ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 305 เพื่อนร่วมห้อง(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 305 เพื่อนร่วมห้อง(2)

ตอนที่ 305 เพื่อนร่วมห้อง(2)

เซี่ยปิงหรุ่ยพยักหน้า ถือได้ว่าเป็นการยอมรับ

เฉินเซี่ยวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้นพลันยิ้มและกล่าว “ฉันกับสวินชิวเรียนคณะโบราณคดี ดูเหมือนว่าห้องพักพวกเราจะมีทั้งหมดหกคนและเรียนคณะเดียวกันอยู่สามคู่นะ”

“ใช่”

ขณะนี้ พ่อฉือแม่ฉือก็ยังคงเอ่ยคำถามเมื่อสักครู่นี้ “ทุกคนมารวมตัวกันแบบนี้ก็คือพรหมลิขิต ไม่อย่างนั้นพวกเราออกไปกินอาหารเที่ยงด้วยกันไหม”

พ่อแม่ของเฉินเซี่ยวอวิ๋นสบสายตากันและพยักหน้า “ได้เลย พวกเราออกไปกินอาหารด้วยกันสักหน่อย”

คนอื่นมากันเพียงลำพัง เกาสวินชิวพยักหน้าและไม่ได้คัดค้าน จากนั้นเอ่ย “ได้ค่ะ”

เหมาชุนเถาต้องการปฏิเสธ เพราะการออกไปกินอาหารด้านนอกจะต้องใช้จ่ายแพงมากอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามเฉินเซี่ยวอวิ๋นกลับยิ้มพลางดึงหล่อนและเอ่ย “ชุนเถา พวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะ” ขณะกล่าวยังมองไปทางฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ย

เซี่ยปิงหรุ่ยไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่มองฉินมู่หลานราวกับว่าถามความคิดเห็นของเธอ

ฉินมู่หลานคิดว่าตนเองยังต้องไปรับน้องชาย จากนั้นกล่าว “ฉันตกลงกับน้องชายของฉันไว้ว่าจะรอเขา ฉันคงไปไม่ได้น่ะ”

ได้ยินเช่นนี้ เฉินเซี่ยวอวิ๋นเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “น้องชายของเธอก็อยู่มหาวิทยาลัยปักกิ่งเหรอ?”

“ไม่ใช่”

ฉินมู่หลานส่ายศีรษะและเอ่ย “เขาอยู่ชิงหวาที่อยู่ด้านข้าง พวกเราตกลงกันแล้ว ว่าหากใครเรียนเสร็จก่อนก็ไปรอยังประตูมหาวิทยาลัยของอีกฝ่าย”

เฉินเซี่ยวอวิ๋นได้ยินเช่นนี้ก็เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “พวกเธอสองพี่น้องสุดยอดจริงๆ คนหนึ่งอยู่ปักกิ่ง คนหนึ่งอยู่ชิงหัว เรื่องนี้คงไม่ง่ายเลยใช่ไหม งั้นพาน้องชายของเธอมาด้วยกันสิ พวกเราไปกินข้าวด้วยกัน” ขณะกล่าวก็ดึงแขนเสื้อของฉินมู่หลาน จากนั้นก็เอ่ย “มู่หลาน หลังจากนี้พวกเราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสี่ปีนะ จะต้องเข้ากันได้ดี วันนี้มาทำความรู้จักกันก่อน ไปกินข้าวด้วยกันเถอะนะ”

ฉินมู่หลานคิดว่าแม้ตอนกลางคืนตนเองจะไม่ได้อยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่ช่วงเที่ยงยังคงต้องมาที่นี่ ดังนั้นเธอพยักหน้าและกล่าว “ตกลง งั้นพวกเธอไปกันก่อนนะ ฉันขอไปรับน้องชายของฉันก่อน”

เมื่อเห็นฉินมู่หลานตกลง เฉินเซี่ยวอวิ๋นมองไปทางเซี่ยปิงหรุ่ยทันใด

ครั้งนี้เซี่ยปิงหรุ่ยไม่ได้ปฏิเสธและพยักหน้าเช่นกัน

“ตกลง งั้นพวกเราออกเดินทางตอนนี้เลย”

ยากนักที่เซี่ยปิงหรุ่ยจะเอ่ยปาก “ฉันจะตามมู่หลานไปรับน้องชายของหล่อนด้วย พวกเธอไปกันก่อนเลย เดี๋ยวพวกเราตามไป”

เมื่อเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยกล่าวเช่นนี้ เฉินเซี่ยวอวิ๋นเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากนักและพยักหน้าพร้อมกับกล่าว “งั้นพวกเราไปกันก่อน ร้านอาหารกั๋วอิ๋งที่อยู่ด้านหน้า” ขณะกล่าวก็เอ่ยถามคำถามหนึ่ง “ปิงหรุ่ย เธอรู้ใช่ไหมว่าอยู่ตรงไหน”

เซี่ยปิงหรุ่ยตอบกระชับได้ใจความ ฉินมู่หลานที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยตอบ “ฉันรู้ พวกเธอไปกันก่อนเลย”

“อ้อ งั้นก็โอเค”

หลังจากเฉินเซี่ยวอวิ๋นและพวกหล่อนจากไป ฉินมู่หลานเองก็ออกเดินทางเช่นกัน โดยมีเซี่ยปิงหรุ่ยเดินตามด้านหลังเธอ

“อันที่จริงเธอไปที่นั่นกับพวกเขาเลยก็ได้ ฉันไปรับน้องชายแล้วเดี๋ยวตามไป”

เมื่อเดินมากับฉินมู่หลาน คำพูดของเซี่ยปิงหรุ่ยก็เพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย “พวกเขาเอะอะโวยวายเกินไป”

ได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ก็ยังดีนะ เธอพูดน้อยเกินไปต่างหาก ดังนั้นเลยรู้สึกว่าพวกเขาเอะอะโวยวาย ครั้งหน้าเธอพูดให้มากขึ้นสักหน่อยก็ได้ ไม่อย่างนั้นเธอจะดูเย็นชา”

“ทำไมฉันจะต้องเสียเวลาพูดมากด้วย มีเวลาไปศึกษาใบสั่งยาให้มากขึ้นไม่ดีกว่าเหรอ”

เมื่อกล่าวเช่นนี้ สายตาของเซี่ยปิงหรุ่ยเป็นประกายและมองฉินมู่หลานพร้อมกับเอ่ย “ยาพิเศษเหล่านั้นเธอคิดค้นพัฒนาออกมาได้อย่างไร เธออายุน้อยขนาดนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าจะเก่งกาจขนาดนี้”

สำหรับเรื่องนี้ อันที่จริงฉินมู่หลานเองก็อยากรู้เล็กน้อยเช่นกัน

“เธอรู้จักฉันได้อย่างไร”

เรื่องที่เธอพัฒนายาเหล่านั้นแพร่กระจายไปเพียงแค่บางแวดวงเท่านั้น เธอจึงสงสัยเล็กน้อยว่าเซี่ยปิงหรุ่ยรู้ได้อย่างไร

“ตระกูลของพวกฉันค่อนข้างมีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนจีน ดังนั้นจึงให้ความสนใจเกี่ยวกับข่าวยาเป็นอย่างมาก ฉันก็เลยรู้จักเธอ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

หากตั้งใจสอบถามโดยเฉพาะ อันที่จริงก็สามารถรับรู้ข่าวสารบางอย่างได้ ดังนั้นฉินมู่หลานเองก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก

มหาวิทยาลัยปักกิ่งและชิงหัวนั้นอยู่ใกล้กันมาก เพียงไม่นานนักฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยต่างก็มาถึง ส่วนฉินเคอวั่งก็ออกมาจากด้านในแล้ว

“เคอวั่ง……ทางนี้”

สายตาเฉียบคมของฉินมู่หลานมองเห็นฉินเคอวั่งทันใด

ฉินเคอวั่งเห็นพี่สาวมาแล้วก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “พี่ คาดไม่ถึงเลยว่าพี่ยังคงเร็วกว่า” ขณะกล่าวก็มองไปทางเซี่ยปิงหรุ่ยด้วยความสงสัยเล็กน้อย

“นี่คือเซี่ยปิงหรุ่ยเพื่อนร่วมหอพักของพี่เอง”

ในเมื่อเป็นน้องชายของฉินมู่หลาน ดังนั้นเซี่ยปิงหรุ่ยเองก็ชำเลืองมองเขาอยู่หลายครั้งและเอ่ยทักทาย “สวัสดี”

“สวัสดีครับพี่เซี่ย ผมชื่อฉินเคอวั่ง”

ในเมื่อเป็นเพื่อนร่วมหอพักของพี่สาว ก็ถือว่าหล่อนเป็นพี่สาวของเขาด้วยเช่นกัน

เซี่ยปิงหรุ่ยยังคงรู้สึกแปลกใหม่กับคำเรียกว่าพี่สาวเป็นอย่างมาก เพราะตอนอยู่ที่บ้านหล่อนมีอายุน้อยที่สุด

ขณะนี้ฉินมู่หลานเอ่ยเรื่องการไปกินข้าวกับเพื่อนร่วมหอพักกับฉินเคอวั่ง

ฉินเคอวั่งคาดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้ “พี่ครับ ผมไปด้วยคงไม่ดีเท่าไรนัก ไม่อย่างนั้นให้ผมกลับบ้านก่อนดีไหม”

“ไม่เป็นไรหรอก ไปด้วยกันเถอะ ทุกคนคุยกันเรียบร้อยแล้ว”

เมื่อเห็นพี่สาวกล่าวเช่นนี้ ฉินเคอวั่งเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

เมื่อฉินมู่หลานและพวกเขามาถึงร้านอาหารกั๋วอิ๋ง เหมาชุนเถาก็รีบโบกมือให้กับพวกเขาพร้อมกับเอ่ย “มู่หลาน ปิงหรุ่ย ทางนี้”

ขณะเดินเข้าไปใกล้ ฉินมู่หลานยิ้มพลางแนะนำฉินเคอวั่งให้กับทุกคน

ฉินเคอวั่งทักทายทุกคนด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย หลังจากนั้นนั่งลงด้วยกัน

เฉินเซี่ยวอวิ๋นเป็นคนที่มีชีวิตชีวาและร่าเริงมากที่สุดภายในหอพัก หล่อนได้เอ่ยถึงหัวข้อสนทนาที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน “ใช่แล้วมู่หลาน เธอกับปิงหรุ่ยเป็นคนที่ไหนเหรอ เมื่อกี้พวกเรากำลังพูดคุยเรื่องนี้ ฉันและสวินชิวเป็นคนปักกิ่ง ชุนเถาเป็นคนหูหนาน หยวนฝูเป็นคนเจียงซู ยังไม่รู้ของพวกเธอทั้งสองคนเลย”

“อ้อ ฉันเป็นคนซานตง”

ส่วนเซี่ยปิงหรุ่ย เธอเองก็ไม่รู้ดังนั้นจึงมองไปด้วยความสงสัย

“ฉันมาจากซีอาน”

เฉินเซี่ยวอวิ๋นได้ยินเช่นนี้ก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ปิงหรุ่ย ที่แท้เธอก็เป็นคนเมืองซีอานนี่เอง ได้ยินว่าบ้านเกิดของเธอนั้นมีประวัติพิเศษ…….”

ยังเอ่ยคำพูดไม่จบก็ถูกพ่อเฉินขัดบทสนทนา “พอได้แล้วเซี่ยวอวิ๋น พวกเรารีบกินอาหารเถอะ ไม่อย่างนั้นกับข้าวจะเย็นแล้ว”

“อ้อ ใช่ กินข้าวกัน”

วันนี้ทุกคนพบหน้ากันเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไรนัก นอกจากพ่อฉือแม่ฉือและพ่อเฉินแม่เฉินพูดคุยกันเป็นครั้งคราว มีเพียงเฉินเซี่ยวอวิ๋น เหมาชุนเถาและฉือหยวนฝูเท่านั้นที่พูดคุยกัน

ฉินมู่หลานรับฟังบทสนทนาด้วยความเงียบงัน ตัวอย่างเช่น : เหมาชุนเถาอายุยี่สิบหกปีแล้ว เมื่อตอนอยู่บ้านเกิดแต่งงานแล้วและมีลูกชายคนหนึ่ง ครั้งนี้หล่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพียงลำพัง โดยที่ลูกชายและสามีอยู่ที่บ้านเกิด

อีกตัวอย่างหนึ่ง : สภาพครอบครัวของฉือหยวนฝูนั้นน่าจะดีมาก ดูจากสิ่งของเหล่านั้นที่หล่อนกล่าวถึงเป็นครั้งคราวที่มีมูลค่าหลักร้อยหลักพันหยวน ทำให้เหมาชุนเถาและเฉินเซี่ยวอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ

เกาสวินชิวและเซี่ยปิงหรุ่ยเองก็ไม่ต่างกัน ต่างก็ไม่ค่อยชอบพูดนัก

หลังจากกินอาหารเสร็จ ฉินมู่หลานวางแผนจะพาฉินเคอวั่งกลับบ้าน

“กลับบ้านเหรอ? มู่หลาน ไม่ใช่ว่าพวกเธอสองพี่น้องเป็นคนซานตงหรอกเหรอ?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ปิงหรุ่ยนี่ดูรู้เรื่องของมู่หลานเยอะอยู่นะ เป็นแฟนคลับลับๆ หรือเปล่าเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท