To-ra Story : คณะท่องโลกของนายโทระ – ตอนที่ 4 โซ โซโร

To-ra Story : คณะท่องโลกของนายโทระ

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารบริเวณชั้น 1 ของโรงแรมเรียบร้อยแล้วผมก็เดินทางไปที่โรงตีเหล็กประจำหมู่บ้านเพื่อหาซื้อโล่อันใหม่

 

เดินมาตามทางที่สอบถามข้อมูลมาจากชาวบ้าน จนในที่สุดผมก็เดินมาถึงโรงตีเหล็กจนได้

 

ผมเดินเข้าไปภายในร้าน บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างร้อนระอุ มีไอร้อนที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าลอยออกมาจากประตูทางไปหลังร้านอย่างต่อเนื่อง

 

มีดาบ หอก มีดและโล่ และอาวุธอื่นๆอีกมาถูกวางและแขวนไว้ที่ผนังเต็มไปหมด ถึงคุณภาพและความสวยงามดูจะสู้อาวุธจากร้านค้าในเมืองหลวงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าดูแย่อะไร

 

ในระหว่างที่ผมกำลังเดินดูโล่รูปแบบต่างๆอยู่ ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหา

 

“เหมือนคุณลูกค้ากำลังสนใจโล่อยู่ใช่ไหมครับ?”

 

“ใช่ครับ พอดีโล่อันเก่ามันใกล้จะพังแล้ว ก็เลยว่าจะหาเปลี่ยนใหม่อยู่ครับ”

 

“แล้วคุณลูกค้าสนใจโล่แบบไหนเป็นพิเศษไหมครับ”

 

“เอ๊ะ? โล่นี่มีหลายแบบด้วยงั้นหรือครับ? ผมนึกว่าจะโล่แบบไหนก็เหมือนกันซะอีก”

 

พนักงานหนุ่มคนนั้นยิ้มออกมา ก่อนที่จะเริ่มอธิบายอย่างใจเย็น

 

“โดนปกติถ้าไม่ใช่ผู้ใช้โล่ที่ชำนาญก็ปกติที่จะไม่ทราบครับ จริงๆแล้วโล่เองก็ไม่ต่างจากอาวุธอื่นๆครับ ยกตัวอย่างเช่นดาบก็แล้วกันครับ ดาบเองก็มีหลายประเภท เช่นดาบเครมอร์ ดาบบัสตาร์ด ดาบเรเปียร์เป็นต้น โล่เองก็มีหลายรูปแบบเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้งานอยากใช้งานแบบไหนครับ”

 

ผมพยักหน้าตามอย่างเข้าใจ

 

“ผมเป็นประเภทที่เน้นสร้างความเสียหายครับ จะไม่ค่อยได้ยืนชนกับมอนสเตอร์โดยตรงสักเท่าไหร่ แต่ใช้โล่เพื่อป้องกันในบางโอกาสครับ ช่วยแนะนำโล่ที่เหมาะๆให้หน่อยได้ไหมครับ”

 

“ด้วยความยินดีครับ ว่าแต่คุณลูกค้ามีปาร์ตี้ไหมครับ”

 

“ตอนนี้ยังไม่มีปาร์ตี้เลยครับ”

 

“เอ่อ…อาจจะเสียมารยาทนิดหน่อยนะครับ แต่คุณลูกค้ามีงบไว้ประมาณเท่าไหร่งั้นหรือครับ”

 

“กะไว้ว่าไม่อยากให้เกิน 50 เหรียญทองครับ”

 

“งั้นเหรอครับ ผมขอคิดสักครู่นะครับ”

 

พนักงานครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะเริ่มแนะนำ

 

“ถ้าเป็นโล่ที่เน้นการสร้างความเสียหายผมอยากแนะนำคือโล่อันนี้ครับ”

 

พนักงานเดินไปหยิบโล่อันหนึ่งออกมาจากชั้นวาง มันเป็นโล่ขนาดค่อนข้างเล็ก และค่อนข้างเพรียวยาวไปตามท่อนแขน มันดูเหมือนกับปลอกแขนขนาดใหญ่มากกว่าที่จะดูเป็นโล่ที่เอาไว้ป้องกันโดยตรง

 

“โล่อันนี้ทางหัวหน้าช่างของเราเป็นคนออกแบบขึ้นมาครับ เราเรียกมันว่าโล่สนับครับ จุดเด่นของโล่สนับก็คือมีน้ำหนักเบา สามารถใช้ตรงส่วนขอบด้านนอกของโล่ที่มีความคมในการสร้างความเสียหายได้ เหมาะกับการต่อสู้ระยะประชิด แต่ข้อเสียก็คือมีความสามารถในการป้องกันต่ำกว่าโล่ชนิดอื่นๆครับ”

 

พนักงานวางโล่ไว้บนโต๊ะใกล้ๆ ก่อนที่จะเดินไปหยิบโล่อีกอันมา

 

“อันนี้เป็นโล่กลมแบบมาตรฐานครับ พลังป้องกันอยู่ในเกณดี น้ำหนักค่อนข้างหนักเพื่อใช้สำหรับรับแรงกระแทกต่างๆ สามารถป้องกันการโจมตีได้ดี ถึงไม่ได้ถือติดมือแต่แค่สะพายติดหลังไว้ก็ช่วยป้องกันด้านหลังได้เป็นอย่างดีครับ”

 

พนักงานวางโล่ไว้บนโต๊ะข้างๆโล่สนับ ก่อนจะเดินไปหยิบโล่อีกอันออกมา ซึ่งโล่อันนี้มีขนาดใหญ่มาก หากตั้งในแนวตั้งความสูงจากฐานถึงส่วนบนสุดน่าจะสูงประมาณ 2 เมตร พนักงานต้องใช้สองมือค่อยๆลากมันมา พอมาถึงพนักงานก็หอบเล็กน้อย

