Yusha no reverse NTR เพราะโดนจอมมารเเย่งสาวในตี้ ก็เลยจับเเม่จอมมารมาทำเมีย – ตอนที่ 2 ค่ำคืนที่ได้รับการปลอบประโลมโดยองค์ราชินี 18+

Yusha no reverse NTR เพราะโดนจอมมารเเย่งสาวในตี้ ก็เลยจับเเม่จอมมารมาทำเมีย

 

‘พวกเขากล่าวหาตัวผมว่า ล้มเหลว  

ทั้งๆที่พวกเขาไม่เคยเเม้เเต่จะกระดิกก้นออกจากเก้าอี้’

 

 

๐๐๐๐๐๐๐๐๐

 

 

จากทหารหมื่นนายที่บุกไปยังดินเเดนของจอมมาร มีคนที่เหลือรอดกลับมาเพียงเเค่หลักพัน ในขณะที่อีกกว่า 5000 พันได้ตกเป็นเชลยของจอมมาร เเน่นอนว่าส่วนที่เหลืออีก 4000 ก็ตายเรียบ

หัวหน้าอัศวินกุสตาฟที่เป็นอาจารย์ของผมตายในหน้าที่

มีผมเพียงคนเดียวที่หนีรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัย ในขณะที่ทหารกว่าพันนายที่หนีมาได้ก็ถูกนานาประเทศข้างเคียงให้การช่วยเหลือ เเละ รอการเจรจาส่งมอบกลับมาโดยเเลกกับเงินค่าดูเเลเป็นจำนวนมาก

อาณาจักรของเราสูญเสียทหารไปหลายนาย เเถมยังต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับประเทศข้างเคียงที่ฉวยโอกาสขูดเลือดขูดเนื้อพวกเรา

หรือก็คือสงครามในครั้งนี้ พวกเราพบกับความพ่ายเเพ้ครั้งใหญ่จนถึงขั้นที่สามารถทำให้อาณาจักรคลาวเดียร์ล่มสลายได้เลยทีเดียว

เพี๊ยะ !

“ไปตายซ่ะ !!! ทำไมคนที่รอดถึงเป็นคนอย่างคุณกัน —- คนโกหก ! ไหนบอกว่าจะกลับมาด้วยกันยังไงเล่า !?”

ตัวผมที่รอดกลับมาก็โดนภรรยาของดามุยตบหน้าอย่างเเรง

ถึงจะรู้ว่าพาล เเต่ก็เข้าใจว่ามันช่วยไม่ได้

ในตอนนี้คนที่เจ็บปวดที่สุด ไม่ใช่ผมคนเดียว

“หนีกลับมาคนเดียว !? ทุเรศที่สุด !!!”

“โห่ !!! ไรว่ะ ผู้กล้าไม่เห็นได้ความตรงไหนเลย !”

“กระจอกซิบหาย ! พาพี่น้องของพวกเราไปตายเปล่า”

“คืนปะป๊ากลับมานะ ไอ้คนโกหก !!!”

“ขี้ขลาดๆ ไอ้คนขี้ขลาด !!!”

“ภาษีของพวกเราต้องไปใช้กับคนพรรคนั้นเนี่ยนะ ! เอาเงินของพวกเราคืนมานะ !!!”

“ตายซ่ะๆ ไปตายซ่ะ ไอ้สารเลว !!! ไอ้พวกต้มตุ๋น !!!”

เเม้จะได้รับการคุ้มครองจากองค์ราชินีเเละเก็บตัวอยู่ในวัง เเต่ถึงอย่างงั้นเสียงก่นด่าที่ดังขึ้นจากกลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่หน้าพระราชวังก็ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ทั้งๆที่ผมพยายามเพื่อพวกเขามาโดยตลอด เเต่สุดท้ายเพราะความล้มเหลวเพียงครั้งเดียว ผมเลยโดนพวกเขาตีตราว่าเป็นผู้กล้าจอมปลอม

ซ้ำร้ายความล้มเหลวที่เกิดขึ้นยังเป็นความล้มเหลวที่เกิดจากโอกาสเพียงครั้งเเรกเเละครั้งเดียวที่ผมสามารถพิสูจน์ตัวเองได้อีก

ประชาชนไม่ได้ต้องการผู้กล้าที่ดี หรือ ผู้กล้าที่เสียสล่ะ

พวกเขาเเค่ต้องการใครซักคนที่ปราบจอมมารได้ เเละ คนๆนั้นไม่ใช่ผม เพราะงั้นผมเลยไม่มีสิทธิเรียกตัวเองว่า ผู้กล้า

จำนวนผู้คนที่รวมตัวกันหน้าวังมีมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากผมที่โดนต่อว่าเสียๆหายๆเเล้ว องค์ราชินีที่มีส่วนรับผิดชอบต่อทหารที่ตายจากไปก็ได้รับการตำหนิจากขุนนางที่หาโอกาสเลื่อยขาเก้าอี้พระองค์มาโดยตลอด

“ขอโทษค่ะ เป็นความผิดของเราเอง ท่านผู้กล้า”

วันถัดมาหลังจากได้รู้ความจริงจากปากของผม  องค์ราชินีก็ถึงกับบุกมาหาที่ห้องเเละก้มกราบลงกับพื้น

“เพราะเราสั่งสอนเด็กคนนั้นไม่ดี ท่านถึงโดนหักหลัง ผลลัพธ์ในครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของท่าน เเต่เป็นความผิดของเราเอง”

ผมเผ้าที่เคยยาวสลวยก็พันกันยุ่งเหยิง ขอบตาบวมเล็กน้อยจนเครื่องเเต่งหน้าเริ่มปิดเอาไว้ไม่อยู่

ทั้งๆที่เหนื่อยจนสายตัวเเทบขาด เเต่เธอก็ยังพร้อมรับความผิดเเทนผมอีก

มันทำให้ผมรู้สึกผิดเเละสงสารเธอจับใจ เเต่ตัวผมในตอนนี้ก็ใช่ว่าจะมีอารมร์ไปใส่ใจคนอื่นมากซักเท่าไหร่

“อืม…ไม่เป็นไร…ช่างมันเถอะครับ”

“…………..”

