้งไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันใต้โต๊ะ
กึกๆๆ
โต๊ะไม้ค่อยๆสั่นสะเทือนตามการเคลื่อนไหวของพวกเรา
องค์ราชินีปลดชุดชั้นในออก ส่วนผมก็ปลดกางเกงลง จากนั้นก็เเนบชิดร่างกายของเราเข้าด้วยกันจนสองสิ่งร่วมเป็นหนึ่งเดียว
“อร๊างงงง ❤❤❤❤”
พวกเราทั้งสองปลดปล่อยความรู้สึกที่สั่งสมมานานออกมาผ่านการเคลื่้อนไหวของเอวเเละสะโพก
เร่งจังหวะขึ้นๆลงๆไม่ให้เธอเจ็บมากเกินไป จากนั้นก็ปลอบประโลมด้วยการจูบเป็นระยะๆ
กึกๆๆๆๆๆ
โต๊ะไม้ที่อยู่ข้างบนก็สั่นไปสั่นมารัวๆ ท่ามกลางเสียงครางของเธอ
“❤❤❤❤❤❤❤❤❤”
เเน่นอนว่าโต๊ะตัวนี้ก็สั่นไปสั่นมาจนถึงเช้า
ผมเเละเธอได้ปลดปล่อยความเป็นวัยรุ่นออกมาเเละเข้าจังหวะกันอย่างสนุกสนานเลยทีเดียว
ปล. นิยายเรื่องนี้ได้ลงจนจบในอีกที่หนึ่งเเล้ว เพราะงั้นทาง NEKOPOST จะลงช้ากว่า
ถ้าสนใจสามารถไปตามอ่านกันก่อนได้ที่ ลิ้งค์นี้เลยครับ Yusha no reverse NTR เพราะโดนจอมมารเเย่งสาวในตี้ ก็เลยจับเเม่จอมมารมาทำเมีย (novelkingdom.co)