ณ ใจกลางเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ในเวลานี้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจำนวนมากต่างรีบกรูกันออกมา จุดประสงค์ของพวกเขาไม่ใช่การขับไล่ปีศาจที่อยู่นอกเมือง แต่กลับเป็นการล้อมจวนตระกูลจูเก่อเอาไว้ ทุกคนล้วนแต่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีขาว และถือกระบี่เล่มยาวเอาไว้ในมือ
หนีเฟิ่งยืนอยู่ที่ด้านหน้าของกลุ่มผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกลุ่มนั้นพร้อมกับมองประตูเหล็กของจวนตระกูลจูเก่อที่ปิดสนิทจากหลังผ้าคลุม
นางปรายตามองลูกศิษย์ของตระกูลหนีที่อยู่ข้างกาย
ลูกศิษย์คนนั้นไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวตอนที่พาตัวฮูหยินจูเก่อมาที่นี่ แต่ตอนนี้เขากลับตะโกนขึ้นว่า ”จูเก่ออวิ๋น เป็นเพราะเจ้า ฮูหยินจูเก่อจึงได้นำความปลอดภัยของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งเมืองมาเสี่ยง เจ้าจะซ่อนตัวอยู่แต่ในจวนตระกูลจูเก่อเหมือนคนขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้จริงหรือ”
ฮูหยินจูเก่อรู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นการกระทำของหนีเฟิ่ง ดังนั้นนางจึงเงียบ และยืนนิ่งด้วยดวงตาปราศจากความอบอุ่น
แต่หนีเฟิ่งกลับสุภาพอย่างมาก นางมองลูกศิษย์ของตระกูลหนีด้วยสายตาตำหนิพลางเอ่ยว่า ”คราวหน้าอย่าได้พูดเช่นนี้อีก” จากนั้นนางจึงหันไปมองฮูหยินจูเก่ออีกครั้ง ”ท่านป้าเจ้าคะ น้องอวิ๋นถูกวิญญาณร้ายควบคุมอยู่ ข้าต้องจับกุมตัวเขา ไม่อย่างนั้นจะถือว่าข้าไม่มีความรับผิดชอบต่อคนของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ข้ารู้ว่าท่านคงจะตำหนิข้าในเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ สถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าจึงไม่สามารถลังเลได้อีกต่อไป ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
นางพูดเช่นนั้นไม่ใช่เพื่อให้ฮูหยินจูเก่อฟัง แต่เพื่อให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ติดตามอยู่ด้านหลังของนางได้ยิน
เรื่องวันนี้จะต้องจบลงด้วยการหลั่งเลือด
หลังจากนี้ทันทีที่จูเก่ออวิ๋นและพรรคพวกออกมา พวกเขาต้องคิดที่จะเปิดเผยความลับของนางอย่างแน่นอน
หากนางไม่พูดอะไรสักอย่างไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงเวลานั้น คนพวกนี้ย่อมรู้สึกสงสัยในตัวนางอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตราบใดที่นางสามารถทำให้ทุกคนคิดว่าจูเก่ออวิ๋นถูกวิญญาณร้ายสิงอยู่ และนางทำทุกอย่างนี้เพื่อปกป้องเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้ละก็
ต่อให้พวกจูเก่ออวิ๋นจะหาโอกาสพูดได้ แต่ก็จะไม่มีใครเชื่อพวกเขา
เพราะในความคิดของทุกคน มันย่อมเป็นเพียงแค่การยุยงปลุกปั่นจากวิญญาณร้ายเท่านั้น
ถึงแม้ว่าบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเหล่านี้จะไม่คิดเช่นนั้น แต่นางก็จะพูดจาหว่านล้อมให้พวกเขาคิดเช่นนั้น
ถ้านางไม่หาทางกำจัดทุกคนที่เข้าไปในสุสานหลวง ก็มีโอกาสที่ความลับของนางจะรั่วไหลออกไปได้
ดังนั้น จูเก่ออวิ๋นและพรรคพวกของเขาต้องตายสถานเดียว!
