“นี่…นายจะไปจริงๆงั้นเหรอ?…โทระ”
ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งตรวจเช็คสัมภาระเป็นรอบสุดท้ายอยู่ที่ม้านั้งตรงแถวๆประตูเมือง จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งถามขึ้นมา
ผมเงยหน้าไปมองตามเสียงนั้นก็พบกับชายหนุ่มผมดำหน้าตาดีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงด้านหน้าของผม และที่ด้านหลังของเขาก็มีเด็กสาวอีกสามคนยืนอยู่ด้วย
“อ่าว อากิ…อืม จริงสิ ก็เคยบอกไว้แล้วนี่ว่าหลังเรียนจบฉันจะออกเดินทางไปผจญภัยตามความฝันน่ะ”
“นะ นั่นสินะ…” อากิตอบเสียงอ่อยๆ สีหน้าของเขาดูเศร้าลงไปอีก
“เอาล่ะ เรียบร้อย…เฮ้ๆ ไหงทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะ นายก็ยังมีเอริ ยูกิ…แล้วก็ฮานะ อยู่ด้วยนี่ แล้วอีกอย่างไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกสักหน่อย แถมพวกเราก็เก็บเงินจนซื้อเครื่องสื่อสารเวทกันได้แล้ว ยังไงก็คุยกันได้ตลอดเวลาอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”
“งั้นเหรอ…ก็จริงล่ะนะ…”
ผมลุกขึ้นยืน เอาดาบยาวมาเหน็บไว้ที่สายคาดเอว เอาโล่กลมที่ทำจากไม้ไปสะพายไว้บนหลัง
อากิมองภาพนั้นด้วยสายตาสงสัย
“นายเปลี่ยนสายมาเป็นสายดาบโล่งั้นเหรอ? เห็นซื้อดาบไปอย่างเดียว นึกว่าจะเลือกสายนักดาบซะอีก?”
“หืม…อ่า เดินทางคนเดียวสายนักธนูมันน่าจะสู้ลำบากเกินไปหน่อย สายนักดาบการป้องกันตัวก็ลำบากไปหน่อย ก็เลยว่าจะลองปั้นสายดาบโล่ที่สมดุลกว่าดูน่ะ”
“อ่า นั่นสินะ…”
“ไอเทมบ็อก” ผมพูดเบาๆ ก่อนที่จะมีหน้าต่างโฮโลแกรมสีฟ้าขึ้นมา มันคือหน้าจอกล่องเก็บของนั่นเอง
ผมทำการโยนของอื่นๆเข้าไปไว้ในหน้าจอนั้น หลังจากเรียบร้อยแล้วก็หันมามองเพื่อนทั้งสี่คนที่ยืนรออยู่
“เอริ ยูกิ ฮานะ ยังไงก็ฝากดูแลเจ้าทึ่มอากิด้วยล่ะ”
“นายว่าใครเป็นเจ้าทึ่มฟะ!”
“ถ้านายไม่ใช่เจ้าทึ่ม ในโลกนี้ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าทึ่มได้อีกแล้วล่ะ”
“เห็นด้วย”
“เห็นด้วย”
สาวๆที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน
“หะ โหดร้าย…” อากิหันไปมองพวกเธออย่างสิ้นหวังพลางทำคอตก
“ไว้ใจได้เลยโทระ ฉันจะดูแลหมอนี้อย่างดีเลย” เอริ สาวสวยที่มีผมยาวสีบลอนด์หันมาพูดกับผม
“ใช่ๆ จะไม่ยอมปล่อยหมอนี้ให้คลาดสายตาเลยล่ะ” ยูกิ สาวสวยอีกหนึ่งคนที่มีผมสีน้ำตาลแกมแดงกล่าวตามมา
“…” ฮานะ สาวสวยผมดำที่มัดเป็นทรงโพนี่เทลที่กำลังทำหน้าไม่ค่อยสบายใจ เธอมองหน้าผมเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ถ้างั้นไว้เจอกันใหม่นะ ไปล่ะ”
“อือ โชคดีนะโทระ ไว้เจอกัน” อากิหันมายิ้มให้ผม ถึงสายตาจะยังเศร้าๆอยู่ก็เถอะนะ
“ไว้เจอกันนะโทระ”
“โชคดีนะ”
“…โชคดีนะ…โทระ”
ผมยิ้มให้ทั้งสี่คน โบกมือส่งท้ายก่อนที่จะเดินออกนอกประตูเมืองมา ภาพถนนที่ทอดยาวออกไป ภาพทุ่งนาที่กว้างไกลสุดลูกหาลูกตา ภาพท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผม
“หกปีแล้วสินะ”
เป็นเวลากว่าหกปีแล้วที่ผมกับพวกอากิได้หลุดทะลุมิติเข้ามาที่โลกใบนี้ พวกเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด เจอเรื่องราวต่างๆมากมายมาด้วยกัน ชีวิตในรั้วโรงเรียนนักผจญภัย การผจญภัยออกนอกเมืองไปเก็บเลเวลต่างๆมากมาย…เป็นช่วงเวลาที่สนุกมากจริงๆ…แต่ว่าหลังจากนี้…มันคือการผจญภัยของตัวผมเองสินะ
“เอาล่ะ ขอดูหน่อยเถอะ โลกใบนี้น่ะ!” ผมกล่าวกับตัวเองก่อนที่จะเริ่มออกเดินไปตามถนนที่ทอดยาวออกไป
**************
ที่อีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่เขาคนนั้นเดินจากไป แผนหลังของเขานั่นดูโดดเดี่ยวจนฉันรู้สึกใจหาย
“…นี่ ยูกิ…ทั้งหมดนี่…เป็นความผิดของฉันหรือเปล่านะ…” ฮานะกระซิบถามฉันที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างเศร้าๆ
ฉันหันไปมองฮานะด้วยสายตาที่เจือไปด้วยความสงสาร
“ไม่ใช่หรอก เรื่องความรักน่ะ ไม่มีใครผิดใครถูกหรอกนะ…บางที…ผลออกมาแบบนี้อาจจะดีทั้งกับตัวโทระ แล้วก็ทั้งกับตัวฮานะเองแล้วล่ะนะ”
“…งั้นเหรอ…นั่นสินะ…บางทีแบบนี้อาจจะดีกว่าจริงๆ…” ฮานะตอบรับด้วยเสียงเศร้าๆ
ฉันหันกลับไปมองตามแผ่นหลังของโทระที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆจนลับสายตาไปในที่สุด…
“แล้วก็…บางที…แบบนี้อาจจะดีกับตัวฉันที่สุดก็ได้…”
ฉันพูดกับตัวเองโดยที่ไม่มีใครได้ยิน
“…เจ้าแมวน้อย…”
**************
ณ คฤหาสแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยของขุนนางในเมืองหลวง
ชายคนหนึ่งที่อยู่ในชุดขุนนางเต็มยศกำลังเอามือกุมขมับอย่างอ่อนใจ ในขณะที่กำลังอ่านจดหมายฉบับหนึ่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เบื้องหน้าของเขามีเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ ผมยาวสลวยสีเงินสว่างแสดงให้เห็นถึงการที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ใบหน้างดงามไร้ที่ติ อยู่ในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนที่ดูสวยงาม ขัดกับอารมณ์ที่กำลังเศร้าของเธอที่แสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน
“นี่ลูกรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป โซเฟียร์”
“ข้ารู้ตัวดีค่ะท่านพ่อ”
“แล้วลูกรู้ตัวไหมว่าตัวเองอยู่ในสถานะอะไร และมีหน้าที่อะไร”
“ข้าทราบค่ะ”
“ถ้าทราบแล้วทำไมถึงยังทำเรื่องแบบนั้น”
“…”
“ตอบไม่ได้งั้นรึ”
“เอาเถอะ ยังไงมันก็เป็นความผิดของพ่อเองด้วยที่ปล่อยปะละเลยจนมันมาถึงจุดนี้” เขาเงยหน้าขึ้นมามองลูกสาวของตัวเองก่อนจะกล่าวต่อ
“ทางราชสำนักมีคำตัดสินโทษออกมาแล้วว่าให้ถอดเจ้าออกจากตำแหน่งคู่หมั้นขององค์รัชทายาท เนรเทศเจ้าออกจากตระกูลดยุก และถอดยศขุนนางให้กลับไปเป็นสามัญชน และประหารเพื่อตัดขาดสายเลือด 1 ครั้ง”
“…รับทราบค่ะ” โซเฟียร์ทำได้เพียงแค่ก้มหน้าลง
“มาถึงขั้นนี้พ่อคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก…พ่อจะส่งเจ้าเดินทางออกจากเมืองหลวงไปก่อน ให้เจ้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่แถบชายแดนในอาณาเขตปกครองของตระกูลเลโอแล้วกัน” เขาถอนหายใจออกมา