 

“ส่วนอันนี้คือโล่ฐานครับ มีขนาดใหญ่ พลังป้องกันสูงมาก แต่ก็มีน้ำหนักมากเช่นเดียวกัน เหมาะสำหรับการใช้ตั้งชนกับมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ หรือเอาไว้ป้องกันปาร์ตี้จากการโจมตีวงกว้างครับ”

 

“โล่ทั้งสามอันนี้เป็นโล่ที่ผมแนะนำว่าคุณลูกค้าควรมีติดตัวไว้เผื่อใช้ในสถานการณ์ต่างๆครับ โล่ทุกอันถูกสร้างจากวัตถุดิบระดับ 100 จึงสามารถป้องกันมอนสเตอร์ที่มีระดับเลเวลต่ำกว่านั้นได้โดยไม่ได้รับความเสียหายแน่นอนครับ”

 

ผมเห็นด้วยกับคำแนะนำของพนักงาน ดูเหมือนว่าโลกแห่งนักดาบโล่นั้นมีอะไรอีกมากที่ผมยังไม่รู้จัก แต่ว่านะ…

 

“ผมก็อยากได้ทั้งสามอันนะครับ แต่ราคามันน่าจะเกินงบ…”

 

“ไม่ต้องห่วงเลยครับคุณลูกค้า ปกติโล่นั้นราคาถูกกว่าพวกอาวุธอยู่แล้วครับ จริงๆแล้วโล่สามอันนี้ราคารวมกันจะอยู่ที่ 60 เหรียญทองครับ แต่ถ้าคุณลูกค้าซื้อโล่หมดทั้ง 3 อันทางร้านยินดีลดราคาให้เป็นพิเศษเหลือแค่ 50 เหรียญทองครับ”

 

คุณพนักงานขายพูดจบพร้อมกับยิ้มกว้างแบบนักขายของมืออาชีพ

 

 

“…โอเคครับ จัดมาทั้ง 3 อันเลยครับ”

 

“ขอบคุณที่อุดหนุนครับผม”

 

ผมจ่ายเงินไปพร้อมด้วยยิ้มเก้อๆ ก่อนที่จะเก็บโล่ทั้ง 3 อันเข้าช่องเก็บของ ก่อนที่จะเดินออกมาจากร้าน

 

วันนี้ผมวางแผนที่จะไปล่าที่ป่าโทเดนอีกรอบ ดังนั้นจึงไปที่สมาคมนักผจญภัยเพื่อรับภารกิจก่อนที่จะเดินทางออกจากเมืองไปที่ชายป่าโทเดนอีกครั้ง

 

ที่บริเวณชายป่ายังมีผู้คนเนืองแน่นเช่นเดียวกับเมื่อวาน

 

ผมเดินไปตามร้านแผงลอยต่างๆ แล้วทยอยขายวัตถุดิบที่ไม่ใช่ของภารกิจที่ได้จากการล่ามอนสเตอร์เมื่อวานนี้จนหมด จึงได้เงินเพิ่มมาอีก 2 เหรียญทอง กับอีก 20 เหรียญเงิน 70 เหรียญแดง

 

ถึงจะดูเหมือนเยอะ แต่ถ้าเทียบกับความเสียหายในการซื้ออุปกรณ์ต่างๆที่มีมูลค่ากว่า 200 เหรียญทองแล้วดูเหมือนว่าจะต้องทำงานหนักไปอีกหลายวันถึงจะได้เงินคืนมา

 

แต่ทันใดนั้นก็มีสิ่งหนึ่งดึงดูดความสนใจของผม

 

“อะไรเนี่ย นักเวทเลเวล 0 แถมยังติดโทษแห่งความตายอีก นี่คิดจะมาเป็นภาระให้ปาร์ตี้หรือยังไง?”

 

นักดาบคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด ผมจึงหันไปดูอย่างสนใจ เพราะได้ยินคำว่าโทษแห่งความตาย

 

คู่กรณีของชายนักดาบคือหญิงสาวคนหนึ่งที่มีรูปร่างอวบอ้วน ใบหน้ากลมๆของเธอบวกกับผมสีเงินหยิกๆที่ดูไม่ค่อยเป็นทรง ทำให้ผมต้องเผลอขมวดคิ้ว

 

ต้องเข้าใจก่อนว่าตั้งแต่ผมเข้ามาที่โลกใบนี้ ผมนั้นได้เจอกับผู้คนมาเยอะมาก ถึงจะเคยเจอคนที่ดูรูปร่างอ้วนมาก่อน แต่ยังไม่เคยเจอคนอื่นที่มีลักษณะร่างกายที่อวบอ้วนมากขนาดนี้มาก่อนเลยสักคนเดียว

 

“โดนคำสาป?”

 

ผมเคยได้ยินมาว่าในบางครั้งการทำสัญญาบางอย่าง อาจจะมีการระบุบทลงโทษที่ร้ายแรงเช่นการสาปให้ร่างกายดูน่าเกลียดน่ากลัว หรือทำให้พิการ และจะไม่สามารถรักษาได้หากทำเงื่อนไขการแก้คำสาปไม่สำเร็จ

 

แต่บางทีอาจจะไม่ใช่คำสาปก็ได้ การตัดสินคนจากรูปร่างหน้าตานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้นผมจึงไม่คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก

 

สาวรูปร่างอวบคนนั้นไม่ได้ตอบโต้อะไร ก่อนที่จะถอยออกมาด้วยสีหน้าทุกข์ใจ แต่ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะยังไม่ยอมจบ

 

“นี่จะรีบไปไหนล่ะ ยัยบ้านี่ คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปรึไง”

 

สาวอวบคนนั้นไม่ได้ตอบโต้อะไร และยังพยายามจะเดินหนีออกไป แต่ชายคนนั้นก็ยังพยายามจะเดินตามไปคว้าแขนเธอ

 

ในตอนแรกผมคิดว่าจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่พอเห็นดังนั้นจึงขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปขวางชายคนนั้นไว้

 

“นี่พี่ชาย พอได้แล้วน่า สาวน้อยคนนี้ก็ยอมให้แล้ว พี่ชายจะตามตื้อเธออีกทำไมกัน”

 

แต่พอชายนักดาบคนนั้นเห็นผมเข้ามาขวาง ก็ทำหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน

 

…นี่พี่จะหัวร้อนเกินไปหน่อยไหม…ผมคิดในใจอย่างหน่ายๆ

 

“อะไร!? จะทำตัวเป็นพระเอกหรือไงไอหน้าปลาจ๊วด!”

 

ผมน้ำตาจะไหล ก็รู้ตัวอยู่หรอกว่าตัวเองไม่ได้หน้าตาดี…แต่ไม่ต้องมาซ้ำเติมก็ได้ครับ

 

“ไม่ใช่หรอกครับพี่ชาย ตรงนี้คนมันเยอะ ผมแค่กลัวว่าถ้าพี่ชายมีเรื่องมันจะทำให้พี่ชายดูเป็นคนไม่ดีที่เที่ยวรังแกเด็กผู้หญิงไม่มีทางสู้เอาน่ะครับ”

 

“ปากดีนักนะไอเด็กเวร ถ้าอยากเป็นพระเอกนักแน่จริงก็มาประลองกันสักหน่อยไหมล่ะ ถ้าฉันแพ้ฉันจะยอมลามือ แล้วก็จะยอมก้มหัวขอโทษนังเด็กนั้นด้วย แต่ถ้าแกแพ้ แกก็ก้มหัวขอโทษฉัน แล้วก็รีบไสหัวไปไกลๆเลย ว่าไง กล้าไหมพ่อพระเอก”

 

เด็กสาวคนนั้นดึงแขนเสื้อของผม พลางส่ายหน้าให้ผม ก่อนที่จะพูดกับผม

 

“ไม่เป็นไรค่ะ เค้าคงไม่กล้าทำอะไรฉันจริงๆหรอกค่ะ แถมอีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับคุณ ฉันไม่อยากทำให้คุณเดือดร้อนไปด้วยค่ะ”

 

เสียงของเธอค่อนข้างห้าวเหมือนกับผู้ชาย แต่ผมไม่ใส่ใจหันไปยิ้มตอบให้เด็กสาว ก่อนที่จะหันมาพูดกับชายนักดาบ

 

“เอาสิครับ ร่างสัญญาประลองวิญญาณได้เลย”

 

“หืม นับว่าใจกล้าดีนี่ไอเด็กเวร ได้ ฉันจะอัดแกให้น่วมเลยคอยดู…ข้าขอร่างสัญญาท้าประลองวิญญาณ หากข้าแพ้ให้กับคู่ประลอง ข้าจะยอมก้มหัวขอโทษให้กับคู่ประลองและเด็กสาวผู้นั้น แต่หากข้าชนะการประลอง คู่ประลองต้องก้มหัวขอโทษให้ข้า และห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้าอีก”

 

การท้าประลองวิญญาณก็เหมือนกับการท้าประลอง PVP กับผู้เล่นคนอื่นในเกมออนไลน์ในโลกเดิม แต่การท้าประลองวิญญาณของโลกใบนี้นั้นไม่ได้มีกฏตายตัว คู่ประลองสามารถสู้กันไปได้เรื่อยๆจนกว่าจะมีใครยอมแพ้หรือเสียชีวิตลง แต่โดยปกติทั่วไปแล้ว ถ้าไม่ได้มีความแค้นต่อกันมากมายอะไรการท้าประลองวิญญาณจะสู้กันจนถึงแค่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถโจมตีเข้าสู่จุดตายของคู่ต่อสู้ได้ แล้วก็จะหยุดมืออยู่แค่ตรงนั้นไม่มีการสู้กันจนถึงแก่ชีวิต

 

ติ๊ง! ทันใดนั้นก็มีหน้าจอสีฟ้าเด้งขึ้นมาที่ด้านหน้าของผม

 

มีผู้ของท้าประลองวิญญาณกับคุณ

คุณจะรับคำท้าประลองหรือไม่?

รับ/ไม่รับ

 

“รับ”

 

ทันทีที่ผมตอบรับ อยู่ๆก็เกิดพื้นที่วงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เมตรขึ้นครอบระหว่างตัวผมกับชายนักดาบคนนั้น และผู้คนที่อยู่รอบๆก็โดนพื้นที่วงกลมผลักให้ออกไปอยู่นอกพื้นที่ทันที

 

ชายนักดาบคนนั้นยิ้มหยั่นให้ผมเหมือนจะเป็นการเยาะเย้ย

 

“ข้าเอกริล นักดาบเลเวล 30 ข้าเป็นคนไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น…เอ็งรีบหยิบอาวุธออกมาเตรียมตัวให้พร้อมซะดีๆไอเด็กเวร เวลาแพ้จะได้ไม่มีข้ออ้าง”

 

ช่างกล่าพูดจริงๆว่าไม่เอาเปรียบผู้อื่น…

 

“ผมแค่ชาวบ้านทั่วๆไปที่พึ่งผ่านทางมา ไม่มีค่าพอให้พี่ชายมาให้ความสนใจหรอกครับ”  

 

ผมตอบพลางหยิบดาบขึ้นมาถือไว้ในมือ แล้วตั้งท่าเตรียมสู้

 

“ดี ดี ดี!! คนยิ่งกำลังหงุดหงิดอยู่พอดี มีเอ็งมาช่วยเป็นที่ระบายอารมณ์แทนยัยอ้วนนั่นได้พอดีเลย…รับมือ!”

 

พูดจบชายที่ชื่อว่าเอกริลก็พุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็ว เขาเงื้อดาบออกไปทางด้านขวาจนสุดแขน คงหมายจะฟันให้เต็มแรง ผมยังยืนนิ่งๆอยู่ที่เดิม รอจนเอกริลวิ่งมาถึงระยะโจมตีของเขา และทันทีที่เห็นว่าเอกริลเริ่มขยับดาบฟันออกมาในแนวขวางจากขวาไปซ้าย ผมก็หยิบโล่ใหญ่ขนาด 2 เมตรที่พึ่งซื้อมาเมื่อสักครู่ออกมาขวางไว้ที่ด้านซ้ายของตัวเอง บดบังทางดาบและการมองเห็นของเอกริลซะมิด

 

“อะไร!”

 

ทันทีที่เอกริลเห็นว่าอยู่ดีๆก็มีโล่ขนาดใหญ่กว่า 2 เมตรโผล่ขึ้นมาขวางทางดาบของตัวเองก็สะดุ้งตกใจ แต่เขาไม่สามารถเปลี่ยนทางดาบได้อีกแล้ว ดังนั้นดาบจึงกระแทกเข้ากับโล่เต็มๆจนแรงสะท้อนเกือบจะทำเอาดาบของเขาหลุดมือ

 

ผมไม่ยอมให้คู่ต่อสู้ได้ทันตั้งตัว รีบหมุนตัวออกมาจากด้านหลังของโล่ทางด้านขวา แล้วเตะตัดขาของเอกริลที่เสียหลักจากแรงสะท้อนของการฟันของตัวเองจนเขาหงายหลังล้มลง ก่อนที่ผมจะเอาดาบที่อยู่ในมือไปจ่อที่คอของเอกริล

 

การต่อสู้จบลงโดยใช้เวลาไม่ถึง 5 วินาทีด้วยซ้ำ ผู้คนรอบข้างต่างตกอยู่ในความเงียบสงัด

 

“พี่ชายแพ้แล้วครับ ผมหวังว่าพี่ชายจะทำตามคำสัญญานะครับ”

 

แต่ดูเหมือนนักดาบเอกริลจะยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆตัวเองถึงล้มลง ทำไมอยู่ๆภาพด้านหน้าก็กลายเป็นท้องฟ้าสีคราม แต่ไม่นานก็ดูเหมือนเขาจะได้สติ ก่อนที่สายตาของเขาจะจับจ้องมาที่ปลายดาบที่จอไว้ที่คอของตัวเอง

 

“ข้าแพ้แล้ว”

 

ทันทีที่สิ้นเสียงของนักดาบเอกริล พื้นที่วงกลมก็หายไป และเสียงเฮของผู้ชมที่อยู่รอบๆก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน ผมทำการเก็บของเข้าช่องเก็บของจนหมด

 

“เมื่อกี้มันอะไรกัน! ข้าไม่เคยเห็นวิธีต่อสู้แบบนั้นมาก่อนเลย!”

 

“สุดยอดไปเลยน้องชาย!”

 

“น้องชายๆ สนใจเข้าปาร์ตี้กับพวกพี่ไหม สวัสดิการณ์ดีมากเลยนะ”

 

“เก่งขนาดนั้นคงจะเลเวลสูงแน่ๆ ใครเขาจะมาเข้าปาร์ตี้เลเวลน้อยๆแบบพวกเรากัน”

 

“สมน้ำหน้าเจ้าเอกริลจริงๆ ทำกร่างมานาน…คราวนี้เจอตอเข้าจริงๆสักที”

 

เด็กสาวร่างอวบอ้วนรีบวิ่งเข้ามาหาผม สายตาที่มองผมเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

 

“ฉันขอโทษจริงๆที่ทำให้คุณเดือดร้อนค่ะ!”

 

เธอรีบก้มหัวขอโทษผมทันทีที่วิ่งเข้ามาถึง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไร ชายที่ชื่อเอกริลก็ลุกขึ้นมาซะก่อน ตอนแรกใบหน้าของเขาก็ดูบูดบึ้งอยู่แล้ว แต่มันก็ยิ่งดูบูดขึ้นไปอีกหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่คนรอบๆตัวพูดกัน

 

“คุณหนู แล้วก็เจ้าด้วยน้องชาย ข้าขอโทษในสิ่งที่ข้าทำลงไปในวันนี้จริงๆ”

 

เอกริลก้มหัวขอโทษพวกเราทันที ก่อนที่จะรีบเดินออกจากพื้นที่แล้วหายไปท่ามกลางฝูงชน

 

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมเลือกจะเข้ามายุ่งเองครับ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องขอโทษผมหรอกครับ”

 

ผมหันกลับไปพูดกับเด็กสาว แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่คอยยอมรับสักเท่าไหร่

 

“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ยังไงฉันก็เป็นต้นเหตุจนคุณต้องเดือดร้อนอยู่ดี…อย่างน้อยก็ให้ฉันได้ตอบแทนบุญคุณด้วยเถอะค่ะ”

 

“เอ่อ…ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะครับ แต่ผมก็ไม่ได้ต้องการให้คุณทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนจริงๆนะครับ”

 

“อย่างน้องให้ฉันเลี้ยงข้าวสักมือก็ยังดีค่ะ”

 

สายตาของเธอนั้นดูดื้อรั้นและแฝงไปด้วยมุ่งมั่นที่แรงกล้าจนผมไม่รู้ว่าจะกล่าวปฏิเสธยังไงดี แต่แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว ผมมองไปรอบๆทำให้สังเกตว่าพวกเรายังตกเป็นเป้าความสนใจอยู่

 

“งั้นผมว่าเราเปลี่ยนที่คุยกันก่อนดีไหมครับ ตรงนี้ค่อนข้างวุ่นวายไปหน่อย”

 

“อ๊ะ ได้ค่ะ”

 

ผมพาเด็กสาวเดินออกมาจากพื้นที่ ก่อนที่จะพาเธอเข้าไปในร้านเนื้อย่างข้างทางร้านหนึ่ง

 

“ขอเนื้อย่าง 4 ไม้ครับ”

 

ผมสั่งอาหารก่อนที่จะเดินไปนั่งที่โต๊ะที่ยังว่างอยู่ เด็กสาวเดินตามเข้ามาก่อนที่จะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

 

“ให้ฉันเลี้ยงเนื้อย่างแค่ 4 ไม้นี่ไม่น้อยไปหน่อยหรอคะ?”

 

“ไม่เป็นไรครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง…พอดีผมนึกออกแล้วว่าจะให้คุณช่วยทำอะไรน่ะครับ”

 

เด็กสาวตอนแรกทำท่าว่าจะไม่ยอม แต่พอได้ยินประโยคถัดไปเธอจึงยังไม่พูดแทรกอะไรออกมา

 

“จะว่าไปผมขอแนะนำตัวก่อนแล้วกันนะครับ ผมชื่อโคซากิ โทระ แต่เรียกผมว่าโทระก็ได้ครับ”

 

“อ๊ะ! ฉันเองก็ลืมแนะนำตัวไปเลย ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ ฉันชื่อโซ..โซโรค่ะ! ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

 

ผมติดสตั้นไปนิดนึงตอนที่ได้ยินชื่อของเธอ

 

“โซ โซโร…เอ่อ ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ แต่คุณโซโรเป็น…เอ่อ…ผู้ชายหรือเปล่านะครับ?”

 

พอได้ยินคำถามคุณโซโรก็หน้าแดงขึ้นมาทันที

 

“เอ๊ะ!? อะ.เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ ฉันเป็นผู้หญิงค่ะ แค่ชื่ออาจจะแปลกไปนิดหน่อย…เอ่อ ไม่ต้องคิดมากนะคะ…เคยโดนทักแบบนี้อยู่บ่อยๆน่ะค่ะ”

 

ผมรีบก้มหัวขอโทษเธอทันที แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ติดใจอะไร แค่มีอาการเขินอยู่นิดหน่อย

 

“แต่เรียกฉันว่าโซโซก็ได้นะคะ พวกเพื่อนๆก็เรียกกันแบบนี้”

 

“อ่า..ได้ครับคุณโซโซ”

 

“โซโซเฉยๆดีกว่าค่ะ เรียกคุณมันออกจะดูเป็นทางการไปนิดนึง แล้วอีกอย่างฉันก็พึ่งจะอายุ 16 เองด้วยค่ะ บางทีอาจจะน้อยกว่าคุณโทระด้วย จะให้คุณโทระมาเรียกคุณฉันรู้สึกไม่ค่อยดีน่ะค่ะ”

 

“งั้นหรอครับ ถึงผมก็พึ่งจะ 18 เยอะกว่าโซโซนิดเดียวเอง โซโซจะเรียกผมว่าโทระเฉยๆก็ได้นะ ผมไม่คิดมากหรอก”

 

“เอ๊ะ! ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันขอเรียกว่าคุณโทระดีกว่าค่ะ…ว่าแต่เรื่องที่คุณโทระอยากให้ฉันช่วยคืออะไรงั้นหรือคะ?”

 

“อ้อ! คือเรื่องนั้น…จริงๆไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนเกินไปไหม แต่ผมอยากชวนโซโซมาเข้าปาร์ตี้น่ะ”

 

“เอ๊ะ? ทำไมถึงชวนฉันล่ะคะ? เมื่อกี้คุณโทระก็น่าจะได้ยินเรื่องที่ฉันมีเลเวล 0 แถมยังติดโทษแห่งความตายด้วย แล้วอีกอย่างคุณโทระเก่งขนาดนั้นก็น่าจะเลเวลสูงแล้ว ถึงเอาฉันเข้าปาร์ตี้ไปก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรนี่คะ”

 

โซโซดูตกใจกับคำขอของผม

 

“เอ่อ…จริงๆแล้วผมพึ่งจะเลเวล 12 เองนะ แถมตัวผมเองก็ติดโทษแห่งความตายด้วยเหมือนกัน…”

 

“เอ๋!? ทั้งๆที่เก่งขนานนั้นแต่พึ่งจะเลเวล 12 แถมยังชนะคนที่เลเวล 30 ได้ด้วย”

 

โซโซทำหน้าตกใจอย่างแรง ผมได้แต่ยิ้มแหะๆเป็นการตอบรับ

 

“พอดีเมื่อก่อนเคยต้องสู้กับนักดาบที่เก่งมากๆอยู่บ่อยๆน่ะนะ”

 

ผมนึกถึงอากิขึ้นมา ถ้าเทียบกันแล้วฝีมือของเอกริลยังไม่ได้ 1 ใน 100 ของอากิเลยด้วยซ้ำ โซโซทำหน้าเหมือนกับจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

 

“งั้นหรือคะ จริงๆแล้วคุณโทระเมื่อก่อนน่าจะเลเวลสูงสินะคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็พอจะเข้าใจได้ค่ะ”

 

“ก็ประมาณนั้นแหละ…งั้นพูดต่อเลยนะ ผมเองก็ติดโทษแห่งความตายเหมือนกัน แล้วโซโซเองก็น่าจะเข้าใจว่าคนที่ติดโทษแห่งความตายนั้นหาปาร์ตี้ยากขนาดไหนใช่ไหมล่ะ?”