เมื่อหนีเฟิ่งคิดได้ดังนี้ ดวงตาของนางก็หรี่ลง แล้วจงใจลดสถานะของตัวเองลง ”ท่านป้าไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ตราบใดที่น้องอวิ๋นไม่ได้ทำอะไรล้ำเส้น ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ด้วยดีเจ้าค่ะ”
เป็นอย่างที่หนีเฟิ่งคาดการณ์ไว้ ทุกๆ คนต่างให้การสนับสนุนนางมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของหนีเฟิ่ง ”เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับตระกูลจูเก่อให้มากนักหรอก นางคงลืมหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายในสี่ตระกูลใหญ่ไปหมดแล้ว ดังนั้นเจ้าคิดจะทำอะไรก็ลงมือทำได้เลย พวกข้าจะสนับสนุนเจ้าเอง”
”ใช่แล้ว” ผู้อาวุโสจากอีกตระกูลเอ่ยขึ้น เขามองไปที่ฮูหยินจูเก่อ แล้วส่ายหน้า ”ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตระกูลจูเก่อจะกลายเป็นอย่างนี้ได้ หากบรรดาพี่น้องตระกูลจูเก่อยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาย่อมไม่มีวันปล่อยให้มีปีศาจหลบซ่อนตัวอยู่ในตระกูลแน่ ในเมื่อเขาถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง เช่นนั้นพวกเราก็ต้องจัดการมันให้เร็วที่สุด นางเอาชีวิตของคนทั้งเมืองมาเสี่ยง นางจะเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้อย่างไร!”
ฮูหยินจูเก่อไม่ได้แก้ตัวต่อคำพูดของทุกคน
ที่ด้านในของจวนตระกูลจูเก่อ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหลายคนกำลังพยายามดึงจูเก่ออวิ๋นเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาออกไปข้างนอก
”อาอวิ๋น เจ้าจะออกไปไม่ได้นะ!”
”ใช่แล้วขอรับนายน้อย ฮูหยินสั่งพวกเราไว้ก่อนนางออกไปว่าต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น ท่านก็ห้ามออกไปขอรับ!”
”จูเก่ออวิ๋น เจ้าลืมสิ่งที่แม่นางเว่ยพูดเอาไว้ก่อนออกไปแล้วหรือ พยายามยื้อเวลาไว้ให้มากที่สุด อย่าให้หนีเฟิ่งสังเกตเห็นอะไรได้!”
จูเก่ออวิ๋นกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ดวงตาของเขาแดงก่ำ ”พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปคนเดียว! ข้าทนนั่งอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้คนพวกนี้พูดจาดูถูกท่านแม่ของข้า และชื่อเสียงของตระกูลจูเก่อที่สั่งสมมาตลอดหลายชั่วคนเช่นนี้ไม่ได้หรอก!”
”แต่เจ้าออกไปแล้วจะทำอะไรได้ เจ้าก็ได้ยินกับหูตัวเองแล้วมิใช่หรือว่าตอนนี้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั่วทั้งเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอยู่ฝั่งเดียวกับหนีเฟิ่ง พวกเขาเชื่อทุกสิ่งที่นางพูด ต่อให้เจ้าออกไป เจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ตอนนี้ได้” ใครคนหนึ่งขึ้นเสียงใส่จูเก่ออวิ๋น พร้อมกับเพิ่มแรงนิ้วที่กดไหล่ของเขา ”หนีเฟิ่งเป็นคนเจ้าเล่ห์อย่างมาก พวกเราถูกนางหลอกตอนที่อยู่ในสุสานหลวง ถ้าไม่ใช่เพราะแม่นางเว่ย พวกเราคงไม่มีทางรู้ว่านางกล้าดีถึงขั้นปลอมเป็นหงส์เพลิงกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ ถ้าเจ้าออกไปตอนนี้ เราไม่รู้เลยว่านางจะใช้อุบายอะไรมาจัดการกับเจ้าอีก”
ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นเป็นสีดำสนิท และดูดุร้ายยิ่งนัก ”ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ข้าก็ปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจไม่ได้ ต่อให้การออกไปข้างนอกนั่นจะเท่ากับการเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย แต่ข้าก็จะฉีกหน้ากากอันเสแสร้งของนาง และให้ทุกคนได้เห็นว่านางเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่!”
”จูเก่ออวิ๋น!” ในไม่ช้าบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่สามารถห้ามเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มระหว่างที่เขาเดินออกจากประตูไปพร้อมกับกัดฟันแน่น ”รอเดี๋ยวก่อน พวกข้าจะไปกับเจ้าด้วย!”
พวกเขาเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมานานจนหลงลืมไปเสียแล้วว่าสมัยยังหนุ่มนั้น พวกเขาเคยให้สัญญากับบิดาของตัวเองเอาไว้ว่าพวกเขาจะผดุงความยุติธรรมและต่อสู้กับความชั่วร้าย
ไม่รู้ว่าเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อใด ทุกอย่างไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกต่อไป
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่แต่ละตระกูลเคยมีร่วมกัน มาเวลานี้กลับแปรเปลี่ยนไปเป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจ
แม้จะเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่คุ้นเคยกับศาสตร์การขับไล่วิญญาณร้าย แต่พวกเขากลับเอาแต่คิดว่าจะหาหนทางในการรักษาผลประโยชน์ของตระกูลให้ดีที่สุดได้อย่างไร
แต่ตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พวกเขาได้แรงผลักดันอันแสนบริสุทธิ์นั้นคืนมา
พวกเขาจะทำลายกฎเกณฑ์นิรนามพวกนี้ และทำให้ทุกคนได้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แล้วกลายเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ต่อสู้กับความชั่วร้ายอย่างแท้จริง!
โครม!
ใครคนหนึ่งใช้มือผลักประตูเปิดออกอย่างแรง!
จูเก่ออวิ๋นยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับประสานสายตากับหนีเฟิ่งโดยตรง ในน้ำเสียงของเขามีความเย็นชาปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ”หนีเฟิ่ง เจ้ากำลังหาตัวข้าอยู่หรือ ตอนนี้ข้าออกมาแล้ว ปล่อยท่านแม่ของข้าไปซะ!”
หนีเฟิ่งดูประหลาดใจกับการปรากฏตัวของเขา นางจงใจยกมือขึ้นแตะหน้าอกตัวเองขณะส่งเสียงไอออกมาด้วยท่าทางอ่อนแอสองครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า ”น้องอวิ๋นถูกวิญญาณร้ายสิงอยู่จริงๆ ไม่อย่างนั้นปราณแห่งความเคียดแค้นที่เขามีต่อข้าคงไม่รุนแรงถึงเพียงนี้ ท่านป้า ที่ท่านไม่พูดอะไรและซ่อนน้องอวิ๋นไว้ในจวนตระกูลจูเก่อก็เพราะเหตุนี้หรือเจ้าคะ โชคร้ายจริงๆ ที่ความก้าวร้าวของเขานั้นกลับสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งนัก ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็อยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้แน่”
”พอได้แล้ว!” เสียงหลายเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลังของจูเก่ออวิ๋น บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เคยเข้าไปในสุสานหลวงยืนเรียงแถวอยู่ที่หน้าทางเข้าจวนตระกูลจูเก่อ พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีขาวของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายและกำลังจ้องมองหนีเฟิ่งด้วยสายตาเย็นชา ”พวกข้ายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าด้วยสติสมบูรณ์ทุกประการ แต่เจ้ากลับยืนกรานว่าพวกข้าถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง เจ้าก็แค่กลัวล่ะสิว่าพวกข้าจะเปิดโปงความลับของเจ้าออกมา หนีเฟิ่ง เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งเมืองอยู่ในกำมือของเจ้า”
ทันทีที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ เดินออกมา หนีเฟิ่งก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย นางกลัวว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แต่เมื่อนางมองไปรอบๆ และไม่เห็นแม้แต่เงาของหงส์เพลิง นางจึงหัวเราะอยู่ในใจ
นางคิดว่าอีกฝ่ายกล้าสู้กับนางเพราะพวกเขามีไพ่ตายซ่อนอยู่ แต่ความจริงแล้วมันกลับไม่มีอะไรเลย พวกเขาเป็นเพียงแค่คนโง่เขล่ากลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ในเมื่อนางสามารถเป่าหูผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้ แน่นอนว่านางย่อมเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์นี้เอาไว้แล้ว!