“ไปใช้ชีวิตที่นั่นอย่างสงบเสงี่ยม แล้วสำนึกในความผิดของตนเองซะ เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว”
“…รับทราบค่ะ” โซเฟียร์เดินออกจากห้องไปด้วยท่าทางราวกับคนไร้วิญญาณ ดยุกโครวมองตามแผ่นหลังของลูกสาวของตนเองไปด้วยสายตาเจ็บปวด ถึงเขาจะรักลูกสาวมากขนาดไหน แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
**************
ตัวข้า…โซเฟียร์ มาเรีย เดอ เลโอ…ไม่สิ ตอนนี้คงเหลือแค่โซเฟียร์เท่านั้น ปัจจุบันเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา
ในอดีต ชีวิตของตัวข้านั้นไร้ซึ่งอิสระ ถูกสั่งสอนและอบรมอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่จำความได้เพื่อที่จะสามารถก้าวขึ้นเป็นราชินีได้อย่างสง่างาม ตัวข้าก้าวเดินตามเส้นทางที่ท่านพ่อกับท่านแม่กำหนดมาให้เดินโดยเชื่อว่านั้นคือความถูกต้อง…เชื่อมั่นมาโดยตลอดว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวข้า…จนข้าได้มาเจอกับเขาคนนั้น…
ได้เจอกับชายที่ชื่อว่า…อากิ
ข้าเจอเขาโดยบังเอิญในขณะที่แอบออกมาเดินเล่นภายในตัวเมือง เขาช่างเจิดจ้า สว่างไสว และอิสระเสรี…และตัวข้า…ก็ได้ตกหลุมรักในแสงสว่างนั้น
วิถีชีวิตของข้าเปลี่ยนไป ข้าเอาแต่รอคอยเวลาที่จะได้เจอกับเขาคนนั้นอย่างใจจดใจจ่อ ยิ่งได้รู้จัก ยิ่งได้พูดคุย ข้าก็ยิ่งหลงไหลไปกับแสงสว่างนั่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด…ข้าก็ได้สารภาพความรู้สึกของตัวเองออกไป
…และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ข้า…โดนแสงสว่างทอดทิ้งเช่นเดียวกัน…
ชีวิตของข้าพังทลาย นอกจากจะโดนปฏิเสธแล้ว เรื่องที่ข้าสารภาพรักกับชายอื่นที่ไม่ใช่คู่หมั้นของตัวเองก็ไปถึงหูของท่านพ่อและราชวงศ์เข้าจนได้ และสุดท้ายขุนนางทั่วทั้งเมืองหลวงก็ล่วงรู้เรื่องที่ข้ากระทำลงไป
ตัวข้าโดนปลดออกจากตำแหน่งทางการเมืองทุกอย่าง และโดนเนรเทศออกจากตระกูล กลับกลายมาเป็นสามัญชน
และผลจากการผิดสัญญาการหมั้นหมายทำให้ข้าถูกลงโทษตามข้อตกลง โดยข้าถูกดึงพลังจากตระกูลกลับไปจนทำให้ตอนนี้เลเวลของข้ากลับมาอยู่ที่ 0 อีกครั้ง
ท่านพ่อส่งข้าออกมาจากเมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือตัวข้าจากการประหารตัดสายเลือด ท่านส่งข้าไปในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักตัวตนในอดีตของข้า เพื่อที่ข้าจะสามารถมีชีวิตที่สงบสุขต่อไปได้
ข้ารู้ตัวว่าตัวเองทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ผิดหวังและเจ็บปวด แต่การจะมาพูดขอโทษว่าตัวเองสำนึกผิดแล้วในตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว
ตัวข้าในตอนนี้นั้นได้รับคำว่าอิสระมาแล้ว…แต่ทำไมข้ากลับรู้สึกว่ามันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน
“ชีวิตของข้าจะเป็นยังไงต่อไปนะ”
ข้าพูดกับตัวเอง ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างของรถม้าที่กำลังวิ่งไปตามถนนสายหนึ่งที่สองข้างทางเป็นป่าทึบ และมีเสียงร้องของสัตว์อสูรดังขึ้นเป็นระยะๆ