ตอนที่ 149 ไม่ได้เจอกันนาน คิดถึง
ราชสีห์ขาวฟันออกไป ทั้งสุสานที่ผนึกแสงดาราพลังปีศาจสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มุกใสแตก ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ที่ลอยอยู่บนฟ้า แสงอ่อนเหมือนปลาเวียนว่ายมากมายถูกดูดเข้ามา
รวมทรายเป็นหอคอย รวมขนเป็นหนังสัตว์
ดาบนี้ฟันลง แสงสว่างจ้า ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ปรากฏพายุหมุนยาวลูกหนึ่ง ข้ามผ่านผนังหินหน้าหลัง ทะลวงทั้งตำหนักสุสาน
ทุกสิ่งที่ขวางหน้าปราณดาบราชสีห์ขาวทลายลงทั้งหมด
นี่เป็นดาบที่ทำลายล้างทุกสิ่ง!
จนกระทั่งคว้าราชสีห์ขาว เจียงหลินถึงรู้ว่าล่าวารีของตน…เดิมทีเป็นเพียงอาวุธที่บิดาตนให้เขาไว้เล่นเท่านั้น ดาบยาวของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณตอนมีชีวิต ต่อให้แรงปรารถนาในตัวดาบจะสลายไปมากกว่าครึ่ง ก็ยังคงแข็งแกร่ง แรงฟันของดาบนี้แกร่งกว่าล่าวารีมาก!
ตอนนี้ในใจเจียงหลินเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าหากเจ้าหนูถือกระบี่นั่นสู้กับอาวุธของตนอีกครั้ง ขอแค่แรงปรารถนามากพอ ตนสำแดงด้วยกำลังทั้งหมด ออกราชสีห์ขาวไม่เกินสิบครั้งก็จะฟันกระบี่ของอีกฝ่ายหัก!
ดาบนี้ฟันครึ่งสุสานถล่มลง
เจียงหลินพ่นลมหายใจขุ่น
ฝุ่นฟุ้งกระจายตรงหน้าเขา ไม่มีท่าทีจะหยุด…ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่ว่าสิ่งใดที่ขวางหน้าเขาจะถูกปราณดาบนี้ฟันแตก
เขาถือราชสีห์ขาวขึ้น เดินลงไปอย่างยากลำบากนิดๆ ตัวดาบสะท้อนแสงสีขาวเงิน กวาดฝุ่นตรงหน้าเบาๆ
เจียงหลินพลันขมวดคิ้ว
ทั้งสุสานสะเทือน
แผ่นดินกระเทือน
ดาบนี้ของตนฟันทำลายสุสานภูเขาแดง…แต่ร่างเงาคนนั้นตรงกลางสุดกลับหายไป
แม้แต่ร่องรอยของมุมแขนเสื้อยังไม่เห็น
……
ภูผานทีพังทลาย
เสียงคำรามของสิงโตดังกึกก้องข้างหู
ดาบนั้นมีอานุภาพแข็งแกร่งมาก ต่อให้หนิงอี้กางร่มกระดาษมันก็ต้านไม่ได้
ดังนั้นหนิงอี้จึงเลือกหุบร่ม
สวีชิงเยี่ยนที่ประคองไหล่หนิงอี้หลับตาลง ปราณดาบพัดผ่านจอนผมเด็กสาว นางมั่นใจในดวงชะตาสุดท้ายของตนแล้ว…บทสรุปเช่นนี้เหมือนจะไม่มีอะไรดีเลย
เช่นนั้นก็ตายในภูเขาแดงแล้วกัน
เมื่อพายุหมุนราชสีห์ขาวระเบิดเสียงดังฟ้าร้องข้างหูเด็กสาว นางเหมือนได้ยินเสียงพังทลายที่เบายิ่ง เหมือนหินถูกบีบแตก
สิ่งที่พังทลายไม่ใช่แค่ภูผานที
แต่ยังมีก้อนหินแตกที่ลอยอยู่ข้างมือหนิงอี้
พูดให้ถูกคือ นี่ไม่ใช่ก้อนหินแตก แต่เป็นจุดแปลก
หนิงอี้ให้ความสำคัญกับการเลือกผนังหินมาก เขามาสุสาน ใช้คัมภีร์แสวงมังกรเปิดทางแปดทิศ ชี้ทวารมากมาย หาทางถอยไว้แล้ว จากนั้นทะลวงพลังถือกระบี่สู้ตายกับยอดปีศาจนั่น เติมเต็มความเสียหายของจิตมรรค
เมื่อเขาไม่มีทางถอย
เช่นนั้นก็จะถอยเข้าจุดแปลกสุดท้าย…
ห้วงอากาศปริแตก สองคนพลันตกลงในจุดแปลก
สวีชิงเยี่ยนลืมตาขึ้น พายุคลั่งพัดดวงตาเรียวยาวของนาง นางมองเห็นไม่ชัดว่าตรงหน้าคืออะไร สายลมโหมซัดสาด ครึ่งตัวของหนิงอี้แนบอยู่ตรงหน้านาง เกิดเสียงดังพรึ่บ ร่มกระดาษมันพินิจเหมันต์กางออก สายลมหยุดลงไปเล็กน้อย สองคนถูกพัดไถลไปข้างหลัง เด็กหนุ่มเอาสองมือกดด้ามร่ม เด็กสาวเอาสองมือกอดเอวเด็กหนุ่มในผ้าดำเกราะเกล็ด
เหมือนอยู่บนหน้าผา เหยียบลวดเหล็กเดินไปข้างหน้า
โคลงเคลงจะล้มลง
ไม่มีใครรู้ทางนั้นของจุดแปลกว่าเชื่อมกับอะไร
สวีชิงเยี่ยนสับสนเล็กน้อย นางรู้สึกได้ว่าห้วงอากาศรอบตัวกำลังถูกพลังไร้รูปกระแทกไม่หยุด เชื่อมไปปากทางใหม่…ตอนนี้นางเพิ่งตั้งสติกลับมาได้ ด้วยตัวตนของเจ้าของสุสานท่านนั้น ดูท่าคงไม่มีทางให้ทางถอยกับตนขนาดนี้แน่ พันปีร้อยปีมานี้ มีคนมาถึงสุสานจริงๆ อีกทั้งยังวางจุดแปลกที่นี่ คนนี้เป็นใคร สุดท้ายจุดแปลกจะเชื่อมไปที่ใด
หนิงอี้มีคำตอบในใจ
เขาไม่เคยพบหน้ากับปรมาจารย์ค่ายกลท่านนั้น แต่ก็เท่ากับพบกันมาหลายครั้งแล้ว
ในสุสานของราชาหัวใจราชสีห์ เขาใช้วัตถุแห่งมหาสุริยะกวาดล้างค่ายกลสังหารยิ่งใหญ่ที่ปรมาจารย์ค่ายกลท่านนั้นวางไว้ ตอนนั้นหนิงอี้ก็รู้ได้ว่าราชาหัวใจราชสีห์แดนอุดรเมื่อสองพันปีก่อน เคยมีปรมาจารย์ค่ายกลที่สุดยอดคนหนึ่งติดตาม ส่วนปรมาจารย์ท่านนี้ก้าวมาที่ภูเขาแดง เงียบตลอดทาง แกะสลักอักษร ‘ข้าราชาดรรชนีกระบี่ ผู้ไร้เทียมทาน’ บนผนังหินนั้น…
หนิงอี้ที่รู้ชัยภูมิสุสานกับวิชาจุดแปลก ตอนที่เปิดค่ายกลก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคย
ค่ายกลมารดาบุตร