 

พูดถึงตรงนี้โซโซก็พยักหน้าแสดงว่าเห็นด้วย เธอเองจริงๆวันนี้ก็ตระเวนหาปาร์ตี้เพื่อเก็บเลเวลตั้งแต่เช้าแล้วเหมือนกัน แต่ไม่มีปาร์ตี้ไหนรับเธอเลย

 

“แล้วถึงจะมีปาร์ตี้ที่ยอมรับเข้าไป สุดท้ายก็จะไม่สามารถเพิ่มเลเวลได้ทันกับเพื่อนร่วมทีม แล้วในที่สุดก็ต้องโดนไล่ออกจากปาร์ตี้อยู่ดี…แล้วผมก็นึกเรื่องนึงขึ้นมาได้พอดี…”

 

“ทำไมคนที่ติดโทษแห่งความตายเหมือนกัน ถึงไม่มาจับปาร์ตี้กันเอง…ใช่ไหมคะ?”

 

โซโซพูดจบประโยคแทนผม ผมจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ

 

“ใช่แล้วล่ะ…แล้วโซโซคิดว่ายังไง ถ้าเป็นแบบนี้โซโซจะยอมรับคำขอของผมไหม?”

 

โซโซจ้องหน้าของผมสักพัก ก่อนที่จะทำหน้าลำบากใจออกมา ตอนแรกผมคิดว่าเธอคงไม่ตกลง

 

“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะเข้าปาร์ตี้กับคุณโทระค่ะ”

 

อ่อ ตกลงสินะ…ว่าแต่…แล้วทำไมต้องทำหน้าลำบากใจด้วยล่ะ??

 

แต่ดูเหมือนว่าโซโซจะอ่านสีหน้าของผมออก

 

“คือไม่ได้รู้สึกลำบากใจที่ต้องปาร์ตี้กับคุณโทระหรอกนะคะ แต่แค่คิดว่าแบบนี้มันก็เหมือนกับว่าฉันไม่ได้ตอบแทนอะไรคุณโทระเลยนี่คะ แต่กลายเป็นว่าฉันยิ่งได้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้นไปอีก”

 

พอได้ฟังผมก็เข้าใจความรู้สึกของเธอ บางทีโซโซอาจจะเป็นคนจริงจังมากกว่าที่คิด

 

“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องคิดมากหรอกนะ เพราะในอนาคตยิ่งเลเวลสูงเท่าไหร่ การจะต่อสู้คนเดียวมันจะยิ่งยากขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีปาร์ตี้คอยสนับสนุน ผมเองก็อาจจะไปไม่รอดเหมือนกัน ดังนั้นถ้าโซโซมาอยู่ในปาร์ตี้ ก็จะช่วยผมได้เยอะเลยล่ะ…”

 

โซโซพอได้ฟังคำพูดของผมก็มีสีหน้าดีขึ้น

 

“แต่ว่ามันมีอีกประเด็นที่ผมอาจจะต้องถามโซโซเอาไว้ก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ”

 

“ประเด็นอะไรงั้นเหรอคะ?”

 

เป็นคราวนี้ที่ผมทำหน้าลำบากใจขึ้นมาบ้าง

 

“…เอ่อ จริงๆคือตอนนี้ผมกำลังวางแผนจะออกเดินทางไปรอบๆโลกอยู่น่ะ ก็เลยไม่แน่ใจว่าคุณโซโซคิดยังไง ถ้าปาร์ตี้กันระยะยาวได้มันก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้าโซโซไม่ได้อยากเดินทางไปด้วยกัน จะตั้งปาร์ตี้ระยะสั้นเอาไว้ช่วยกันเก็บเลเวลช่วงนี้ไปก่อนผมก็ไม่ติดใจอะไร…ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ก็เลยอยากฟังความเห็นของโซโซไว้ตั้งแต่แรก…แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนขอคำตอบเลยหรอกนะ เอาไว้ตัดสินใจได้เมื่อไหร่ค่อยบอกอีกทีก็ได้”

 

โซโซทำท่าทางครุนคิดอยู่สักครู่ ก่อนที่จะตอบกลับมา

 

“คุณโทระจะอยู่เก็บเลเวลที่หมู่บ้านโทเด็นจนถึงเมื่อไหร่งั้นหรือคะ?”

 

“ที่คิดไว้กะว่าจะเก็บเลเวลจนถึงเลเวล 40 ก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อน่ะ”

 

“งั้นหรือคะ…จริงๆแล้วฉันก็อยากให้คำตอบเร็วๆเหมือนกันนะคะ แต่การตั้งปาร์ตี้ระยะยาวนั้นฉันว่ามันเป็นอะไรที่จะตัดสินใจในทันทีไม่ได้ค่ะ…นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เชื่อใจหรือไม่ไว้ใจคุณโทระนะคะ แต่ฉันกังวลว่าบางทีนิสัยของเราจะเข้ากันได้หรือเปล่าน่ะค่ะ ถ้ายังไงเราลองใช้ช่วงเวลานี้ปาร์ตี้กันก่อน ถ้าเราสามารถร่วมมือกันได้ ฉันก็ไม่มีปัญหาที่จะเดินทางไปกับคุณโทระค่ะ”

 

พอได้ฟังสิ่งที่โซโซพูดก็ทำให้ผมนึกได้ ในคราวนี้เป็นตัวผมเองที่คิดไม่รอบคอบจริงๆ

 

ในการตั้งปาร์ตี้ระยะยาวนั้นส่วนมากแล้วสมาชิกทุกคนของปาร์ตี้จะต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี และมีเป้าหมายร่วมกัน เหมือนกับผมและพวกอากิในอดีต แต่การที่อยู่ดีๆก็โดนขอให้เข้าปาร์ตี้ระยะยาวจากคนที่พึ่งจะรู้จักกันนั้นเป็นอะไรที่สุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก

 

“ผมไม่ได้คิดถึงด้านของโซโซเลย ผมคิดน้อยเกินไป ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ”

 

ผมรีบกล่าวขอโทษโซโซทันทีจนเธอตกใจ

 

“เอ๊ะ!! ไม่เลยค่ะ ไม่เป็นไรเลย…ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ดังนั้นช่วยเงยหน้าขึ้นมาเถอะนะคะ”

 

พอเห็นผมเงยหน้าขึ้น โซโซก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

“คุณโทระเป็นคนดีกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะคะ”

 

“เอ๊ะ? งั้นหรือครับ? แต่เมื่อก่อนชอบมีคนบอกว่าผมเป็นคนนิสัยไม่ดีอยู่บ่อยๆนะครับ ฮะๆ”

 

ผมหัวเราะกลบเกลื่อน ถึงจะพอเข้าใจก็เถอะว่าทำไมเธอถึงชมผมว่าเป็นคนดี

 

“ไม่หรอกค่ะ คุณโทระเป็นคนดีจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ยอมออกมาช่วยคนที่ไม่รู้จัก การที่ไม่ตัดสินคนจากภายนอก และยังให้เกียรติกับคนอื่นอยู่เสมอ ฉันว่านั่นเป็นคุณสมบัติที่เพียงพอแล้วค่ะที่คุณโทระจะได้รับคำชม”

 

เธอกล่าวจบก็ยิ้มออกมา

 

“บางทีพวกเราอาจจะได้เดินทางท่องโลกกว้างใบนี้ไปด้วยกันจริงๆก็ได้นะคะ”

 

ผมได้แต่ยิ้มเก้อๆตอบเธอ การได้รับคำชมระยะเผาขนแบบนี้เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็จะดีใจมากเลยครับ”

 

“เนื้อย่าง 4 ไม้ได้แล้ว”

 

มีเสียงเจ้าของร้านดังขัดขึ้นมา ก่อนที่จะมีเนื้อย่างชิ้นใหญ่ๆกองอยู่ในจานจำนวน 12 ชิ้นมาเสิร์ฟ

 

“…”

 

“…”

 

ผมกับโซโซมองหน้ากัน

 

…เอิ่ม…นี่มันไม่เยอะไปหน่อยหรอ เนื้อย่าง 4 ไม้ แต่ทำไมมันถึงกลายเป็นเนื้อสเต็ก 12 ชิ้นไปได้??

 

“เอ่อ เจ้าของร้าน เนื้อนี่มันไม่เยอะไปหน่อยเหรอ ผมสั่งแค่ 4 ไม้เองนะ”

 

ผมหันไปคุยกับเจ้าของร้านที่พึ่งยกเนื้อย่างมาเสิร์ฟ เจ้าของร้านทำหน้างงๆ ก่อนที่จะชี้ไปที่ชื่อร้าน

 

“ก็ร้านชื่อเนื้อย่างจานยักษ์…แล้วจะให้มันน้อยได้ยังไง??…ถามอะไรแปลกๆ”

 

พูดจบเจ้าของร้านก็เดินกลับไปทันที

 

“…”

 

“…”

 

☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆

 

ย้อนเวลากลับไปช่วงกลางดึกของเมื่อคืนที่ผ่านมา

 

ภายในโบสถ์ที่ตั้งอยู่ ณ หมู่บ้านโทเดน

 

บรรยากาศภายในโบสถ์นั้นเงียบสงบ และปราศจากวี่แววของสิ่งมีชีวิต แต่แล้วอยู่ๆก็มีแสงสว่างวาปขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดที่แท่นเกิดใหม่ ก่อนที่จะปรากฏร่างของหญิงสาวที่มีรูปร่างอวบอ้วนขึ้นมาคนหนึ่ง

 

เธอก้มลงมองรูปร่างของตัวเอง ก่อนที่จะรีบวิ่งไปที่กระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ และทันทีที่ภาพสะท้อนของกระจกปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ หญิงสาวคนนั้นก็ยกมือขึ้นมาจับใบหน้าของเธอ สายตาแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน ก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆไหลรินออกมาจากดวงตา

 

“ไม่นะ…มะ ไม่จริง มะ มันต้องไม่เป็น…แบบนี้สิ…สะ สะ สเตตัส”

 

หน้าจอโปรงแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของเธอ

 

ชื่อ : –

อายุ : 16 ปี

วันเกิด : 12/01

สถานะ : ติดโทษแห่งความตาย (คงเหลือ 300 วัน), ติดคำสาปแห่งพันธสัญญา (ไม่สามารถแก้คำสาปได้จนกว่าจะบรรลุเงื่อนไข) , โสด

อาชีพ : – [เปลี่ยน]

พลังสายเลือด : ผนึก

เลเวล : 0 (-)

มานา : 0/0

ปาร์ตี้ : ไม่มี

กิลด์ :  ไม่มี

 

ค่าสถานะ

พลังกาย : 0 + 0

การตอบสนอง : 0 + 0

พลังเวท : 0 + 0

สายตา : 0 + 0

สัมผัสกลิ่น : 0 + 0

สัมผัสเสียง : 0 + 0

สัมผัสรส : 0 + 0

ชำนาญมือ : 0 + 0

ชำนาญขา : 0 + 0

แต้มพิเศษ : 0 (0)

 

สกิล

ไม่มี

 

คำสาปแห่งพันธสัญญา

ทำให้ผู้โดนคำสาปกลายเป็นสิ่งที่ผู้โดนคำสาปกลัวและไม่อยากเป็นที่สุด

ไม่สามารถแก้คำสาปได้จนกว่าจะบรรลุเงื่อนไขที่กำหนด

(เงื่อนไข) ต้องได้ดื่มเลือดของมอนสเตอร์ระดับราชาเลเวล 15000 ขึ้นไป

 

นี่คือสิ่งที่เธอกลัวที่สุด ในชีวิตของเธอที่ผ่านมานั้นเธอเป็นคนที่คอยดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือผมที่ยาวสลวยของเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมาจากความพยายามของเธอตลอดเวลาที่ผ่าน…บัดนี้มันได้สูญสลายไปหมดแล้ว

 

แต่เธอก็ไม่สามารถโทษใครได้ เพราะที่เธอกลายมาเป็นแบบนี้มันก็เกิดจากการกระทำของตัวเธอเองเช่นกัน

 

“แม้แต่ชื่อของข้า…”

 

ดวงตาของเธอกลายเป็นว่างเปล่า เธอไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร ดังนั้นเธอจึงหยิบมีดออกมาจากช่องเก็บของ ก่อนที่จะใช้มันปักเข้าที่หัวใจของตัวเอง และเธอก็สิ้นใจลงอีกครั้ง

 

เธอกลายมาเป็นร่างวิญญาณ และรูปร่างหน้าตาของเธอก็กลับมาสวยงามอีกครั้ง เธอรีบเดินไปที่แท่นบูชาเทพพระเจ้า ก่อนจะสวดอ้อนวรเพื่อขอเข้าพบกับพระเจ้า

 

เหมือนพระเจ้าจะตอบรับคำขอของเธอ แสงสว่างจากฟากฟ้าสาดส่องครอบคลุมดวงวิญญาณของเธอ ก่อนที่จะรู้ตัว เธอก็มาปรากฏตัวอยู่ภายในโถงแห่งหนึ่ง

 

รอบตัวของเธอเต็มไปด้วยหมู่เมฆสีขาว เบื้องหน้าของเธอเป็นบันไดที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆจนเธอไม่รู้ว่ามันมีทั้งหมดกี่ขั้น แต่ที่สุดปลายทางของบันไดก็ปรากฏภาพบัลลังก์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่ด้านบนสุด และบนบัลลังก์ก็มีคนๆหนึ่งนั่งอยู่ เธอไม่อาจมองเห็นหน้าของคนๆนั้นได้ แต่เธอก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นคือเทพพระเจ้านั่นเอง

 

“ว่ายังไงสาวน้อย ทำไมถึงเบื่อโลกใบนี้เร็วนักล่ะ?”

 

ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะรู้ว่าเธอต้องการอะไร

 

“ชีวิตฉันไม่เหลืออะไรแล้ว ก็เลยไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไมค่ะ”

 

“ข้าเข้าใจว่าเจ้าเจ็บปวด แต่ทำไมถึงตัดสินใจยอมแพ้ง่ายดายนักล่ะ? เจ้าพึ่งจะลืมตาดูโลกมาได้แค่ 16 ปี แต่เจ้าทำราวกับว่าตัวเองสูญสิ้นทุกอย่าง แล้วนี่เจ้าไม่คิดว่าในอนาคตเจ้าจะได้เจอสิ่งที่ทำให้เจ้ามีความสุขบ้างเลยหรือยังไง?”

 

ฉันมองดูพระเจ้าอย่างสงสัย ทำไมพระเจ้าถึงดูเหมือนจะพยายามพูดเกลี้ยกล่อมไม่ให้เธอยอมแพ้?

 

“เอาเถอะ ข้าพูดอะไรมากไม่ได้ แต่ข้าอยากให้เจ้าไปลองใช้ชีวิตที่อิสระเสรีที่เจ้าปรารถนามาโดยตลอดดูสักครั้ง ท่องโลกไปตามหัวใจ บางที…คำตอบที่เจ้าตามหาอาจจะอยู่ไม่ไกลอย่างที่เจ้าคิดก็ได้”

 

ถึงจะไม่แน่ใจเพราะมองเห็นใบหน้าของพระเจ้าได้ไม่ชัด แต่เธอรู้สึกได้ว่าพระเจ้ากำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เธออยู่

 

“บางทีโชคชะตาก็ชอบเล่นตลก และบางครั้งโชคชะตาก็ไม่ได้เล่นตลกกับเราเพียงครั้งเดียว ดังนั้นครั้งนี้เจ้าจงกลับไปซะเถอะ…ทำตามที่ข้าบอก แล้วสักวันเจ้าจะเข้าใจ อ่อ! จริงสิ ครั้งนี้ข้าจะยอมละเว้นเรื่องโทษแห่งความตายให้เจ้าสักครั้งเป็นของแถมเนื่องในโอกาสที่เราพบกันเป็นครั้งแรกให้ก็แล้วกันนะ ลาก่อน”

 

พูดจบพระเจ้าก็ทำท่าโบกมือ ก่อนที่จะมีลำแสงส่องลงมาครอบตัวของเธอไว้อีกครั้ง แต่ก่อนที่เธอจะโดนส่งกลับออกไป เธอก็ได้ยินเสียงของพระเจ้ามาอีกประโยค

 

“เจ้ารู้ไหม…แม้แต่พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่เช่นข้า…ก็ยังมิอาจยิ่งใหญ่เหนือโชคชะตาได้…”

To-ra Story : คณะท่องโลกของนายโทระ

To-ra Story : คณะท่องโลกของนายโทระ

Status: Ongoing
ตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่โลกนี้ เวลาก็ผ่านไป 6 ปีแล้ว แล้วก็…ทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังดื้อดึง สุดท้ายก็พ่ายแพ้กลับมา แต่ในเมื่อไม่มีอะไรคาใจแล้ว…ก็ขอออกไปท่องโลกกว้างดูสักครั้งแล้วกัน

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท