คนต่างถิ่นในร่างของเด็กหญิงพยายามเติบโตให้เร็วขึ้นเพื่อสำรวจหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกใหม่ ทั้งการฝึกพูด การฝืนเดินด้วยสองขา และการหมั่นหยิบจับสิ่งของ
ทั้งหมดนี่เธอแค่เคยได้ยินผ่านหูในชาติก่อนเท่านั้นว่ามีผลต่อการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ดี แต่ก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าทารกน้อยจะมีพัฒนาการจนพอช่วยเหลือตัวเองได้
“อินิคาร์ ลูกซนเหลือเกิน” คนเป็นแม่หัวเราะเบาๆ เมื่อเจ้าตัวน้อยยกเก้าอี้ขึ้นมาปีนดูการทำอาหาร “เพิ่งสี่ขวบแท้ๆ”
ผู้ฟังเพียงกะพริบตาปริบๆ ก่อนหันมองรอบบ้าน
บ้านหลังนี้เหลือสมาชิกแค่สองคน
แม้จะยังไม่ชัดเจนแต่มารดาเลี้ยงเธอเหมือนเป็นลูกชาย หลักฐานคือการให้เธอสืบทอดชื่อมาจากผู้ล่วงลับ… ผลข้างเคียงจากเหตุการณ์ในโบสถ์นั่นสร้างบาดแผลทางใจจนอีกฝ่ายไม่อาจยอมรับความจริงและใช้ลูกสาวเป็นดั่งตัวแทน
มันไม่ดีกับเธอแน่ แต่ก็ไม่มีทางเลือกในชีวิตไปมากกว่าพึ่งพามารดาคนนี้เช่นกัน
ที่นี่คือต่างถิ่น โลกซึ่งเธอไม่เคยรู้จัก รวมถึงไม่อาจทราบอันตรายภายนอกจนกว่าจะได้เรียนหนังสือและเข้าใจสภาพแวดล้อมชัดเจน
ตอนนี้ใครคือมิตรและใครคือศัตรูนั้นยากแยกแยะ ดังนั้นจนกว่าจะแน่ชัดว่าควรทำอย่างไรมีแต่ต้องฝืนดู
ก็แค่ละทิ้งความงามที่ตัวเองชื่นชมมาตลอด ละทิ้งศักดิ์ศรีของผู้เคยยืนเหนือใคร ละทิ้งความสะดวกสบายทั้งหมดเพื่ออยู่รอดกลับไป
เพราะเธอจะไม่ยอมตายที่โลกนี้อีกเป็นอันขาด
“แม่ อินิคาร์อยากเรียนหนังสือแล้ว” เด็กหญิงกลั้นใจพูดชื่อตัวเองเพื่อยอมรับบทบาทในปัจจุบัน
เจ้าของบ้านซึ่งต้มซุปเสร็จพอดีนั้นหันมาสนทนาอย่างเศร้าสร้อย “แม่เองก็อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ แต่ด้วยฐานะของพวกเราอย่างมากคงพอจ้างครูพิเศษได้แค่ปีเดียว”
อินิคาร์ขมวดคิ้วหนัก สมบัติครอบครัวในตอนนี้มีเพียงเงินเก็บจากอดีต ช่วงที่บิดาเคยค้าขายรุ่งเรืองเท่านั้น แถมมีแต่จะร่อยหรอลงไปทุกวัน
ไม่สิ เดี๋ยวก่อน… ต่อให้โลกนี้มันด้อยพัฒนาแค่ไหนอย่างน้อยก็ควรมีการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เด็กสักหน่อยไม่ใช่รึไง อย่างครูประจำหมู่บ้านหรืออะไรแบบนั้นน่ะ มันล้าหลังยิ่งกว่าที่คิดอีกเหรอ
“ถ้าอย่างนั้นเราไปขอเรียนพร้อมกับเด็กคนอื่น…”
“ไม่ได้หรอก” มารดาตัดบททันที “แม่ไม่ยอมให้พวกนั้นมาดูถูกเราอีกแน่… ลูกเป็นผู้ถูกเลือกจากเทพธิดาเชียวนะ อินิคาร์ จะให้ไปเรียนกับเด็กทั่วไปได้ยังไง”
เด็กหญิงอ้าปากค้าง อยากสบถคำหยาบคายใส่หน้าคนพูดแต่พยายามยั้งตัวเองไว้
ขนาดเธอที่ติดหรูอยู่สบายมาทั้งชีวิตยังตาสว่างกว่ายัยป้านี่อีกนะ! สถานการณ์ตอนนี้มันใช่เวลามาหยิ่งหรือไง เงินก็ไม่หา เรียนก็ไม่ได้ เดิมทีหายนะของบ้านนี้น่ะมาจากการที่คนแม่อยากได้อะไรเกินตัวจนต้องเสียทั้งพ่อและพี่ชายไปแท้ๆ จะยังตกต่ำยิ่งกว่านี้อีกเหรอ!?
เธอไม่เอาด้วยแน่ ต่อให้ต้องล้มลุกคลุกคลานก็ต้องกลับไปโลกเดิมให้ได้ เพราะที่นี่มันคือนรก!
“จริงสิ พวกเราเคยติดต่อค้าขายกับสมาคมการค้ากุนกุน” ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นมาพลางตักซุปใส่ภาชนะ “ถ้าส่งจดหมายไปขอให้ช่วยอาจจะพอมีเมตตาบ้างก็ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดคล้ายเริ่มคลำหาหนทางอินิคาร์จึงยอมกลับไปนั่งกินอาหารบนโต๊ะอย่างสงบ
ส่วนหนึ่งเธอไม่อยากทะเลาะกับแม่จนแตกหัก ไม่อย่างนั้นคงเสียสถานที่ปลอดภัยในโลกนี้ไปก่อนได้รู้สภาพแวดล้อมแท้จริง
…ไม่นานการติดต่อกับสมาคมการค้ากุนกุนอะไรนั่นก็สัมฤทธิผล
พวกเขาเสนอข้อแลกเปลี่ยนหนึ่งให้ครอบครัวเธอ คือการมอบบ้านและสินค้าเก่าที่บิดาเคยสะสมไว้ให้สมาคม แล้วฝั่งสมาคมจะเขียนจดหมายแนะนำบุตรชายให้ขุนนางเมืองหลวงรับไปเลี้ยงดู
ถึงจะดูขาดทุนด้านการเงินอยู่บ้างแต่ก็คุ้มค่าในการอยู่รอด เพราะพวกเขาจะรับตัวมารดาเข้าช่วยงานในสมาคมด้วย ทำให้สามารถไปมาหาสู่กับอินิคาร์ได้อย่างน้อยเดือนละหน
ครอบครัวเธอตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
ในใจผู้เป็นแม่ยังคงทะเยอทะยานจนยอมแลกสมบัติที่มีเพื่อให้บุตรชายได้เฉิดฉาย และอีกด้านหนึ่งคงไม่อยากเห็นบ้านหลังนั้นอีกต่อไป…
ความทรงจำดีๆ นั้นทรงคุณค่า แต่หากเสียดแทงเจียนตายเมื่อรู้ว่าไม่มีวันได้หวนกลับคืนมาเพราะความอยุติธรรม
ด้วยเหตุนั้นครอบครัวของอินิคาร์จึงใช้เวลาสักระยะเพื่อจัดการทรัพย์สินแลกเปลี่ยนให้เรียบร้อย
เด็กหญิงเข้าสู่เมืองหลวงและแยกกับมารดา มุ่งสู่คฤหาสน์หลังหนึ่งของขุนนางระดับล่างด้วยความช่วยเหลือของสมาคมการค้ากุนกุน… เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นขุนนางระดับสูงอยู่แล้ว เพราะสิ่งแลกเปลี่ยนไม่ได้สูงค่าสำหรับเศรษฐีอย่างพวกสมาคมการค้า
การพยายามเอาชีวิตรอดทำให้เด็กหญิงเริ่มคิดละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นเวลาตัดสินใจทำอะไร และหยุดเพ้อฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เพราะนี่ไม่ใช่ชาติก่อนในโลกเก่าอันแสนสุขสบายอีกแล้ว…
รถม้าของสมาคมหมุนล้อมาหยุดหน้ารั้วจนนิ่งสนิท สารถีจึงค่อยเปิดประตูให้เด็กหญิงผู้แต่งกายเป็นเพศชายก้าวลงมา พร้อมกระเป๋าหนังใบเล็กซึ่งดูเก่าเขรอะไปสักหน่อย
รั้วไม้ถูกดึงเข้าด้านหนึ่ง คนใช้ข้างในเผยเส้นทางเพื่อต้อนรับแขกคนใหม่สู่คฤหาสน์สีขาวสะอาดตา
“เธอสินะ เด็กที่เทพธิดามอบเวทมนตร์ให้” เด็กผู้หญิงผมบลอนด์ซึ่งดูมีอายุไล่เลี่ยกันกับอินิคาร์เป็นฝ่ายยืนรออยู่หน้าทางเข้าอาคาร ชุดกระโปรงฟูฟ่องขยับพลิ้วตามการวิ่งเข้าใกล้ “หน้าตาน่ารักชะมัด โตไปคงเป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานมัดใจสาวๆ ในเกมแน่!”
“หนุ่มน้อยหน้าหวาน? เกม…?” ผู้มาเยือนถอยหลังก้าวหนึ่งเมื่อถูกประชิดตัว เธอจัดแจงเสื้อกั๊กสีเข้มตัวนอกให้เรียบและรีบเอ่ยแนะนำตัว “ผมชื่ออินิคาร์”
“เธอเป็นคนขี้อายหรือบุคลิกเย็นชากันนะ… ฉันนึกว่าจะมาแนวหนุ่มน้อยร่าเริงสดใสเหมือนน้องชาย แต่แบบนี้ก็น่ารักเหมือนกัน!” อีกฝ่ายพูดกับตัวเองและจับจีบกระโปรงเนื้อดีอันระบุฐานะชัดเจนไว้ “ฉันชื่อนัฟ ยินดีที่ได้รู้จัก”
การที่พูดจาฉะฉานเกินวัย แถมยังกล่าวถึงเกมอะไรสักอย่างซึ่งโลกนี้ไม่น่าจะมีอยู่ได้ เด็กหญิงตรงหน้าเธอย่อมเป็นผู้มาจากต่างโลก…
มันจะเจอง่ายเกินไปหรือเปล่า
โลกนี้ดึงดูดคนต่างถิ่นมาเยอะแค่ไหนกัน ทั้งจากการอัญเชิญและการเกิดใหม่ ไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง
“นัฟ” อินิคาร์เรียกอีกฝ่ายห้วนๆ แต่เหลือบเห็นสายตาของคนรับใช้ด้านหลังมองไม่ค่อยดีนักเธอจึงชะงัก “ขอบคุณที่รับผมเข้ามาอยู่ที่นี่… ผมจะพยายาม… ทำตัวให้… ฮึ่ม…”
ความสุภาพอ่อนน้อมขัดกับนิสัยเดิมของเธอเป็นอย่างมาก จะให้เห็นหัวคนอื่นสูงกว่าตัวเองมันยากเหลือเกิน แถมพ่วงด้วยการต้องปลอมเป็นผู้ชายให้แนบเนียนอีกต่างหาก ดังนั้นการพยายามแสดงออกครั้งแรกจึงออกมาสะเปะสะปะจนดูไม่ได้
“เธอเพิ่งมาที่นี่คงไม่ชินสินะ พี่สาวจะช่วยให้ค่อยๆ ปรับตัวได้เอง” ความสดใสของบุตรีขุนนางสร้างบรรยากาศอันดีขึ้น อย่างน้อยคนรับใช้ก็เริ่มมองเธอเป็นเด็กคนหนึ่งที่ต้องลองพาไปปรับปรุงพฤติกรรมดูก่อน
ใช่แล้ว จะแสดงท่าทีไม่เหมาะสมบ้างก็เป็นแค่เด็กที่ยังไม่ได้รับการอบรม คงรอดตัวได้ด้วยข้ออ้างนี้ไปอีกสักพัก…
นัฟพาเด็กหญิงในคราบเด็กชายเข้าคฤหาสน์ไปถึงห้องรับรอง ซึ่งมีผู้ที่ดูเหมือนเจ้าบ้านนั่งรออยู่บนเก้าอี้ข้างเตาผิง
กระเป๋าเก่าเขรอะถูกสาวใช้รับไปถือไว้ให้ ส่วนผู้มาใหม่ต้องยืนเผชิญหน้ากับความอึมครึมและแสงไฟไหววูบโดยไม่อาจร่วมโต๊ะด้วย
“เธอชื่ออินิคาร์สินะ” บุรุษวัยกลางคนรูปร่างสมส่วนถือจดหมายค้างไว้ก่อนจะเลื่อนมันออกจากสายตาเพื่อพินิจมองแขกอย่างละเอียด “ได้รับเวทมนตร์จากเทพธิดาตั้งแต่วันตั้งชื่อ คงเป็นสามัญชนที่พิเศษน่าดู”
น้ำเสียงของเขาเนิบนาบเหมือนกำลังประเมินไปด้วยขณะพูด
“ผมไม่ได้พิเศษขนาดนั้นหรอกครับ…” อินิคาร์ตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ครั้งนี้เธอไม่ได้ฝืนทำตัวเป็นผู้น้อย แต่กล่าวจากใจจริง
หน้าต่างสถานะซึ่งปรากฏขึ้นเมื่อสัมผัสลูกแก้วนั้นหายไปแล้ว แทบจะไม่มีผลอะไรในการใช้ชีวิต กลับกันมันเหมือนคำสาปมากกว่า
คำสาปที่ทำให้มารดาในชาตินี้คาดหวังและยัดเยียดบทบาทของพี่ชายให้จนกลายเป็นเพียงตัวแทน
“โต้ตอบได้ฉลาดเกินวัยสมกับเป็นผู้ถูกเลือก… เธอรู้หรือเปล่า ว่านอกจากสาวกระดับสูงแล้ว มีแต่ขุนนางกับเชื้อพระวงศ์ที่จะได้รับเวทมนตร์” ประโยคของเจ้าบ้านสะกิดให้คู่สนทนาหันมองเด็กหญิงผมบลอนด์บนเก้าอี้อีกฝั่ง “ไม่… ยังไม่ใช่อย่างนั้น… เธอคงไม่รู้เรื่องนี้สินะ ขุนนางทุกคนจะได้รับพลังตอนเข้าโรงเรียนเวทมนตร์เท่านั้น”
ดวงตาสีดำประกายฟ้าของอินิคาร์เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
นัฟยังไม่ได้สัมผัสลูกแก้ว… และชะตาของผู้มาจากต่างโลกจะถูกตัดสินในอีกหลายปีข้างหน้า
“ตอนนี้เธอจึงเป็นคนพิเศษ เพราะถูกเลือกก่อนลูกหลานขุนนางที่มีอายุไล่เลี่ยกันเสียอีก… ดังนั้นตอนสมาคมการค้ากุนกุนส่งจดหมายมาหา ข้าเลยชั่งใจอยู่นานทีเดียวว่าจะขายสิ่งนี้ให้ตระกูลอื่นดีหรือเปล่า” เขาชูกระดาษในมือขึ้นเล็กน้อย “แต่นัฟบอกว่าอยากเจอเธอ อินิคาร์ เธอจึงได้มายืนอยู่ตรงหน้านี้”
เสียงไม้แตกดังขึ้นเบาๆ ระหว่างที่เตาผิงยังคงส่องสว่างในความมืด
“ทำไมถึงคิดจะขายจดหมายกันครับ” อินิคาร์เม้มริมฝีปากและกำมือข้างลำตัวแน่นขึ้น
คำพูดของอีกฝ่ายเหมือนกำหนดชะตาชีวิตเธอได้ทุกเมื่อ เขาจงใจพูดแบบนั้น… จงใจบอกให้รู้ว่านี่คือบุญคุณที่ต้องตอบแทน
“ข้าไม่ใช่ขุนนางตำแหน่งใหญ่… อิทธิพลปัจจุบันคือการติดต่อค้าขายกับสมาคมการค้าหลายแห่ง อำนาจของข้าคือเงิน… และรู้หรือเปล่าว่ามูลค่าของจดหมายนี่คืออะไร” เขาวางซองกระดาษลงบนโต๊ะ
“การสานสัมพันธ์กับสมาคมการค้ากุนกุน…?” อินิคาร์สุ่มตอบดู
“เธอยังอ่อนต่อโลกเกินไป เด็กน้อย…” บุรุษผมบลอนด์ในชุดสูทยิ้มบาง “มูลค่าของมันคือเธอ”
เมื่อผู้ซึ่งถูกเข้าใจเป็นเด็กชายหน้าหวานเผยสีหน้างุนงงอีกฝ่ายจึงต่อประโยคที่กล่าวค้างไว้
“สามัญชนที่จะได้เข้าโรงเรียนเวทมนตร์อย่างแน่นอน… แต่เธอในตอนนี้คงจะไม่เข้าใจกระมัง” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผายมือให้นั่งลง “อย่างไรข้าก็ไม่ได้ขายมันออกไป และเจ้าก็มาอยู่ตรงนี้เพราะนัฟ ต่อจากนี้จงตั้งใจเรียน ช่วยเหลือบุตรสาวของข้าทุกอย่าง รวมถึงระลึกไว้เสมอว่าเจ้าเป็นเพียงผู้ติดตาม”
อินิคาร์สั่นสะเทือนไปถึงหัวใจ
นี่คือคนเป็นพ่องั้นสินะ… ทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกสาว เหมือนกับพ่อของเธอในชาติที่แล้ว
มองในมุมนี้เธอก็เริ่มเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายทั้งหมด ไม่มีใครรู้ความจริงเรื่องเพศของเธอ ดังนั้นเขาจึงระแวงและปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้ในใจเด็กชายตั้งแต่แรกพบ
เมล็ดพันธุ์ที่กดให้ต่ำลง ให้สำนึกในพระคุณ ซึ่งมันจะเป็นการห้ามเขาแตะต้องบุตรสาวไปในตัวเพราะไม่อาจคิดเอื้อมถึง
น่าเสียดายว่าเธอไม่สนใจตั้งแต่แรก
บทสนทนาจบลงแล้ว คล้ายความมืดถูกปัดเป่าให้สว่าง
อินิคาร์ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นมากขึ้นหลังผ่านการประเมินของเจ้าบ้าน ทว่าความคิดในหัวเธอวนเวียนอยู่กับประโยคเสียงทุ้มต่ำนั่นมากกว่าจะมองเด็กผู้หญิงข้างๆ
สมาคมการค้ากุนกุนส่งจดหมายถึงขุนนางคนนี้เพราะทำการค้าด้วยกันมานาน หากผู้รับเลือกจะขายต่อให้กับขุนนางอื่นก็ดูจะไม่ขัดต่อข้อตกลง บางทีอาจรับเงินส่วนแบ่งในการขายจดหมายต่อเสียด้วยซ้ำ
ที่ร้ายที่สุดคือสมาคมการค้ากุนกุนต่างหาก… ได้ทั้งบ้าน สมบัติเก่าของพ่อ คนงานใหม่ซึ่งไม่อาจทรยศเพราะผูกมัดไว้ด้วยบุตรชาย และเกือบจะได้ขายเธออีกต่อด้วย… ชวนขนลุกชะมัด
ใช่ว่าเด็กหญิงไม่เข้าใจคำพูดของตาลุงเจ้าของคฤหาสน์ พอลองคิดกลับไปกลับมาดูแล้ว มูลค่าของสามัญชนผู้ได้รับพลังก็คือสิทธิ์การเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ สามารถช่วยโกงคะแนนการสอบของบุตรหลาน ใส่ร้ายตระกูลที่บาดหมางกัน ทำเรื่องชั่วมากมายหรืออาจไปไกลถึงขั้นสามารถฆ่าว่าที่ขุนนางคนต่อไปได้
และเมื่อถูกจับได้พวกเขาเพียงหาเรื่องบอกปัดว่าไม่มีส่วนรู้เห็นก็จะลดโทษซึ่งต้องได้รับลงไปหลายขั้น เพราะเธอเป็นเพียงสามัญชนเนรคุณที่ไม่ได้มีสายเลือดขุนนางแม้แต่เสี้ยวหนึ่ง
พูดให้ถูกก็คือ ตำแหน่งตัวเบี้ยอันใช้แล้วทิ้งได้อย่างอิสระ
การจะอยู่รอดได้ต้องตามเล่ห์เหลี่ยมคนพวกนี้อีกกี่ชั้นกันนะ…
อย่างน้อยข้อมูลใหม่ที่รู้มาเพิ่มก็คือ โลกนี้มีการเมืองในหมู่ขุนนางมากทีเดียว เธอต้องจับสถานที่ใหม่ไว้ให้มั่นก่อน อย่าให้ความลับรั่วไหลเด็ดขาด ไม่ว่าจะเรื่องที่มาจากต่างโลกหรือเรื่องที่เป็นผู้หญิง
ยัยเด็กนัฟดูจะถูกใจที่เธอเป็นผู้ชายหน้าหวาน ถ้ารู้ว่าแท้จริงคือเพศเดียวกันไม่แน่อาจถูกขายต่อไปเจอความเลวร้ายกว่าเดิมก็ได้
“อินิคาร์ อาบน้ำกับพี่สาวคนนี้ไหม” ประโยคของบุตรีขุนนางทำเอาคนพ่อกับสมาชิกใหม่แทบสำลักอากาศ
“ไม่ได้ครับ! ไม่ได้เด็ดขาด!! ผมเป็นเพียงผู้ติดตามของคุณหนูนะครับ” อินิคาร์รีบวางตัวใหม่เพื่อความอยู่รอดทันที
เหล่าคนรับใช้รอบๆ และผู้เป็นบิดาดูจะพึงพอใจกับการเรียนรู้เร็วของเธอว่าสิ่งใดควรและไม่ควร
“งั้นเหรอ…” นัฟเอานิ้วจิ้มคางครุ่นคิด “ก็ได้ ยังไงพวกเราก็จะได้ใช้เวลาด้วยกันอีกนาน ถ้าสนิทเกินไปก็อาจคลาดกับเจ้าชายด้วย”
คำพูดประหลาดของอีกฝ่ายทำให้คนฟังรู้สึกว่าเธอคงต้องหาเวลาคุยกันตามประสาคนต่างโลกอย่างจริงจัง…
และช่วงเวลานั้นก็มาถึงอย่างรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นมาว่า “งั้นวันนี้ไปเดินชมคฤหาสน์ด้วยกันก่อน! พี่สาวคนนี้จะแนะนำสถานที่ให้เอง”
เจ้าตัวตบอกปุๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อนำทาง
ฝั่งเจ้าบ้านคล้ายวางใจในตัวอินิคาร์ระดับหนึ่งแล้วจึงเตรียมไปทำธุระต่อ ปล่อยเด็กสองคนไว้ในสายตาคนรับใช้แทน
“เอาล่ะ จะเริ่มจากห้องนอนของเธอก่อนนะ” นัฟจูงมือเด็กชายขึ้นไปชั้นสองของอาคารสีขาว
ห้องเรียบๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่ปรากฏตรงหน้าอินิคาร์ ถึงจะดูธรรมดาแต่ใช้เครื่องเรือนวัสดุดีไม่น้อยหากเทียบกับยุคของโลกนี้… บางทีอาจเป็นเพราะความร่ำรวยจากการติดต่อกับสมาคมการค้าอยู่เสมอ
เธอมองเจ้าของชุดกระโปรงฟูฟ่องแนะนำวิวหน้าต่างว่าจะเห็นอะไรบ้างแล้วชิงหยุดอีกฝ่ายไว้ “คุณหนูครับ”
“มีอะไรเหรอ” เด็กหญิงผมบลอนด์ส่งยิ้มสดใสมาให้
“ที่เคยพูดว่าเกมกับเจ้าชายน่ะ คืออะไรเหรอครับ…”
หากจะคุยกันก็ต้องเกริ่นจากตรงนั้น ส่วนแปลกปลอมอันไม่มีอยู่ในโลกใหม่แห่งนี้ หยั่งเชิงว่านัฟจะตอบอะไรกลับมา
“นั่นน่ะเหรอ ถ้าเป็นอินิคาร์พี่สาวจะยอมบอกก็ได้” เจ้าตัวจิ้มคางเหมือนเป็นท่าประจำตัวไปแล้วก่อนเหลือบมองสาวใช้ด้านหลัง “คนอื่นออกไปก่อน พี่สาวคนนี้จะสนทนากับน้องชายสุดน่ารัก อย่าแอบฟังเชียว”
“แต่ คุณหนู…” คนรับใช้จ้องเด็กชายเหมือนพิจารณาสถานการณ์แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออก “ก็ได้ค่ะ”
จะระแวงอะไรกับเด็กห้าขวบหกขวบกัน หน้าตาเธอออกจะใสซื่อไร้พิษภัยขนาดนี้คงทำให้ผู้ใหญ่ในคฤหาสน์วางใจลงบ้างแหละ
…เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงสองชีวิตพวกเธอจึงเริ่มการพูดคุยกัน
“พี่จะบอกความลับสำคัญให้อินิคาร์ฟัง” นัฟยื่นหน้าเข้ามากระซิบ “พี่สาวน่ะมาจากโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกนี้”
คนฟังอ้าปากค้าง… ไม่ใช่เพราะตกใจกับเรื่องที่พูด แต่อึ้งกับการปล่อยข้อมูลง่ายแสนจะง่ายของยัยเด็กนี่… พวกเธอเพิ่งเจอหน้ากันวันเดียวกลับพูดหมดเปลือกเลยงั้นเหรอ หากสาวกเทพธิดาอยู่แถวนี้คงโดนจับยัดห้องเดียวกับลูกแก้วแน่!
ลูกแก้วที่สูบชีวิตคนต่างโลกน่ะ!!
“โลกที่พี่เคยอยู่มีเกมจีบหนุ่มหลายเกมคล้ายๆ โลกนี้เลย พี่คงมาเกิดใหม่เป็นนางเอกของเกมไหนสักเกม” เด็กหญิงเพ้อฝันอย่างจริงจัง “อินิคาร์เป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานขนาดนี้ ต้องใช่ตัวละครหลักแน่”
ให้ตายเถอะ! อินิคาร์ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเพราะไม่รู้จะคุยยังไงให้รู้เรื่อง อีหรอบนี้ต่อให้พูดอย่างจริงจังไปก็คงไม่เชื่อแน่
“คุณหนู…”
“อยู่กันสองคนเรียกพี่นัฟก็ได้” ผู้สวมชุดกระโปรงยื่นมือมาวางบนศีรษะเด็กชาย “ถึงพี่จะมาจากต่างโลกแต่พี่ก็คือพี่สาวของอินิคาร์ พี่จะดูแลน้องชายอย่างดี เพราะฉะนั้นอย่าบอกความลับนี้กับใครล่ะ”
สมาชิกใหม่ในคฤหาสน์ยกแขนอีกข้างขึ้นมาลูบหน้าตัวเองต่อ
พอเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่ายัยเด็กนี่มองโลกนี้เป็นเกมที่ต้องพิชิตหัวใจผู้ชายหน้าตาดี สรุปก็คือพวกคลั่งหนุ่มหล่อ ถึงได้พยายามเอาเธอมาอยู่ด้วยและเพิ่มความสัมพันธ์ใกล้ชิด
“ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่… บอกเรื่องนี้กับผมจะดีเหรอครับ พี่นัฟ”
“พี่เชื่อใจอินิคาร์ และอยากให้อินิคาร์เชื่อใจพี่” สองมือเล็กของบุตรีขุนนางกุมแขนเด็กชายเอาไว้ “เป้าหมายการจีบคือเจ้าชาย และพี่จะคอยดูแลอินิคาร์ที่น่ารักไปตลอดชีวิตด้วยเหมือนกัน”
ตามสบายเลยจ้า…
ถ้าพูดปฏิเสธความเพ้อฝันตั้งแต่ตอนนี้คงไม่แคล้วจะถูกขายต่อให้ตระกูลอื่นที่อาจเลวร้ายกว่า มาถึงขั้นนี้มีแต่ต้องคล้อยตามและหาช่องว่างเตือนทีหลัง… ยังมีเวลาอีกหลายปีกว่านัฟจะเข้าโรงเรียนเวทมนตร์และเจอกับลูกแก้วเทพธิดา
“ผมจะรีบปรับตัวให้ชินและเข้าเรียนพร้อมพี่นัฟ” อินิคาร์ตั้งใจว่าตนเองต้องรู้เรื่องราวของโลกให้มากกว่านี้เสียก่อน
“น่ารักที่สุดเลย!” บุตรสาวตระกูลขุนนางสวมกอดเธอทันที
และการใช้ชีวิตใต้ชายคาคฤหาสน์คนอื่นก็เริ่มต้นขึ้น
แม่ของเธอไม่ได้โผล่มาในช่วงเดือนแรกเพราะกำลังเรียนรู้งานในสมาคมการค้าอย่างหนัก แม้จะเคยช่วยพ่อทำธุรกิจมาบ้างแต่ก็มีความต่างหลายส่วน… เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางบ้างแล้วจึงค่อยพบกันเดือนละหนสองหนตามโอกาส
เธอยังคงภาพลักษณ์เด็กชายเอาไว้ทุกครั้งเพื่อการเอาชีวิตรอดและผลประโยชน์ในหลายๆ ด้าน
ปิดม่านสนิทยามเปลี่ยนชุด ตัดผมสั้นตลอด อาบน้ำคนเดียวเสมอ รักษาความสัมพันธ์กับพวกคนรับใช้ให้ดี และระวังท่าทีไม่ให้แสดงความเป็นตัวเองในชาติก่อนออกมา
คิดแล้วก็เศร้าใจว่าทำไมคนอย่างเธอต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยนะ
อยู่อย่างหลบซ่อนจนไม่เหลือเค้าเดิมของตัวเองคนเก่า…
“พ่อ แม่… เล็บสวยๆ ของฉัน” ยามค่ำคืนน้ำตาของเด็กหญิงไหลชโลมจิตใจอันเศร้าหมองจนซึมลงบนหมอนนุ่ม แต่เพียงไม่นานอินิคาร์ก็สะกดกลั้นได้สำเร็จ “อดทนไว้สิ… ฉันจะต้องกลับไป จะต้องกลับไปให้ได้!”
+++++
…วันและคืนผ่านไป ร่างกายอันเติบโตตามวัยทำให้สะโพกผายและเอวคอดเล็กลงทีละนิด แต่สิ่งที่ซ่อนใต้เนื้อผ้าไม่ค่อยได้คือหน้าอกของเพศหญิงซึ่งเริ่มนูนขึ้นแล้ว
การรัดผ้ารอบตัวยังพอกลบเกลื่อนไหวอยู่บ้าง ทำให้อินิคาร์หยุดพะวงชั่วคราวและหันกลับมาจดจ่อเป้าหมายเดิมอย่างการหาข้อมูลต่อ
เพื่อเข้าใกล้ทางออกจากขุมนรกนี่…
แม้ตระกูลขุนนางที่เธอมาอยู่ด้วยจะร่ำรวยมากจนสร้างห้องสมุดส่วนตัวได้ แต่กลับไม่มีหนังสือเกี่ยวกับศาสนา อย่างมากคือประวัติศาสตร์และแผนที่โลก ณ ปัจจุบัน
จากการศึกษาและทบทวนหลายสิ่งประกอบกัน ดูเหมือนที่นี่จะเป็นโลกแฟนตาซีแบบในภาพยนตร์ซึ่งเคยมีเผ่าอื่นแบ่งเขตอาศัยอยู่ด้วย
ตามบันทึกมนุษย์เคยเปิดสงครามกับพวกต่างเผ่า สังหารหมู่จนเกือบเหี้ยน จากนั้นก็หันมาตีกันเองจนแยกเป็นสามอาณาจักร ดูวุ่นวายไม่แพ้ชาติก่อนของอินิคาร์
…ด้านข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาเทพธิดาส่วนใหญ่ถามได้จากครูพิเศษที่มาสอนนัฟกับเธอ
เทพธิดาเป็นผู้นำชัยชนะมาสู่มวลมนุษย์เมื่อครั้งสงครามต่างเผ่า จากนั้นมนุษย์จึงนับถือเทพธิดามาเสมอ สร้างโบสถ์ในทุกเมือง ยกอำนาจศาสนาเหนือกว่าราชวงศ์ หนำซ้ำยังครอบคลุมสามอาณาจักรจนรากฐานมั่นคงมาหลายร้อยปี
ยิ่งใหญ่ปานนั้นเชียวนะ แทบจะแตะต้องไม่ได้เลย
เธอกำลังสู้กับอะไรอยู่เนี่ย?
ถ้าอยากรู้วิธีกลับไปโลกเดิมคงต้องมีพลังมากกว่านี้ ไม่ก็เข้าร่วมสืบจากภายในของมัน
ไม่สิ… การแฝงตัวในโบสถ์ที่มีแต่สาวกของเทพธิดาคงอันตรายเกินไป อินิคาร์ยังไม่รู้ว่าพวกนั้นต้องการชีวิตคนต่างโลกไปทำไม และอะไรคือดวงจิตพิสุทธิ์ที่เทพธิดาเคยเรียกเธอ
ดังนั้นหนทางใหม่ก็คือการใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์
ต่อให้อำนาจจะได้เพียงเกือบเทียบเคียงศาสนา แต่การเป็นถึงผู้ปกครองแผ่นดินย่อมล่วงรู้ความลับมาบ้างเพื่อคานอำนาจทางการเมือง
เธอต้องทำให้นัฟได้เข้าเรียนและสนิทกับเจ้าชายอย่างที่ต้องการ
ก่อนอื่นเริ่มจากเลี่ยงไม่ให้เจ้าตัวสัมผัสลูกแก้วโดยตรง…
ระหว่างที่เรียบเรียงข้อมูลสองคิ้วสีดำก็ขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม
“อินิคาร์…” เด็กสาวในวัยแรกแย้มกะพริบตาปริบๆ มองผู้เป็นน้องชายบุญธรรมขณะดื่มชายามบ่าย “ทำไมเก้าอี้ที่เธอนั่งถึงมีสีแดง”
…อะไรนะ?
ประโยคทักของนัฟทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว สติอันครุ่นคิดแผนการอยู่แตกกระเจิงมารับมือกับหายนะปัจจุบันก่อนจะมองการณ์ไกลไปกว่านั้น
ปิดบังมาเกือบสิบปีจนเกือบหลอกได้กระทั่งตัวเอง แต่เธอดันลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไปได้…
ประจำเดือนครั้งแรกของอินิคาร์ได้มาถึงแล้ว