นี่คือสิ่งที่หนีเฟิ่งคิดอยู่ในใจ แต่นางก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอันใดออกมา นางเริ่มไอออกมาอย่างรุนแรง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า ”ข้าไม่เคยปิดบังอะไรจากประชาชนของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย และไม่มีความจำเป็นอันใดที่สมาชิกตระกูลหนีจะทำเช่นนั้น วิญญาณร้ายอย่างพวกเจ้าประเมินผู้อาวุโสของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่ำเกินไปจริงๆ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าวิญญาณที่สิงร่างของเจ้าอยู่คือวิญญาณประเภทใด แต่ทุกอย่างที่ข้าทำอยู่ในตอนนี้ก็ล้วนแต่ทำเพื่อประชาชนของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งสิ้น หากฮูหยินจูเก่อไม่เห็นด้วย เช่นนั้นข้าก็สามารถมอบสิทธิ์ในการปกครองเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายให้กับนางได้ด้วยซ้ำ มีแต่ต้องใช้วิธีนี้ใช่หรือไม่ถึงจะสามารถหยุดแผนการสร้างความแตกแยกของเจ้าได้”
แผนการของหนีเฟิ่งยอดเยี่ยมยิ่งนัก นางยอมถอยเพื่อที่จะเดินหน้าต่อ
มันเยี่ยมเสียจนไม่ว่าฮูหยินจูเก่อจะพูดอะไรออกมา นางก็จะถูกกล่าวหาว่าต้องการยึดอำนาจ
เป็นธรรมดาที่บรรดาผู้อาวุโสจะรู้สึกเชื่อใจนางมากยิ่งขึ้น พวกเขาเริ่มพูดขึ้นมาทีละคนว่า ”เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าจะมอบสิทธิ์ในการปกครองเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายให้นางได้อย่างไร เจ้าเป็นหงส์เพลิง และคนเพียงคนเดียวที่สามารถช่วยเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายในเวลานี้ได้ก็คือเจ้า”
”ถูกต้องแล้ว คุณหนูหนี ท่านจะตกหลุมพรางที่พวกเขาวางเอาไว้ไม่ได้ พวกเรามีแต่จะยิ่งเสียเปรียบ ส่วนคนที่ได้เปรียบย่อมเป็นพวกเขา!”
”ลูกศิษย์จากตระกูลหลี่ของข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่ามีน้อยคนนักที่จะสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาจากสุสานหลวงได้ ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง พวกเขาก็ไม่น่าจะมายืนอยู่ที่นี่ได้แม้แต่คนเดียว ดังนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึงการพูดจายั่วยุปลุกปั่นเพื่อสร้างความแตกแยกให้กับพวกเราเลย วิญญาณร้ายและปีศาจพวกนี้ย่อมรู้ดีเหมือนอย่างที่พวกเรารู้ว่ามีแค่เพียงหงส์เพลิงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้ ดังนั้นพวกมันถึงได้คิดแผนการนี้มาเพื่อต่อกรกับเฟิ่งเอ๋อร์”
ทุกคนคุยกันท่ามกลางเสียงไอของหนีเฟิ่ง ไม่มีใครบอกว่าจะช่วยพวกจูเก่ออวิ๋น เพราะพวกเขาแทบทุกคนล้วนแต่ยืนอยู่ข้างเดียวกันกับหนีเฟิ่ง!
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ จูเก่ออวิ๋นก็กำมือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น เขาตะโกนขึ้นอย่างทนไม่ไหวว่า ”หนีเฟิ่งไม่ใช่หงส์เพลิงสักหน่อย! ท่านผู้อาวุโสขอรับ พวกท่านทุกคนถูกนางหลอกแล้ว!”