“เพราะยังไง….พวกเราก็เเพ้เเล้วนี่นา”

ความเงียบคั่นกลางระหว่างเราสอง

เพราะดูท่าอยู่ต่อไปก็ไม่ได้อะไร องค์ราชินีเลยก้มหัวเดินจากไปอย่างเศร้าโศก

เฮ้อ…….การใช้ชีวิตนี่มันยากจริงๆนะ

ต้องทำตามความคาดหวังของคนอื่นๆตลอดเวลา

ทั้งๆที่ยอมล่ะทิ้งความเป็นตัวของตัวเองเพื่อพวกเขา เเต่พอไม่ได้อย่างที่ใจอยากก็ขว้างทิ้งกันง่ายๆ

.

.

.

.

อาเคีย อายุ 14 เพศ ชาย ไอ้หนุ่มน้อยที่เเอบโกงอายุเข้ามาเป็นทหารเพื่อเอาเงินไปจุนเจือครอบครัว ก่อนถูกยิงตกม้าตายตอนข้ามเเม่น้ำเเดง

สวอน สาวน้อยผมเปียสวมเเว่น อายุ 18 ขอเข้าร่วมสงครามเพราะชื่นชมในตัวผม เธอตายคาเเขนของผมในตอนที่ทหารหน่วยที่ผมบัญชาการนำทัพเข้าไปในถ้ำเเล้วโดนระเบิดยาพิษหมกอยู่ข้างใน จนสุดท้ายมีเเค่ผมซึ่งมีความสามารถต้านทานสถานะผิดปกติเท่านั้นที่เอาชีวิตรอดกลับมาได้เพียงคนเดียว

ยูริ อายุ 17 เด็กส่งของที่มักทำหน้าที่ขนส่งสัมภาระให้ปาร์ตี้ผู้กล้า ครั้งสุดท้ายที่พวกเราคุยกันคือเรื่องอาหารประจำถิ่นของบ้านเกิด ทั้งๆที่สัญญาเอาไว้เเล้วว่าถ้าผมรอดไปได้ เขาจะพาผมไปเลี้ยงข้าว เเต่สุดท้ายเขากลับจากผมไปก่อนเพราะถูกปีศาจลอบฆ่าเพื่อตัดเสบียงของทัพผู้กล้า

นอเเมน อายุ 20  ไอ้หนุ่มบ้ากังฟูที่ใช้หมัดเปล่าต่อยเหล็กจนชนะเป็นสิบๆครั้ง ทว่า สุดท้ายก็เอาตัวเข้าปกป้องเด็ๆกในหมู่บ้านเเห่งหนึ่งจนตายสภาพศพไม่สวย สิ่งเดียวที่ผมช่วยเขาได้มีเพียงเเค่การฝังศพอย่างสมเกียรติในดินเเดนอันห่างไกลจากบ้านเกิด

ยูรูก้า อายุ 5 ขวบ เด็กสาวผิวคล้ำชนเผ่าลุ่มเเม่น้ำที่สนิทกับนอเเมนจนเป็นสาเหตุให้เขาปกป้องเธอจนตัวตาย สุดท้ายกองทัพกอบลินก็จับเธอไปย่ำยีจนอวัยวะภายในเเหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ความเมตตาสุดท้ายที่มอบให้เธอได้ในวินาทีสุดท้ายคือความตายอันสงบด้วยดาบของผู้กล้า

เเล้วก็…อึก…..พอเถอะ ไม่อยากนึกถึงพวกเขาอีกเเล้ว

ทุกๆวัน…ทุกๆคืนที่ผมหลับตา ภาพของพวกเขาที่เคยหัวเราะร่วมไปกับผมก็จะฉายซ้ำๆให้เห็นในความฝัน

จากนั้นเมื่อผมตื่นมาในวันรุ่งขึ้น พอรู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นไม่ใช่เรื่องจริง

ในตอนนั้น…ในเช้าวันที่ผมลุกขึ้นมารับเเสงเเดดอันสดใส เเละ ลมอ่อนๆที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง

ผมก็ได้ตระหนักถึงความจริงที่่ว่า ตรงนี้….ณ ช่วงเวลาที่ผมกำลังมีชีวิตอยู่….ไม่มีพวกเขาอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปเเล้ว

ราวกับปลอบโยนด้วยความฝันอันงดงาม จากนั้นก็ปลุกขึ้นมาเเทงด้วยมีดที่เรียกว่า ‘ความเป็นจริง’

จะมีใครรู้บ้างว่า ผมต้องผ่านวันคืนพวกนี้ซ้ำๆ จนคิดว่าพอกันทีกับการนอน

พวกเขาจะตามผมไปอีกนานเเค่ไหนถึงจะพอ บางทีคงตลอดไป หรือจนกว่าจะถึงวันที่ผมกลายเป็นปุ๋ย

ทำไมพวกเขาถึงคิดว่าการที่ผมมีชีวิตอยู่ตอนนี้เป็นเพราะผมนั้นขี้ขลาด ทั้งๆที่จริงเเล้ว เพราะผมพยายามสู้มาโดยตลอดถึงได้ไม่ตายไปพร้อมๆกับพวกเขา

ทำไมถึงคิดว่าการมีชีวิตอยู่ มันคือเรื่องที่ดี ทั้งๆที่ตัวผมต้องเเบกรับชื่อของไอ้ผู้กล้าเเดกผักกากๆที่ปกป้องคนสำคัญไม่ได้ซักคน

ทุกๆเช้าที่ตื่นขึ้นมาเเละส่องกระจกดูหน้าตัวเอง พวกเขาจะรู้ไหมว่า มันรู้สึกเเย่เเค่ไหนที่มีภาพของไอ้กากไม่ได้ความสะท้อนอยู่ตรงหน้า !?