ปรมาจารย์ค่ายกลเมื่อสองพันปีก่อนนั้นไม่เหมือนตน ที่เริ่มจากทางนั้นของภูเขาแดงมาถึงสุสาน…ผนังหินที่แกะสลักคำพูดราชาหัวใจราชสีห์คือตำแหน่งสุดท้ายที่เขาออกไป มิน่าปรมาจารย์ท่านนั้นถึงวาดภาพเหมือนของผู้สูงศักดิ์สวรรค์มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ไว้บนผนังหินนั้นของสุสาน ที่แท้เขาก็ออกมาจากสุสาน พิสูจน์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ยันต์ในแท่นบวงสรวง บ้างผ่านมานานก็ยังเหมือนใหม่ แม้อายุจะมาก แต่ไม่ใช่แบบที่เก่าแก่ที่สุด
ปรมาจารย์ค่ายกลท่านนี้ไม่ได้ขยับดาบยาวราชสีห์ขาวในแท่นบวงสรวง และไม่ได้ลองดึงกระบี่โบราณทัณฑ์ล้ำเลิศของผู้สูงศักดิ์สวรรค์หญิง แต่หลังจากรู้ทุกอย่าง ใช้ยันต์ของตนเสริมความแกร่งของสุสานนี้ จากนั้นปิดปากดั่งขวดออกไปจากที่นี่
ความลับทุกอย่าง ไม่เอาไปแม้แต่บทเดียว ไม่เก็บไปแม้แต่ส่วนเดียว
เมื่อคิดได้ดังนั้นหนิงอี้ก็ปลงอยู่ในใจ
ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นใครกันถึงมีความสง่าของผู้สูงส่งเช่นนี้ ไม่ร้องขอชนรุ่นหลังให้เลื่อมใส ไม่ต้องละอายใจ จิตใจเปิดเผยตรงไปตรงมา
ทันใดนั้น หนิงอี้พลันมีสีหน้าแปลกขึ้นมาเล็กน้อย…ผู้ใต้บัญชาเก่าของราชาหัวใจราชสีห์เคยยึดครองภูเขาแดง ดังนั้นถึงได้มีผู้อาวุโสท่านนี้สวนทางผนังหินภูเขาแดง ข้ามสุสาน ผ่านจุดแปลก เชื่อมจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด เช่นนั้นตำแหน่งสุดท้ายที่จุดแปลกนี้จะพาตนไป…
หนิงอี้ตัวสั่นขึ้นมาทันควัน
พินิจเหมันต์ส่งเสียงร้องดัง
เดินบนหน้าผา
ลวดขาด
ดังนั้นหนิงอี้กับสวีชิงเยี่ยนจึงทรงตัวไม่ได้อีก
ตกลงไป
……
ในเส้นทางภูเขาแดงมืดครึ้ม
แสงสว่างของไข่มุกเชื่อมสวรรค์ไม่ได้สว่าง
เสียงของหลี่ไป๋จิงยังดังก้องในเส้นทางแคบ
“หากเสด็จพ่อไม่มีความหมายอื่น…เช่นนั้นไป๋จิงจะขอกลับไปทางเดิม”
บุรุษชุดคลุมสีดำมองบัลลังก์จักรพรรดินั้นเงียบๆ
นี่เป็นคำถามที่ไร้เสียง วางตรงหน้าเขา บัลลังก์จักรพรรดินั่นอยู่ตรงหน้าตน จะนั่งหรือไม่นั่งดี
หลี่ไป๋หลินให้คำตอบของเขาแล้ว
สำหรับบัลลังก์นี้ ตำแหน่งนี้…พวกเขามาภูเขาแดง มาถึงที่นี่ เห็นมังกรแท้ แต่หยุดเดิน
ในใจทุกคนล้วนมีระยะปลอดภัย
หลี่ไป๋หลินไม่ยอมเข้าไปใกล้อีกหน่อย
หลี่ไป๋จิงก็ไม่ยอม
ภายใต้สายตาของสองคน ไข่มุกเชื่อมสวรรค์เริ่มสั่นไหว
หลี่ไป๋จิงกับหลี่ไป๋หลินขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกัน ไม่ใช่แค่ไข่มุกเชื่อมสวรรค์ ผนังหินสองข้างซ้ายขวาก็เริ่มสั่นสะเทือน ทั้งเส้นทางภูเขาแดง…พูดให้ถูกคือทั้งภูเขาแดงเริ่มโคลงเคลง
“นี่มันอะไร”
หลี่ไป๋จิงขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างเย็นชา “ข้ารู้สึกว่ามีพลังปีศาจจำนวนมากกำลังตื่นขึ้น อีกทั้งยังเข้าใกล้มาทางนี้…สามกรมทำอะไร”
“เขตแดนภูเขาแดง เผ่าปีศาจบุพกาลเงียบสงบมาตลอด คงไม่บ้าอำนาจเกินไป ล่วงเกินต้าสุยก็เท่ากับรนหาที่ตาย” หลี่ไป๋จิงขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนพูดเสียงเบา “พวกมันวางมาดยิ่งใหญ่…อะไรดึงดูดพวกมันกัน”
ผนังหินโดยรอบมีแสงสว่างอ่อนมากไหลมารวมกัน
เหมือนหลอดเลือดของร่างกาย ลำเลียงเลือด
“ความเป็นเทพ…”
องค์ชายสามคุ้นเคยกับสิ่งนี้มาก เขาพลันมีสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา “นี่คือความเป็นเทพที่สั่งสมมาตลอดพันปีในภูเขาแดง ไม่อยากเชื่อว่าจะอยู่ใต้ดิน ตอนนี้กำลังไหลย้อนขึ้นไปรึ ความเป็นเทพทำให้เผ่าปีศาจบุพกาลคลุ้มคลั่งขึ้นมารึ”
หากมองลงมาจากบนยอดภูเขาแดงได้ เช่นนั้นจะรู้ว่าสิ่งที่หลี่ไป๋หลินพูด…ทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้อง สัตว์ปีศาจบุพกาลที่หลั่งไหลกันเข้ามา มองจากบนฟ้าสูงยิ่งก็เหมือนน้ำทะเลสาบ มากันเต็มไปหมด ล้อมรอบแสงสว่างความเป็นเทพจุดหนึ่งของเขตต้องห้ามภูเขาแดง
และตรงใจกลางสุดของความเป็นเทพมีวิญญาณที่หลับใหลมาพันปีตื่นขึ้นช้าๆ
เขาเคยเป็นเจ้าของเขตต้องห้าม
พำนักอยู่บนที่ราบสูงแห่งนี้ สัตว์ปีศาจจำนวนมากในเทือกเขา สายลมพัดฝนตก กาลเวลาชะล้าง ดื่มเลือดของเขา กินเนื้อของเขา ในหนังซ่อนกระดูกของเขาไว้ เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เช่นนั้นเลือดเนื้อและกระดูกก็จะกลับมาอีกครั้ง
สามกรมพบความผิดปกติ ไม่ใช่แค่เขตต้องห้ามภูเขาแดง ที่ราบสูงเทพสวรรค์ใกล้เคียง ทุ่งหญ้ากว้างหลายร้อยลี้ สัตว์ปีศาจบุพกาลทั้งหมดโดยรอบมุ่งหน้าไปภูเขาแดง
กลุ่มเล็กอักษรทมิฬกรมปราบปีศาจที่ข้ามผ่านกลางหุบเขาไปอย่างยากลำบากขึ้นถึงบนเขา สตรีสาวเกราะแดงปักดาบคู่ไว้บนสุดหน้าผา นางยืนบนยอดเขา มองสัตว์ปีศาจดุจน้ำหลากข้างล่าง เงียบไม่พูดไม่จา นำป้ายคำสั่งสีฟ้าสดอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอว
ในป้ายคำสั่งนั้นเป็นเสียงคล่องแคล่วของคุณชาย
“จูซา กลับเถอะ”
สตรีนามจูซาถอนหายใจเบา เดาได้ว่าคุณชายก็รู้ว่าตอนนี้ภูเขาแดงวุ่นวายเพียงใด อย่าว่าแต่ด้วยกำลังของทหารม้าเหล็กอักษรทมิฬกลุ่มนี้เลย ต่อให้เป็นทหารม้าเหล็กอักษรสวรรค์ที่แกร่งที่สุดของกรมปราบปีศาจ เกรงว่าคงยากจะหลีกเลี่ยงเส้นทางเบียดเข้าไปในภูเขาแดงได้
นอกภูเขาแดงเป็นคลื่นสัตว์ร้าย
ในภูเขาแดง เงียบสงบ
องค์ชายต้าสุยสององค์เหมือนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้างนอกมีกระแสสัตว์ร้าย ที่นี่ผนึกแสงดารา ยันต์เคลื่อนย้ายกับค่ายกลทั้งหมดไม่ได้ผล
พวกเขาจะออกจากภูเขาแดง…นอกจากกลับทางเดิมแล้วก็เหลือวิธีเดียว
ข้างหลังบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้เชื่อมจุดแปลกที่ออกจากภูเขาแดง หลังจากราชาหัวใจราชสีห์แดนอุดรฝ่าถึงเขตต้องห้ามภูเขาแดง สุดทางของที่นี่ได้วางเส้นทางปลอดภัยไว้ หลังจากนั่งบัลลังก์ ภูเขาแดงจะเปิดออก
แน่นอนว่ายังมีอีกวิธี ทำลายบัลลังก์จักรพรรดิ บัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ที่แท้จริงไม่มีทางวางอยู่ภูเขาแดง ร้อยปีพันปีก่อนก็มีช่องทางแล้ว…ทำลายสิ่งที่ขวางทางออก ย่อมออกไปได้
ดังนั้นสององค์ชายจึงเงียบลงจริงๆ
ความคลุ้มคลั่งข้างนอกส่งมาในภูเขาแดงทีละนิด เศษหินแตกมากขึ้นเรื่อยๆ
สององค์ชายจ้องบัลลังก์จักรพรรดินั้นด้วยความสับสนและจนปัญญา
ใครบ้างไม่คิดจะนั่ง
ตอนนี้เอง บนฟ้าเส้นทางภูเขาแดง ผนังหินถล่ม มีสองร่างเงาตกลงมา
เด็กหนุ่มที่เก็บร่มกระดาษมันกอดแม่นางหน้าตางดงามเป็นเลิศไว้ ตกลงในเส้นทาง
ใต้ไข่มุกเชื่อมสวรรค์
ดวงตาแปดดวงมองกัน
เด็กหนุ่มที่ตกลงบนบางสิ่งได้กลิ่นหอมสดชื่นตรงอก ใจนึกทางออกเช่นนี้ไม่ถือว่าแย่ อย่างน้อยตนก็ยังมีเก้าอี้นั่ง…และสองคนนั้นที่ยืนตรงหน้าตน ก็เป็นคนรู้จักที่คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วจริงๆ
สองคนมีสีหน้าปั้นยากยิ่ง โดยเฉพาะหลี่ไป๋หลิน
แต่หนิงอี้คิดว่าสองคนอยู่ด้วยกันเช่นนี้…องค์ชายหนุ่มของแห่งราชวงศ์มองตนด้วยสีหน้าที่ไม่ดีมาตลอด มิหนำซ้ำตนยังกอดเด็กสาวของหลี่ไป๋หลิน
เวลานี้เขาไม่ได้คิดว่าตนนั่งบนอะไร เป็นของแบบใด
หนิงอี้ที่กอดเด็กสาวงามเปลี่ยนท่า กางร่มกระดาษมันช้าๆ ฝุ่นละอองถูกใบร่มดีดออก
เทียบกับสององค์ชายนั่นแล้ว
หนิงอี้ที่นั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้เหมือนจักรพรรดิหนุ่มมากกว่า
มองคนรู้จักเก่าสองคนของตนจากเบื้องบน
หนิงอี้พูดปลงเสียงเบา “ไม่ได้เจอกันนาน คิดถึง”
………………………