เกิดความเงียบขึ้นทั่วบริเวณ แต่ความเงียบนั้นก็อยู่ได้ไม่นานนัก
ลูกศิษย์ของตระกูลหนีจ้องหน้าจูเก่ออวิ๋น ”เจ้ารู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?! โลกเต็มไปด้วยเมฆมงคลตั้งแต่คุณหนูของพวกข้าเกิดมา ร่างของนางเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ และนางก็ยังมีหัวใจของพระโพธิสัตว์อีกด้วย! หากไม่ใช่เพราะนาง ป่านนี้ปีศาจพวกนั้นคงบุกเข้ามาในเมืองของเราแล้ว! คงไม่มีแม้กระทั่งโอกาสให้ใครหน้าไหนได้พูดจาไร้สาระอยู่ที่นี่แน่!”
หนีเฟิ่งฉวยโอกาสนั้นทันที นางส่ายหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปห้ามบรรดาลูกศิษย์ของตระกูลหนี นางแสร้งทำเป็นสะเทือนใจและกล่าวว่า ”พอได้แล้ว ท่านผู้อาวุโสทุกคนล้วนแต่เป็นคนรอบคอบ พวกเขาย่อมสามารถแยกแยะผิดถูกได้อย่างชัดเจน”
เหล่าผู้อาวุโสรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล แต่ทันทีที่พวกเขาได้ยินคำพูดของหนีเฟิ่ง พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกเห็นใจนาง ”เฟิ่งเอ๋อร์ ไม่ต้องห่วง ถึงพวกข้าจะอายุมากแล้ว แต่ดวงตาของพวกข้าก็ยังสามารถใช้การได้ พวกข้ารู้ว่าเจ้าทำทุกอย่างเพื่อเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย อีกอย่างหนึ่ง เจ้าจะไม่ใช่หงส์เพลิงได้อย่างไร คำพูดเหล่านี้ไร้สาระทั้งเพ อย่าได้เก็บมันมาใส่ใจเลย!”
”ท่านผู้อาวุโสขอรับ!” จูเก่ออวิ๋นรู้ว่าถ้าเขาไม่พูดอะไรในตอนนี้ พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก เขาก้าวออกไปข้างหน้า แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า ”ท่านเลือกที่จะไม่เชื่อข้าก็ได้ แต่พวกข้ามีกันหกคน เราทั้งหกคือคนที่เข้าไปในสุสานหลวง ดังนั้นพวกเราแต่ละคนย่อมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้หนีเฟิ่งเป็นแค่ซากศพ นางตายตั้งแต่ตอนที่ป่วยหนักเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่หนีเฟิ่งคนนี้มาอยู่ตรงนี้ได้ในเวลานี้ก็เพราะหนีเปียวใช้อาคมต้องห้ามปลุกซากศพเพื่อช่วยนางกลับมา ทั้งหมดที่เขาทำไปก็เพื่อรักษาชื่อเสียงที่มีมาหลายต่อหลายรุ่นของตระกูลหนี ความทะเยอทะยานอันแรงกล้าของเขานำพาความตายมาสู่ตัว เพราะเขาไม่รู้เลยว่าหนีเฟิ่งเริ่มเรียนรู้ที่จะซึบซับพลังวิญญาณของเขาได้ตั้งแต่เมื่อใด ตอนที่เขาไปถึงสุสานหลวง จิตใจของเขาก็ถูกควบคุมจนกลายร่างเป็นปีศาจ ตอนนั้นเองที่ทุกคนเริ่มสงสัย และถ้าไม่ใช่เพราะมีคนเตือนสติพวกเรา พวกเราก็คงไม่มีวันมองสถานการณ์นี้ออก ก่อนหน้านี้ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมีกฎอยู่ว่าห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปในสุสานหลวง แต่ตระกูลหนีก็มุ่งมั่นที่จะไปที่นั่นเพื่อฟื้นคืนชีพให้กับคนตาย และเปลี่ยนแปลงภพภูมิทั้งหก ทั้งหมดนี้ก็เพราะหนีเฟิ่งต้องการที่จะเป็นอมตะอย่างแท้จริง นอกจากพระสรีระแล้ว ที่ด้านในของสุสานหลวงยังมีกระจกวิเศษอยู่อีกบานหนึ่ง หลังจากหนีเฟิ่งได้กระจกวิเศษมาไว้ในมือ นางก็ล่วงหน้ากลับมาที่เมืองก่อนพวกข้า เพื่อรักษาความลับของตัวเอง นางจึงบอกกับพวกท่านว่าทุกคนที่อยู่ในสุสานหลวงถูกสิง พวกท่านจะได้ไม่เชื่อพวกข้าอีก แต่ความจริงแล้ว นางต่างหากล่ะที่เป็นคนชั่วตัวจริง!”
ไม่เพียงแต่หนีเฟิ่งจะเผชิญหน้ากับคำพูดปรักปรำของจูเก่ออวิ๋นด้วยใบหน้าสงบไร้อารมณ์เท่านั้น นางยังถึงกับส่ายศีรษะเล็กน้อยอีกด้วย นางถอนหายใจยาว เสียงไอของนางเรียกความสงสารจากคนที่อยู่รอบตัวนางได้เป็นอย่างดี ”เจ้าต้องการอย่างนี้นี่เอง เจ้าต้องการป้ายความผิดทั้งหมดให้กับข้าและทำให้ข้าหายไป เพราะทันทีที่ข้าไม่อยู่แล้ว เกราะพลังวิญญาณที่คลุมเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็จะหายไปเหมือนกัน จากนั้นเจ้าก็จะสามารถทำลายเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้จากภายในใช่หรือไม่” หนีเฟิ่งเงยหน้าขึ้นพร้อมกับประกาศด้วยท่าทางซื่อสัตย์ยุติธรรมว่า ”ข้าไม่มีวันยอมให้เจ้าทำสำเร็จแน่ เจ้าพวกวิญญาณร้ายจอมยุแยงตะแคงรั่ว!”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของหนีเฟิ่ง พวกเขาแทบจะนึกภาพออกเลยทีเดียวว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป
หลายคนเริ่มโวยวายว่า ”เราไม่น่าให้โอกาสวิญญาณร้ายพวกนี้พูดเลยจริงๆ”
”ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะในหมู่พวกมันมีนายน้อยจากตระกูลจูเก่อและตระกูลหลี่อยู่ด้วย ถ้าเป็นคนอื่น ป่านนี้เราก็คงจับพวกมันไปนานแล้ว วิญญาณร้ายพวกนี้ชั่วร้ายเสียไม่มี ข้าเกือบจะหลงเชื่ออุบายที่พวกมันคิดขึ้นเสียแล้ว”
”วิญญาณร้ายมีนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายมาแต่กำเนิด พวกมันรู้จักการอ่านใจคน แค่รับมือกับพวกมันก็ยากพอดูอยู่แล้ว แต่คุณหนูหนีกลับยังต้องคิดหาวิธีปกป้องเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไปพร้อมกันอีกด้วย นี่ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย”
จูเก่ออวิ๋นฟังบทสนทนาของพวกเขาด้วยความไม่เชื่อ เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย เขาเล่าละเอียดถึงเพียงนี้ แต่คนพวกนี้กลับยังคิดว่าเขาโกหกพวกเขาอยู่อีกหรือ!
ทำไมคนพวกนี้ไม่ใช้สมองคิดกันให้ดีสักนิด ถ้าหากพวกเขาถูกวิญญาณร้ายสิงอยู่จริงๆ พวกเขาจะยังพูดมากได้ถึงเพียงนี้ได้หรือ
บางที นี่อาจจะเป็นสัญชาตญาณธรรมชาติของมนุษย์
เขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
มนุษย์มักจะบังคับให้ตัวเองยอมรับในสิ่งที่มีหลักการชัดเจนมายืนยัน พวกเขาเคยชินกับการถูกคนอื่นยุยง และไม่คิดที่จะใช้เวลาไตร่ตรองหาความจริงใดๆ แม้จะใช้คำพูดสร้างความเจ็บปวดและทำร้ายคนถูก แต่พวกเขาก็จะเชื่อแต่เพียงว่าสิ่งที่พวกเขายึดถือนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เวลานี้จูเก่ออวิ๋นไม่รู้ว่าเขาควรรู้สึกสงสารตัวเองหรือสมเพชกับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าดี
แต่เขาก็รู้ว่าไม่อาจทำตัวขี้ขลาดได้อีกต่อไป!
”หนีเฟิ่ง คำพูดของข้าเป็นความจริงหรือไม่นั้น เจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ” ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นกระจ่างชัด ”วันนี้ข้ากับสหายทั้งหกขอยืนอยู่ที่นี่และสาบานต่อสวรรค์ว่าเจ้าไม่ใช่หงส์เพลิงกลับชาติมาเกิดแต่อย่างใด ถ้าหากมีสิ่งใดที่ข้าโกหก เช่นนั้นข้าก็ขอให้ตระกูลจูเก่อของข้าไม่มีวันได้พบกับความสงบสุขไปตลอดกาล!”
ตอนนั้นเองที่ฮูหยินจูเก่อก็เอ่ยปากขึ้นเช่นกัน ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ”ข้าเชื่ออวิ๋นเอ๋อร์ มันมีจุดที่น่าสงสัยหลายจุดเกินไป พวกเราไม่สามารถตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นในสุสานหลวงได้โดยอ้างอิงจากคำพูดของคนเพียงคนเดียว ทุกคนอยากปกป้องเมืองนี้ ที่นี่เป็นบ้านของพวกเราตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ไม่มีใครต้องการทำลายมัน แต่ตอนนี้ พวกเราจะปล่อยให้ใครมาฉวยโอกาสทำเช่นนั้นไม่ได้”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น หนีเฟิ่งก็หลุบตาลงราวกับได้รับการโจมตีจากคำพูดนั้น ดวงตาคู่สวยของนางเต็มไปด้วยน้ำตา จากนั้นนางจึงกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า ”ข้านึกไม่ถึงจริงๆ เจ้าค่ะว่าแม้แต่ท่านป้าก็คิดกับข้าเช่นนี้ เป็นเพราะข้าคิดที่จะจับตัวน้องอวิ๋นหรือ วิญญาณร้ายอ่านใจคนได้ ดังนั้นข้าถึงได้ระวังตัวตั้งแต่แรก แต่นึกไม่ถึงเลยว่าแม้ข้าจะระมัดระวังถึงเพียงนี้ แต่พวกมันก็ยังหาทางเล่นงานข้าได้ ไม่แปลกใจเลยที่ท่านป้าจะเข้าใจข้าผิด แต่ท่านป้าเจ้าคะ ท่านไม่สงสัยหรือว่าหากข้าไม่ใช่หงส์เพลิง แล้วข้าจะสามารถรักษาเกราะพลังวิญญาณนี้เอาไว้ได้อย่างไร และจนกระทั่งถึงตอนนี้ วิญญาณร้ายพวกนี้ก็ทำได้เพียงแค่กล่าวหาข้า พวกมันไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะพิสูจน์ได้ว่าข้าไม่ใช่หงส์เพลิง ท่านป้า ข้าไม่อยากให้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพวกเราต้องแตกหักเพราะวิญญาณร้ายเหล่านี้เจ้าค่ะ ท่านเข้าใจความรู้สึกของข้าในตอนนี้ใช่ไหมเจ้าคะ”
”หนีเฟิ่ง เกราะพลังวิญญาณที่เจ้าพูดถึงเป็นเพียงแค่ปราณจากซากศพของเจ้า เจ้าอยากได้หลักฐานนักใช่ไหม” จูเก่ออวิ๋นไม่หวาดกลัวอีกต่อไป เขาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าของฮูหยินจูเก่อพร้อมกับใช้ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบตัว ”ข้ารู้ว่าต่อให้พวกข้าจะพูดอะไรไป ทุกคนก็คงไม่เชื่อ แต่สถานการณ์นี้มีทุกอย่างเป็นเดิมพัน ความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เราเสียเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งเมืองไปได้ เวลานี้ ปีศาจจากทั้งสามภพต่างก็มาถึงเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายแล้ว แต่พวกมันก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะมีเกราะพลังวิญญาณอยู่ แต่เป็นเพราะว่าพวกมันไม่เคยคิดที่จะบุกโจมตีเมืองอยู่แล้ว เหตุผลที่ปีศาจพวกนั้นล้อมเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเอาไว้เพราะสิ่งที่อยู่ภายในเมืองต่างหาก ถ้าพวกเราไม่หยุดหนีเฟิ่ง และหาทางฝ่าเกราะที่สร้างจากปราณซากศพนี่ออกไปก่อนเวลาจะหมดลงละก็ เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะกลายเป็นนรกบนดินอย่างแท้จริง และพลังวิญญาณของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนในเมืองนี้ก็จะถูกดูดไปในทันที ปีศาจพวกนั้นล้อมเมืองเอาไว้เพราะพวกมันรู้ว่าที่นี่กำลังจะกลายเป็นนรก ว่ากันว่าหงส์เพลิงคือนกไฟที่เกิดจากเปลวไฟ ดังนั้นหงส์เพลิงที่กลับชาติมาเกิดใหม่ย่อมสามารถใช้แสงแห่งพระพุทธคุณ และแสดงพลังธรรมะของหงส์เพลิงได้ หนีเฟิ่ง ตระกูลหนีมอบฐานะหงส์เพลิงกลับชาติมาเกิดให้กับเจ้าตั้งแต่ยังเด็กก็จริง แต่ความจริงนั้นเจ้าไม่เคยแสดงพลังธรรมะของหงส์เพลิงได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าหงส์เพลิงได้อีกหรือ ไหนๆ ผู้อาวุโสทุกคนของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็มาอยู่ที่นี่พร้อมหน้ากันในเวลานี้แล้ว ถ้าเจ้าเป็นหงส์เพลิงตัวจริง เช่นนั้นก็ใช้อาคมสักอย่างพิสูจน์สิ ทุกคนจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่โกหก!”
จิตใจของจูเก่ออวิ๋นไม่เคยเด็ดเดี่ยวเช่นนี้มาก่อน
บางที เขาอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากเฮ่อเหลียนเวยเวยตอนที่อยู่ในสุสานหลวง
เขาไม่ใช่คนที่จะแตกตื่นเมื่อเกิดอะไรขึ้นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
แต่เขากลับสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ทีละขั้น และยังจับจุดประเด็นที่สำคัญที่สุดได้อีกด้วย!
หลังจากฟังคำพูดของเขาจบ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนก็ตกอยู่ในภวังค์
อย่างไรจูเก่ออวิ๋นก็พูดถูก เป็นเรื่องจริงที่เฟิ่งเอ๋อร์ไม่เคยแสดงพลังธรรมะของตัวเองออกมาเลยสักครั้ง
เมื่อเห็นสีหน้าของบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณที่ตกอยู่ในความเงียบ จูเก่ออวิ๋นก็รู้ว่าคำพูดของตัวเองได้ผล หนีเฟิ่งไม่ใช่หงส์เพลิง ดังนั้นจึงไม่มีทางที่นางจะแสดงพลังธรรมะของหงส์เพลิงได้ และเมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนจะได้เห็นธาตุแท้ของนาง!
แต่จูเก่ออวิ๋นนึกไม่ถึงเลยว่าในเวลานั้น จู่ๆ หนีเฟิ่งก็พูดขึ้นว่า ”เพราะข้าเป็นหงส์เพลิงที่กลับชาติมาเกิด ดังนั้นร่างกายของข้าจึงอ่อนแอกว่าคนอื่นมาตั้งแต่เกิด ข้าจึงเลี่ยงที่จะไม่แสดงพลังธรรมะของตัวเองออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ท่านพ่อเองก็รู้เรื่องนี้ ดังนั้น ข้าจึงให้เขาจับวิญญาณร้ายพวกนั้นกลับมาอยู่บ่อยครั้ง อันที่จริงข้าไม่ควรทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อสิ่งที่เกิดในวันนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย เช่นนั้นการทุ่มสุดตัวเพื่อพิสูจน์ตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ประการใด!”