เเม้กระทั่งสามสาวที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็ถูกพรากไปโดยไม่รู้ตัว

ทั้งๆที่ผมพยายามเต็มที่เเล้ว  

ผมพยายามเลือกสิ่งที่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาทุกๆคน

เเต่สุดท้ายทุกอย่างที่ผมทำมา…มันก็ล้มเหลว

“เฮ้อ……..”

ชีวิตคนเรานี่มันช่างไร้สาระจริงๆ

ผมมองกล่องของขวัญที่มีประชาชนเอามาฝากไว้ให้กับทหารยาม

บนกล่องเขียนไว้ว่า ‘สู้ๆนะท่านผู้กล้า’

พอเปิดออกมาดูข้างในก็พบขวดโพชั่นสีเขียวจำนวนสามขวด

เเกร๊ก !

พอเปิดจุกออกมาดมกลิ่นดู ผมก็กลั้นขำเล็กน้อย

“หึ !”

คนที่ส่งเจ้าสิ่งนี้มาให้คือมือใหม่เห็นๆ  

กลบกลิ่นไม่มิดเเม้เเต่นิดเดียว

ความจริงเเล้วผมจะสาวหาต้นตอคนส่งมาก็ได้หรอก เพราะสิ่งที่เจ้าของโพชั่นทำคือความผิดโทษฐานลอบสังหารผู้กล้าซึ่งมีโทษร้ายเเรงถึงขั้นประหารชีวิต

เเต่ผมก็คงไม่ทำเเบบนั้นหรอก เพราะยังไงเจ้านี่ก็มีประโยชน์สำหรับผมในตอนนี้

ว่าเเล้วก็กระดกโพชั่นยาพิษเข้าปากเพื่อหวังว่าจะได้ไปสบาย

นี่คงเป็นวิธีที่เรียบง่ายที่สุดเเล้วในการจากโลกอันทุกข์ทรมานใบนี้ไปอย่างสงบ

อึก !

หนึ่งขวดผ่านไป

อึก !

สองขวดผ่านไป

“………………”

สุดท้ายพอดื่มไปจนเกือบหมดก็พึ่งรู้ตัวว่าตัวเองในตอนนี้มีความสามารถต้านทานยาพิษอยู่นี่นา  

อย่างเต็มที่ยาพิษพวกนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกเมาเหมือนกินเหล้าได้เท่านั้นเอง

“เฮ้อ……..”

ผมเลยลากสังขารที่โรยราไปยังห้องเก็บของโดยที่ยังคงถือขวดยาพิษขวดสุดท้ายไว้ในมือ

ยังไงก็คาดหวังว่าจะตายด้วยยาพิษอยู่นะ เเต่ถ้าไม่ได้จริงๆก็คงต้องพึ่งเชือกเเล้วล่ะมั้ง

ตึก…ตึก….ตึก……

ในค่ำคืนนี้ช่างเงียบสงบ เป็นวันที่เหมาะสมกับการนอนหลับไปตลอดกาล

ยังไงผมก็เป็นไอ้พวกขี้เเพ้อยู่เเล้วนี่นา ถ้าเป็นใครก็ตามที่ชอบเสพนิยายเเนว NTR อะไรทำนองนั้น การได้เห็นตัวเอกกินผักอย่างผมตายๆไปไม่ให้เกะกะฉากเซอร์วิสสาวๆก็น่าจะพอใจกันน่าดู

เอาล่ะ ถ้างั้นมาตายๆกันให้จบๆไปดีกว่า ในเมื่อมีเเต่คนเกลียดก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม

เอี๊ยดดดด

เมื่อเเง้มประตูห้องเก็บของออกมา ก็พบว่ามีเเสงสว่างส่องอยู่ข้างใน

มีคนมาอยู่ในห้องนี้ก่อนผมอย่างงั้นหรอ ?

ใครกันนะ ?

ชะเง้อหน้าเข้าไปอย่างเบาที่สุด

เเต่เเล้วสิ่งที่อยู่ข้างในกลับทำให้ผมตกตะลึงจนเกือบจะคุมสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่

“องค์ราชินี !?”

“อะ อะ อุหวาาาา”

คนที่ส่งเสียงติดตลกอยู่ก็คือองค์ราชินีผู้ขึ้นชื่อเรื่องความงามเหนือสุดในใต้หล้าอย่างท่านอิลิเซีย วอร์น คลาวฟอร์ด  

ในวันนี้ท่านอิลิเซีย  เเม้จะยังมีขอบตาคล้ำเล็กน้อย เเต่ก็ยังไม่สร่างงาม

หลังจากที่ก้มหัวกราบเท้าผมมาเเล้ว ใครจะไปคิดกันละว่า เธอจะมาอยู่ในสถานที่เเบบนี้

เเถมดูนั่นสิ เธอกำลังทำอะไรอยู่ ?

ยืนอยู่บนโต๊ะ ?

เเถมบนโคมไฟข้างบนก็มีเชือกคล้องเป็นบ่วงยื่นลงมาให้เห็นอีก

“องค์ราชินี…..”

“……………..”

พวกเราทั้งคู่มองอีกฝั่งตาค้างไปชั่วขณะ

คงไม่คิดว่าจะมาเจอกันในสถานการณ์เเบบนี้

“นี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่งั้นหรอครับ ?”

“เอ่อ…คือ….อ่า….คือว่า”

องค์ราชินีหลบตาพลางเอานิ้วมือสองข้างจิ้มจึกๆด้วยความลนลาน

เธอทำปากพะงาบๆอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะชูนิ้วขึ้นมาเเละพยักหน้าเก้ๆกังๆราวกับพึ่งนึกข้ออ้างขึ้นมาได้

“กำลังออกกำลังกายอยู่ค่ะ”

“…………………….”

เป็นข้ออ้างที่สุดจะบรรยาย

“นี่ไงคะ”

ว่าเเล้ว เเขนเรียวบางก็คว้าห่วงเอาไว้เเละทำท่าขยับขึ้นลงดึงเชือกขึ้นๆลงกลางอากาศราวกับกำลังออกกำลังกายจริงๆจนภูเขาสองลูกภายใต้ชุดนอนเนื้อบางขยับขึ้นลงจนดึงดูดสายตา

เเต่ทำไปได้ไม่นาน เชือกที่ทนรับน้ำหนักของเธอไม่ไหวก็ขาดออกจากกัน จนร่างของเธอเอียงล้มตกจากโต๊ะ

“ว๊าย !”

“—- !!!”

ผมรีบพุ่งเข้าไปรับเธอเอาไว้ เเต่เพราะมัวตกใจอยู่ก็เลยเอาหน้าไปรับก้นของเธอได้ทันอย่างเฉียดฉิว

ดึ๋งๆ

นิ่มสุดๆ เเถมกลิ่นก็หอมได้ไงไม่รู้

เผลอคิดไปเสี้ยววิว่าอยากเอาหน้าไปซุกก้นราชินี…อืม ล้อเล่นๆ ลืมที่คิดเมื่อกี้ไปเถอะ

“อูยย…ขออภัยด้วยค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ผมทำหน้านิ่งที่สุด จะให้รู้ไม่ได้ว่าหวั่นไหวกับการได้เป็นที่รองก้นของสาวงามอันดับหนึ่งของอาณาจักร

ว่าเเล้วก็ทำเป็นลุกขึ้นมาปัดๆกางเกงอย่างสุภาพ

“อืออออ”

ระหว่างนั้นองค์ราชินีก็ส่งเสียงครางด้วยความเศร้าใจออกมา ขณะมองเชือกขาดๆที่อยู่ในมือ

“องค์ราชินี….อย่าบอกนะว่า—-“

“ไม่ใช่นะคะ ! ไม่ใช่อย่างที่ท่านผู้กล้าคิดเด็ดขาด !!!”

องค์ราชินีสะบัดมือรัวๆด้วยความร้อนรน อืม…น่ารักจังเเฮะ  

ถึงจะอายุขึ้นเลขสาม เเต่หน้าเด็กซ่ะจนเหมือนยี่สิบต้นๆ เพราะงั้นก็ขอยืนยันคำเดิมว่าน่ารักดี

“เราไม่ได้เครียดจนเเอบทานขนมหวานตอนกลางคืน จนน้ำหนักขึ้นทำให้เชือกขาด เมื่อกี้มันเป็นอุบัติเหตุณ์ จากการที่เรามัดเชือกไม่เเน่นเองต่างหากค่ะ !”

ครับๆ สำหรับผมเเล้ว ท่านมีความอุดมสมบุรณ์ในส่วนที่ควร ขอยืนยันด้วยเเก้มที่รับเเรงกระเเทกจากส่วนที่สมควรจะอ้วนเลยครับ

“อ๊ะ !”

ในตอนที่กำลังเเก้ตัว องค์ราชินีก็เหลือบมาเห็นหลอดโพชั่นที่อยู่ในมือของผม

“เจ้านั่นคือ ?”

“อ่อ…เป็นยานอนหลับเฉยๆครับ”

จริงๆเป็นยาพิษระดับเอาถึงตายเลยต่างหาก

“หืมมมมมมม”

องค์ราชินีหรี่ตาลงราวกับกำลังจับผิดอยู่ เเถมยังโค้งตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้  

น่ารักครับ….น่ารักกว่าลูกสาวที่หักหลังผมไปคบกับจอมมารเสียอีก

“คงไม่ได้โกหกอยู่ใช่ไหมคะ ?”

เหมือนโดนดุด้วยสายตา

องค์ราชินีเเบมือออกมาราวกับจะบอกว่าให้ผมส่งมาให้เธอเเต่โดยดี

สุดท้ายผมก็ส่งให้เธอไปอย่างช่วยไม่ได้เพราะสายตากดดันราวกับโดนเเม่ดุ

“…………”

เธอจ้องของเหลวภายในนั้นอยู่ครู่หนึ่ง

ก่อนที่หลังจากนั้นจะเปิดจุกออกมาเเละดมกลิ่นของเหลวที่อยู่ข้างใน

“—–!!!”

คิ้วของเธอขมวดเป็นปม

อึกๆๆๆ  

“เฮ๊ย !?”

ก่อนที่ทันใดนั้นเอง เธอจะกระดกคนเดียวไปครึ่งขวด !?

ไม่นะ !!! ยานอนหลับตลอดชีพของผมมมม

ผมโดนองค์ราชินีเเย่งยานอนหลับไปเเล้ว !!!!!

นี่เองสินะ ความรู้สึกของเด็กๆที่ถูกคุณเเม่ขโมยขนมจานโปรดที่เก็บไว้กินทีหลังไปกิน ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าจริงๆเเล้วมันรู้สึกยังไง เพราะเเม่ผมตายไปตั้งเเต่ผมยังเด็กเเล้วอะนะ ฮ่าๆๆ

“อึก !”

เอาเเล้วๆๆ  องค์ราชินีเริ่มหน้าเเดงเเล้ว

“นี่มัน…..”

เธอเอามือกุมคอของตัวเอง ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา

“ไม่ไหวจริงๆด้วยค่ะ….”

เฮ้อ…..

เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความอับอาย

ในที่สุดองค์ราชินีก็รู้ตัวเสียทีว่าตัวเธอเองก็มีความสามารถต้านทานยาพิษเหมือนกัน

มันเป็นความสามารถขั้นพื้นฐานที่ประมุขของประเทศพึงฝึกฝนเอาไว้เพื่อป้องกันการลอบปลงพระชนม์

ช่างน่าเศร้าที่มันเป็นดาบสองคมทำให้เธอฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ

ผมเลยเดินผ่านเธอไป เเละ มองกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ

พอเเอบอ่านดูก็พบว่า มันคือพินัยกรรม ที่ทิ้งเอาไว้หลังจากที่เธอฆ่าตัวตายสำเร็จ

“ได้โปรดปล่อยเราไปเถอะค่ะ……”

ที่ตรงนั้น…ตรงมุมห้อง…องค์ราชินิก็ไปนั่งกอดเข่าด้วยท่าทางมั่วหมองจนเห็นชุดชั้นในสีขาวเเฉล่บออกมา ทำให้ตัวผมในตอนนี้กลายเป็นผู้มัวหมองในอีกความหมาย

“เราน่ะ….พยายามเต็มที่เเล้วนะ”

องค์ราชินีกำลังตัดพ้อ

“ทั้งต้องบริหารประเทศหลังจากที่สามีเสียไป….หลังจากนั้นก็เลยพยายามเป็นเเม่เลี้ยงเดี่ยว เเต่สุดท้ายก็เลี้ยงลูกไม่ดี จนลูกทรยศไปอยู่กับจอมมาร”

“…………………”

“เเถมพอได้ที พวกขุนนางก็ฉวยโอกาสใช้เป็นข้ออ้างเอาเราลงจากบัลลังค์”

“…………………”

“บางคนก็ใช้วิธีสู่ขอเราทั้งๆที่อายุปูนนี่เเล้วเพื่อเเย่งบัลลังค์…ยิ่งไปกว่านั้น เวลาไปไหนมาไหน พวกผู้ชายก็ชอบเหลือบมองเราด้วยสายตาหื่นกามตลอด ด้วยตำเเหน่งราชินีจะหาผ้ามาปิดหน้าอกหรือเเสดงออกว่าไม่พอใจก็ไม่ได้….ต้องทนตกอยู่ภายใต้สายตาเเบบนั้นมาเป็นสิบๆปี ….พวกสินค้านวนิยายโดจินองค์ราชินี หรือ เเม้เเต่ฟิกเกอร์องค์ราชินีถอดชุดได้…ถึงจะพยายามกำจัดไปเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ รู้ทั้งรู้ว่ามีขุนนางอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์บัดสีบัดเถลิง เเต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้…จะว่าไป ตั้งเเต่สมัยเด็กก็โดนท่านเเม่ตีกรอบเข้าคอร์สฝึกเป็นราชินีจนพอรู้ตัวอีกทีชีวิตวัยรุ่นก็ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เเถมต้องมาเเต่งกับตาลุงอายุ 30 ทั้งๆที่ตอนนั้นยังอายุเเค่ 13 ….เพื่อนที่เป็นผู้หญิงก็ไม่มีซักคน มีเเต่พวกผู้ชายรายล้อมจนโดนกล่าวหาว่าเป็นผู้หญิงมากมารยาบ้างอะไรบ้าง…ทั้งๆที่สามีของเราไปเเอบมีบ้านเล็กบ้านน้อย จนตอนนี้พวกขุนนางไปเก็บลูกๆของอีตานั่นมาใช้เป็นตัวหมากล้มบัลลังค์ของเรา  เขายังไม่เห็นโดนใครว่าอะไรเลย”

องค์ราชินีที่หน้าเเดงก่ำพูดน้ำไหลไฟดับ

ด้วยผลของสถานะต้านพิษทำให้เกิดอาการเหมือนเมาเหล้าเเทน

จะว่าไปพอฟังไปฟังมา ผู้มัวหมองอย่างผมก็ซักรู้สึกผิดที่ส่องกางเกงในของเธออยู่ เเต่เพราะจ้องไปเเล้วจะล่ะสายตาออมา ศักดิ์ศรีบางอย่างมันก็ค้ำคอเอาไว้ทำให้ล่ะสายตาออกมาไม่ได้

บ้าจริง….เพื่อฝืนทนต่อความผิดบาปนี้ ผมเลยตัดใจเดินไปค้นหาถ้วยชาที่อยู่ในห้องเก็บของออกมา

เสร็จเเล้ว ผมก็เดินไปหาองค์ราชินีเเละยื่นเเก้วให้พระองค์เเก้วหนึ่ง จากนั้นก็รินยาพิษที่เหลือเเบ่งกับพระองค์ดื่มคนล่ะครึ่ง

“อ๊ะ ! ขอบใจจ้ะ เอ้า ชนเเก้ว !”

เคร้ง !

องค์ราชินีที่ใบหน้าเเดงก่ำพูดเสียงใสอย่างร่าเริง

พวกเรานั่งข้างๆกันเเละชนเเก้วเพื่อเฉลิมฉลองให้กับชีวิตอันเลวร้าย เสร็จเเล้วก็ดื่มยาพิษพร้อมๆกันเเต่ไม่ตาย

“เฮ้อ…….”

องค์ราชินีพ่นลมหายใจที่มีควันอุ่นๆออกมาพลางเฝ้ามองถ้วยชาในมือที่สลักลายลูกเเมว

“ลูกเเมวตัวนี้น่ารักจัง…เหมือนกับอนัสตาเซีย …ตอนยังเด็กๆเลย ฮึก !”

องค์ราชินีเริ่มเพ้อเเล้ว

เเถมตอนนี้อยู่ๆเธอก็เริ่มร้องไห้ออกมา

“ฮือออออออ อนัสตาเซีย  เเม่ ! ฮึก ! เเม่ขอโทษนะ….เเม่เป็นเเม่ที่ไม่ดี…เเม่เป็นเเม่ที่ไม่ได้เรื่อง ทั้งๆที่เเม่รู้ดีว่าความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียชีวิตวัยรุ่นเป็นยังไง เเต่สุดท้ายเเม่ก็ทำกับลูกเหมือนที่เเม่ของเเม่ทำกับเเม่..ฮือออออ เพราะงั้นลูกเลยหักหลังเเม่เเบบนี้สินะ เเม่ขอโทษ เเม่ผิดไปเเล้ว อนัสตาเซีย ฮือออออ “

“ไม่เป็นไรนะครับ องค์ราชินี…ผมเข้าใจดีว่าท่านพยายามเต็มที่ที่สุดเเล้วเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอ”

อย่างเช่นกับการหมั้นหมายกับผมที่เป็นผู้กล้า…เอ่อ ถึงจะฟังดูหลงตัวเองก็ตามเถอะ

“เเต่บางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับใครบางคน สำหรับคนอีกคนมันอาจไม่ใช่เเบบนั้นก็ได้”

หือ ?

สิ่งที่ดีที่สุดอย่างงั้นหรอ ?

พอพูดถึงตรงนี้ เเละ มองไปที่องค์ราชินีที่กำลังสั่งน้ำมูกด้วยท่าทางน่ารัก ผมก็นึกขึ้นมาได้

“เพราะงั้นบางที…..สิ่งที่สำคัญที่สุด….มันคงไม่ใช่การให้อะไรบางอย่างกับใครบางคน….เเต่เป็นการที่เรา…..กับคนๆนั้น…พูดคุยกันต่างหาก”

“???”

อ่า….เข้าใจเเล้ว….เป็นเเบบนี้เอง….เพราะอย่างนี้นี่เอง

“เพราะพวกเราต่างชอบคิดเองเออเองว่าสิ่งที่มอบให้อีกฝ่ายคือสิ่งที่ดีที่สุด ทั้งๆที่ความจริงมันไม่ใช่เเบบนั้น  อ่า….พวกเราก็เเค่หลงตัวเองเกินไปหน่อยจนคิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องเเล้วมันก็เท่านั้นเอง”

เพราะเอาเเต่พึ่งพาความใจดีของเรเรีย เเละ ไม่ยอมยืนยันอย่างหนักเเน่นว่าจะให้เธอเป็นภรรยาคนที่สอง เธอเลยเคลือบเเคลง มันจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าผมยอมพูดคุยกับเธอเเละอนัสตาเซียตรงๆ เเม้รู้ว่าหากพูดออกไปต้องโดนตบหน้าก็ตาม

ในขณะที่ ไลล่า  ผมก็ชอบคิดเข้าข้างตัวเองมาโดยตลอดว่าพวกเธอเป็นพวกซึนดาเระ ทั้งๆที่จริงๆเเล้วเธออาจจะว่าผมจริงๆเเละหวังให้ผมปรับปรุงตัว เเต่เพราะผมมัวเเต่จมกับความเศร้าเเละได้รับการช่วยเหลือมาโดยตลอด ผมเลยไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอต้องการจะบอกจริงๆเลยซักครั้ง

ส่วนอนัสตาเซียนั้น จริงๆเเล้วอาจจะไม่ได้หลงรักผมตั้งเเต่เเรกเเล้วก็ได้ ทุกอิริยาบถที่เเสดงให้เห็นคือส่วนหนึ่งที่ได้รับมาจากการฝึกฝนการเป็นเจ้าสาว เพราะหลงรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้น ผมเลยไม่รู้เลยว่าจะต้องมีบางครั้งที่เธอต้องฝืนทนเวลาอยู่กับคนอย่างผมที่พูดน้อยมาโดยตลอด

เพราะมัวเเต่จมกับความเศร้า ผมเลยลืมหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ

เเต่ในขณะเดียวกันพวกเธอเหล่านั้นก็ตัดใจยอมเเพ้ที่จะพูดคุยกับผมต่อ

เพราะเราต่างตัดใจที่จะพูดคุยเปิดอกซึ่งกันเเละกัน ผลลัพธ์ มันก็เลยลงเอยเเบบนี้

ช่างน่าขำที่ผมพึ่งมานึกได้ เอาป่านนี้

ใช่….ดันมารู้ว่าตัวเองทำพลาด ในตอนที่สูญเสียพวกเธอไป….

“ฮึก ! มันสายไปเเล้วล่ะ”

สายเกินไปอย่างงั้นหรอ….

ถึงองค์ราชินีจะพูดเเบบนั้น เเต่พอนึกถึงภาพของพวกเขาทั้งหลายที่ผมฝันถึงทุกครั้งที่เข้านอน ผมก็ส่ายหัวเเทบจะในทันที

“ไม่มีคำว่าสายเกินไปตราบใดที่มนุษย์เรายังมีชีวิตอยู่”

“——— !!! “

“การที่เราจะพูดคุยกับใครซักคนได้….มีเเค่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะสามารถทำได้”

ทว่า องค์ราชินีที่ก้มหน้าซุกเข่าก็ส่ายหัวเบาๆ

“เเต่เด็กคนนั้นห่างไกลเกินกว่าที่เราจะเอื้อมมือไปถึงเเล้ว”

“มันก็เเค่ห่างกัน เหมือนทำงานคนละบริษัทเท่านั้นเองนี่ครับ”

องค์ราชินีค่อยๆเงยหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำตาขึ้นมา

“—- !?”

“ก็เเค่อนัสตาเซียเจอเส้นทางของตัวเอง เเละ เลือกที่จะก้าวไปทางนั้นด้วยการตัดสินใจของตนเองโดยไม่ได้ถูกควบคุมโดยพระองค์ เพราะงั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถเจอเธอได้ตลอดชีวิตซักหน่อยไม่ใช่หรอครับ”

“………………….”

“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ มันก็คงมีเเค่ความกล้า…..กล้าที่จะยอมรับในสิ่งที่ทำผิด….กล้าที่จะขอโทษ…..เเล้วก็กล้าที่จะยอมถอยให้หนึ่งก้าวเพื่อที่พวกเราจะได้จับเข่าเข้าหากัน”

บางที….คำพูดนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่บอกกับเธอเเค่คนเดียว

เเต่มันหมายถึงตัวผมในตอนนี้ด้วย

“……………….”

“กะอีเเค่กลายเป็นเผ่าปีศาจ ก็ไม่ใช่ว่าสายสัมพันธ์ของเเม่ลูกจะขาดกันซักหน่อย ไม่ใช่หรอครับ ?”

“นั่นมันก็…นั่นสินะ”

องค์ราชินีวางถ้วยยาพิษที่อยู่ในมือลง

“บางทีตอนนี้ มันอาจจะยังทันอยู่ก็ได้ เเต่ว่า—“

 

ด้วยสถานะขององค์ราชินี การจะไปทำเเบบนั้นมันก็คง—-

 

“อ่า…พอเถอะครับ ผมว่าพวกเราทำเพื่อพวกเขามามากพอเเล้ว”

ใช่ ในที่สุดก็รู้ตัว

พอเห็นสาวงามอย่างพระองค์มาร้องไห้เเละเตรียมฆ่าตัวตายอยู่ตอนนี้ ผมก็เข้าใจอย่างเเจ่มเเจ้งเเล้ว !

“???”

“พระองค์ก็เห็นไม่ใช่หรอว่าบัลลังค์สี่เหลี่ยมโง่ๆนั่นมีคนอยากได้อยากมีกันใจจะขาด เพราะงั้นก็ยกๆให้มันไปเถอะ ไม่เห็นจะเป็นไร ….พระองค์เอาตัวไปผูกมักกับองค์กรที่สุดท้ายก็…..ไม่ได้มีประโยชน์…เหี้ยไรซักอย่างนอกจากทำให้ความสัมพันธ์ของเเม่ลูกย่ำเเย่ลง หนำซ้ำยังทำลายชีวิตวัยรุ่นของพระองค์เอง …ประเทศนี้อยู่ได้โดยไม่ต้องมีผมเเละท่าน พวกเขาหาสามารถหาผู้กล้าเเละราชินีคนใหม่ได้ตลอดเวลาที่พวกเขาต้องการ เเต่สำหรับอนัสตาเซีย —-“

“……………………”

“เธอมีเเม่เพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ท่าน !”

“—- !!!”

“ผมว่า มันถึงเวลาเเล้วละครับองค์ราชินี”

ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจได้ว่าจะวางยาพิษที่อยู่ในมือลง

การได้พูดคุยกับเธอทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

การได้รู้ว่าบนโลกนี้ยังมีคนทุกข์ทรมานเเละดิ้นรนไปพร้อมๆกับผมอยู่ มันทำให้ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป

ดังนั้นเเล้ว—-

“พวกเรามาทำให้ถูกต้องกันเถอะครับ”

“ท่านผู้กล้า ?”

“พวกเราต้องเอาชีวิตของพวกเรากลับคืนมา”

“นี่เธอ ?”

“ทำในสิ่งที่อยากทำ…เป็นในสิ่งที่อยากเป็น….เป็นตัวของตนเองที่ไม่ได้ถูกประเมินค่าโดยคนอื่น”

พอกันทีกับการวิ่งเต้นตามผู้คนที่ไม่เคยมองเห็นตัวตนของผมเลย

หมดเวลาเเล้วกับการเอาอกเอาใจคนอื่น จนลืมที่จะใส่ใจตัวเอง

ในตอนนี้ ณ เวลานี้ ! ผมได้ตัดสินใจเเล้ว !!!

“พรุ่งนี้ผมจะกลับไปหาจอมมาร”

“—— !?”

“ไม่ใช่ในฐานะผู้กล้าที่เเพ้ให้กับมันเมื่อวันวาน เเต่ในฐานะลูกผู้ชายที่มีชื่อว่า อาเบล อินคาโน่ “

“ถ้างั้นล่ะก็..ฉัน…อืออ”

หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง องค์ราชินีก็เอียงหัวเล็กน้อยเเละยิ้มบางๆ

“เเบบนี้ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้น่ะสิจ้ะ ….อื้อ เข้าใจเเล้วจ้ะ”

รอยยิ้มของพระองค์ช่างตราตรึงใจเสียเหลือเกิน

องค์ราชินีหัวเราะเบาๆพลางวางศีรษะพิงไหล่ของผมราวกับจะพึ่งพิง

“ขอโทษนะ…ที่เเสดงท่าทางไม่น่าดูออกมา”

“ไม่หรอกครับ….พวกเราก็เเค่มนุษย์ที่อ่อนเเอธรรมดาๆ ไม่ได้วิเศษวิโสเหมือนที่คนอื่นเขาคิดกัน”

“……………..”

“ก็เเค่อยากได้ใครซักคนมาอยู่เคียงข้าง อยากได้ใครซักคนมาระบาย….ไม่อยากอยู่ตัวคนเดียว”

“นั่นสิจ้ะ…..”

“พออยู่กับพระองค์ ได้พูดคุยเปิดอกกับพระองค์เเล้ว …มันทำให้โล่งใจขึ้นเยอะเลยครับ”

“ฮึๆ เราก็เหมือนกันจ้ะ”

“เพราะงั้น ถ้าอยู่กับผมอีกซักหน่อย”

ปล่อยตัวไปตามใจ พอผนวกกับฤทธิ์เหล้า รู้สึกตัวอีกทีผมก็เหลอยื่นมือไปกุมมือขององค์ราชินี

กึก !

“—— !?”

“………….”

สายตาของเราทั้งคู่ประสานเข้าหากันโดยไม่ตั้งใจ

พวกเราทั้งสองที่ต่างสูญเสียชีวิตในวัยรุ่นไปเพราะสังคม

พวกเราที่ต่างต้องเเบกรับเเละเผชิญเรื่องเเย่ๆมาพร้อมๆกันเเละบังเอิญมาอยู่ในห้องเก็บของที่มีเเสงไฟสลัวอย่างเป็นใจ

“คือว่า—“

องค์ราชินีที่พวงเเก้มเจือด้วยสีเเดงระเรื่อพยายามเบือนหน้าหนีเพื่อหลบตา

เเต่ผมก็ตัดสินใจจับคางของเธอเบาๆอย่างทะนุถนอมไม่ให้เธอหลบหน้า

“รักครับ—“

เเล้วก็สารภาพรักความรู้สึกที่มีออกไป

“ผมหลงรักท่านครับ….จะช่วยรับความรักของผมไปได้หรือเปล่าครับองค์ราชินี ?”

“ท่านผู้กล้า !?”

“เรียกว่า อาเบล เฉยๆก็พอครับองค์ราชินี”

ได้ยินดังนั้นองค์ราชินีก็เอาเข่าสองข้างถูเข้าหากันด้วยความเขินอาย

“เป็นคุณป้าเเก่ๆเเบบเราจะดีจริงๆหรอคะ”

“ครับ ผมรักท่านครับองค์ราชินี”

“——- !!!”

องค์ราชินีที่มีใบหน้าเเดงก่ำช่างน่ารักเหลือล้น

“คือ…..คือว่า….”

“มาเอาความสุขของวัยรุ่นของพวกเรากลับคืนมากันเถอะครับ”

“อะ…อื้ม…จ้ะ !”

เเม้จะลังเล เเต่สุดท้ายพอประสานสายตาที่ชุ่มฉ่ำของเราทั้งคู่เข้าด้วยกัน เธอก็ตกลง

“อึก ! อุ่นจัง….”

ตาประสานตา มือประสานมือ

ฝ่ามือทั้งสองข้างของเราสอดประสานเข้าหากัน

เเซ่กๆ

เสื้อผ้าที่หลุดออกทีละชิ้นเผยให้เห็นหัวไหล่เปลือยเปล่า ก่อนจะค่อยๆล่นลงไปถึงหน้าอกอวบอิ่มที่มีจุดยอดสีชมพูจิ้มลิ้มน่าสัมผัส

“อรื๊อออ ❤ “

ระหว่างที่กำลังบีบคลึงกับก้อนภูเขาที่นุ่มนิ่มทั้งสองลูกอย่างเบามือ พวกเราทั้งคู่งก็ประกบริมฝีปากเข้าหากันเเละตวัดลิ้นไปมาอย่างเร่าร้อน

จ๊ววววบ ซู๊ดดดด

พวกเราจูบอย่างดูดดื่มเเละเร่าร้อนจนหัวใจเต้นระรัว

เมื่อถอนริมฝีปากจากกัน น้ำลายใสๆก็ยืดออกมาเเละเชื่อมระหว่างริมฝีปากของเราทั้งคู่

พอเห็นใบหน้าขององค์ราชินีที่เคลิบเคลิ้มตาลอย ผมก็ค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปเเลกลิ้นกับเธอต่อ

“อื้อออ ❤ !? “

ความเร่าร้อนของการต่อสู้ภายในปากที่สอดประสานกันไปมาทำให้องค์ราชินีจิกเล็บลงที่เเผ่นหลังของผมพลางขยับร่างเข้ามาใกล้

กลิ่นกายอันหอบหวานเย้ายวน มันทำเอาน้องชายของผมลุกชันขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

“เเฮ่กๆ อาเบล อึก ! อาเบลคุงงงง”

“จะเข้าไปเเล้วนะครับอิลลี่”

ดันร่างของเธอลงกับพื้นเเละกลิ้งไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันใต้โต๊ะ

กึกๆๆ

โต๊ะไม้ค่อยๆสั่นสะเทือนตามการเคลื่อนไหวของพวกเรา

องค์ราชินีปลดชุดชั้นในออก ส่วนผมก็ปลดกางเกงลง จากนั้นก็เเนบชิดร่างกายของเราเข้าด้วยกันจนสองสิ่งร่วมเป็นหนึ่งเดียว

“อร๊างงงง ❤❤❤❤”

พวกเราทั้งสองปลดปล่อยความรู้สึกที่สั่งสมมานานออกมาผ่านการเคลื่้อนไหวของเอวเเละสะโพก

เร่งจังหวะขึ้นๆลงๆไม่ให้เธอเจ็บมากเกินไป จากนั้นก็ปลอบประโลมด้วยการจูบเป็นระยะๆ

กึกๆๆๆๆๆ

โต๊ะไม้ที่อยู่ข้างบนก็สั่นไปสั่นมารัวๆ ท่ามกลางเสียงครางของเธอ

“❤❤❤❤❤❤❤❤❤”

เเน่นอนว่าโต๊ะตัวนี้ก็สั่นไปสั่นมาจนถึงเช้า

ผมเเละเธอได้ปลดปล่อยความเป็นวัยรุ่นออกมาเเละเข้าจังหวะกันอย่างสนุกสนานเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

ปล. นิยายเรื่องนี้ได้ลงจนจบในอีกที่หนึ่งเเล้ว เพราะงั้นทาง NEKOPOST จะลงช้ากว่า 

ถ้าสนใจสามารถไปตามอ่านกันก่อนได้ที่ ลิ้งค์นี้เลยครับ Yusha no reverse NTR เพราะโดนจอมมารเเย่งสาวในตี้ ก็เลยจับเเม่จอมมารมาทำเมีย (novelkingdom.co)

 

 

 

Yusha no reverse NTR เพราะโดนจอมมารเเย่งสาวในตี้ ก็เลยจับเเม่จอมมารมาทำเมีย

Yusha no reverse NTR เพราะโดนจอมมารเเย่งสาวในตี้ ก็เลยจับเเม่จอมมารมาทำเมีย

Status: Ongoing
หลังจากที่เด็กหนุ่มได้รับฉายาว่าผู้กล้า เขาก็ต่อสู้เพื่อโลกใบนี้มาโดยตลอด เเต่ทว่า ในศึกสุดท้ายเขากลับถูกสาวๆในปาร์ตี้หักหลังเเละย้ายข้างไปอยู่กับจอมมาร กระนั้นเเล้ว เมื่อได้กลับไปพบกับองค์ราชินีเเละได้รับความรักความเมตตาจากสาวใหญ่คัพ G เขาก็ได้รับรู้ว่าสาวเเรกรุ่นก็ไม่ต่างหากต้นอ่อน ต้องสาวทรงโตมากประสบการณ์นี่สิถึงจะดี นี่คือเรื่องราวจุดเริ่มต้นของนักล่าสาย MILF ในตำนาน คุณเเม่ทรงโตเปิดเผยผิวพรรณอวบๆของสาวเอลฟ์ เเม่สาวปีกดำหน้าตาสล่ะสลวยมารยาเจ้าสเน่ห์ผู้เป็นเเม่ของจอมมาร เเถมยัง คุณเเม่ของอดีตคู่หมั้นอย่างองค์ราชินีผมเงินท่าทางอ่อนโยนผู้เป็นสาวงามล่มเมือง เเม้จุดเริ่มต้นอาจไม่งดงาม เเต่เรื่องราวของเขาจะยิ่งใหญ่เเละจบลงด้วยครอบครัวอันสุขสันต์อย่างเเน่นอน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท