ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 308 ตระกูลเซี่ยตระกูลหลัก(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 308 ตระกูลเซี่ยตระกูลหลัก(1)

ตอนที่ 308 ตระกูลเซี่ยตระกูลหลัก(1)

ฉินมู่หลานยังไม่รู้ว่าหลิวเสวียข่ายจัดการงานสำเร็จแล้ว หลังเริ่มการเรียนการสอน เธอก็ตั้งใจฟังโดยตลอด และมีเซี่ยปิงหรุ่ยพูดคุยกับเธอเป็นครั้งคราว

“เธอน่าจะรู้เนื้อหาเหล่านี้หมดแล้วหรือเปล่า ยังต้องฟังอีกเหรอ”

ฉินมู่หลานขมวดคิ้วชำเลืองมองเซี่ยปิงหรุ่ยและเอ่ยด้วยเสียงเบา “อย่าคุยตอนเรียน”

เห็นชัดว่าเซี่ยปิงหรุ่ยผู้นี้เป็นคนพูดน้อย แต่ทุกครั้งที่พูดคุยกับเธอก็ดูราวกับว่ามีเรื่องพูดอย่างไม่จบไม่สิ้น ตอนนี้เริ่มการเรียนการสอนแล้ว หากทำให้อาจารย์รู้สึกไม่ประทับใจตั้งแต่ชั้นเรียนแรกก็คงไม่ดีนัก

อย่างไรก็ตามเมื่อฉินมู่หลานกล่าวเช่นนี้ เซี่ยปิงหรุ่ยกลับยังคงเอ่ย “เธอยังไม่ตอบคำถามของฉันเลย”

“นักศึกษาคนนั้นน่ะ เธอช่วยตอบคำถามนี้หน่อย”

หลัวซงผิงที่กำลังยืนอยู่บนโพเดียมพลันขมวดคิ้วมองเซี่ยปิงหรุ่ยและไม่พอใจมากที่หล่อนพูดคุยภายในคาบเรียน ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาเตือนฉินมู่หลาน แม้ว่าเซี่ยปิงหรุ่ยจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน แต่ฉินมู่หลานก็ตอบด้วยเสียงเบาเช่นกัน กล่าวโดยสรุปก็คือนักศึกษาใหม่ทั้งสองคนไม่ตั้งใจเป็นอย่างมาก นักศึกษารุ่นนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะสอบผ่านการสอบแข่งขันพร้อมกันทั่วประเทศ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเข้าเรียนมหาวิทยาลัย พวกเขาควรทะนุถนอมโอกาสที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้

ฉินมู่หลานเห็นว่าเซี่ยปิงหรุ่ยนิ่งงัน จากนั้นผลักหล่อนพร้อมกับเอ่ย “อาจารย์เรียกเธอน่ะ”

เซี่ยปิงหรุ่ยลุกขึ้นยืนและตอบคำถามของอาจารย์อย่างคล่องแคล่วมาก แม้ว่าหล่อนและฉินมู่หลานจะพูดคุยกันเพียงสองประโยค แต่ก็ยังได้ยินคำถามของอาจารย์อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงตอบคำถามได้อย่างง่ายดาย

เมื่อได้ยินคำตอบของเซี่ยปิงหรุ่ย สีหน้าของหลัวซงผิงจึงดูดีขึ้นเล็กน้อย

“แม้คำตอบของเธอจะถูกต้อง แต่ขณะที่กำลังเรียนจะต้องตั้งใจฟังให้ดี ไม่สามารถกระซิบกระซาบกันได้”

“ค่ะ”

เซี่ยปิงหรุ่ยส่งเสียงตอบรับและไม่พูดอะไรอีก

กระทั่งคาบเรียนแรกสิ้นสุดลง เซี่ยปิงหรุ่ยก็รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย หล่อนเคยเรียนเนื้อหาเหล่านี้มาหมดแล้ว ถึงกระนั้นหล่อนหันศีรษะกลับมากลับเห็นฉินมู่หลานกำลังจดบันทึกด้วยท่าทีจริงจังเป็นอย่างมากแล้วก็รู้สึกเหลือเชื่อ “เธอยังต้องจดบันทึกเนื้อหาเหล่านี้อีกเหรอ?”

“การจำไม่ดีเท่ากับการจด ไม่ใช่ว่าการจดบันทึกไว้มันดีกว่าเหรอ?”

เซี่ยปิงหรุ่ย “……”

หากไม่รู้ว่าฉินมู่หลานเป็นคนคิดค้นพัฒนายาพิเศษเหล่านั้น เธออาจจะเชื่อแล้ว “ฉันไม่เชื่อว่าเธอไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เดิมทีเธอไม่จำเป็นต้องจดเลย”

ฉินมู่หลานเพิกเฉยต่อคำพูดของเซี่ยปิงหรุ่ยและยังคงจดบันทึกข้อควรรู้อีกหลายอย่าง อันที่จริงเนื้อหาเหล่านี้เธอท่องจำจนขึ้นใจแล้ว แต่เมื่อฟังการบรรยายอีกครั้ง เธอพบว่าตนเองมีความเข้าใจที่แตกต่างออกไป ดังนั้นจึงลงมือจดบันทึก อย่างไรก็ตามสิ่งที่เธอต้องจดจำก็มีไม่มากนัก ในไม่ช้าก็วางปากกาลง

หลังจากเซี่ยปิงหรุ่ยเห็นว่าฉินมู่หลานวางปากกาลง หล่อนเอ่ยถามทันใด “ช่วงนี้เธอกำลังค้นคว้าวิจัยยาตัวใหม่อยู่หรือเปล่า?”

“เปล่า”

ฉินมู่หลานพลันส่ายศีรษะและกล่าว “ช่วงนี้ฉันกำลังค้นคว้าวิจัยเครื่องสำอาง วางแผนเปิดตัวเครื่องสำอางพิเศษหลายอย่าง ทำให้ผู้คนเห็นเพียงแวบแรกก็รู้ได้ว่าเป็นสิ่งของของประเทศพวกเรา”

เมื่อเอ่ยถึงตอนสุดท้าย เธอพลันเกิดความคิดใหม่ เครื่องสำอางมีอยู่แล้ว แต่บรรจุภัณฑ์กลับยังไม่มี เธอสามารถสั่งทำบรรจุภัณฑ์สไตล์จีนได้และยังสามารถสลักภาพนูนสูงสไตล์จีนลงบนแป้งอัดแข็งและอายแชโดว์ได้อีกด้วย ผู้คนสามารถรู้ได้ในทันใดว่านี่เป็นสิ่งของของประเทศจีน แต่ติดตรงที่ว่า…..ไม่รู้จะสามารถทำออกมาได้หรือไม่

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ฉินมู่หลานก็รู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย มีเรื่องต้องทำมากเกินไปแล้ว

หลังจากเซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน หล่อนก็เอ่ยด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “อะไรนะ……. เครื่องสำอาง เธอไม่ค้นคว้าวิจัยยาให้ดี จู่ๆเธอก็ไปทำเครื่องสำอางอะไรนั่นแล้วเหรอ”

ได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานขมวดคิ้วเหลือบมองเซี่ยปิงหรุ่ยและเอ่ย “ผลิตเครื่องสำอางแล้วอย่างไร เรื่องนี้ไม่ได้กระทบอะไรต่อการพัฒนายาของฉันเลย”

“ทำไมจะไม่กระทบล่ะ เธอใช้ความคิดไปกับเครื่องสำอาง เช่นนั้นเธอยังจะมีกะจิตกะใจค้นคว้าวิจัยยาอีกงั้นเหรอ เธอจัดลำดับความสำคัญสลับกันแล้ว” สีหน้าของเซี่ยปิงหรุ่ยพลันจริงจัง ราวกับว่าฉินมู่หลานได้ทำเรื่องบางอย่างที่ไม่สมควรทำ

ฉินมู่หลานเห็นสถานการณ์นี้ก็รู้สึกว่าเซี่ยปิงหรุ่ยประหลาดเล็กน้อย เธอจึงไม่ได้สนใจอีกและจดบันทึกความคิดที่ตนเองเพิ่งคิดได้ลงไป หลังจากจดเสร็จแล้ว คาบเรียนถัดไปก็ได้เริ่มขึ้น

เมื่อคาบเรียนได้เริ่มต้นขึ้น ฉินมู่หลานตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก

เดิมทีเซี่ยปิงหรุ่ยยังคงรับบทฟังเรียนด้วยความไม่อดทน อย่างไรเสียเนื้อหาเหล่านี้หล่อนเองก็รู้หมดแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานจริงจังขนาดนั้น หล่อนก็ค่อยๆสงบลง ความไม่อดทนในตอนนั้นแรกถูกแทนที่ด้วยอารมณ์สงบอย่างเชื่องช้า พบว่าการเปลี่ยนอารมณ์รับฟังการบรรยายนั้นราวกับว่ามีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป

หลังจากคาบนี้เสร็จสิ้นลง เซี่ยปิงหรุ่ยอดไม่ได้ที่จะมองฉินมู่หลานและเอ่ย “เธอยอดเยี่ยมมาก”

ฉินมู่หลานเหลือบมองเธอด้วยความฉงนและเอ่ย “เธอพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร”

“ไม่มีอะไร ก็แค่ชมว่าเธอยอดเยี่ยม”

ฉินมู่หลานเองก็ไม่ได้สนใจเซี่ยปิงหรุ่ยอีกและเอ่ยถามโดยตรง “ไปกินข้าวที่โรงอาหารไหม”

“ไปสิ แน่นอนว่าต้องกินข้าว”

เซี่ยปิงหรุ่ยเองก็เก็บหนังสือเรียน หลังจากนั้นไปยังโรงอาหารพร้อมกับฉินมู่หลาน ซึ่งประเภทอาหารภายในโรงอาหารนั้นไม่มากนัก ฉินมู่หลานรู้สึกไม่ค่อยมีอะไร จากนั้นสั่งกับข้าวเนื้ออย่างหนึ่ง ผักอย่างหนึ่งและข้าวพูนชาม

เซี่ยปิงหรุ่ยกลับขมวดคิ้วจ้องมองกับข้าวภายในตู้กระจก สุดท้ายก็สั่งกับข้าวเหมือนกับฉินมู่หลาน ต่างตรงที่หล่อนขอข้าวพอดีชาม “เธอสั่งข้าวเยอะขนาดนั้น กินหมดเหรอ?”

หลังจากนั่งลง ฉินมู่หลานพยักหน้าและเอ่ย “แน่นอนว่ากินหมด” เดิมทีเธอมีความอยากอาหารเป็นอย่างมาก ต่อมาเพื่อการลดน้ำหนักก็กินน้อยลงและยังคงรู้สึกหิว อย่างไรก็ตามหลังจากผอมลงแล้วและน้ำหนักของเธอคงที่แล้ว ในที่สุดเธอก็สามารถกินอาหารได้มากขึ้นอีกเล็กน้อย

ตอนแรกเซี่ยปิงหรุ่ยรู้สึกไม่เชื่อเท่าไรนัก จนกระทั่งฉินมู่หลานกินเกือบจะหมดแล้ว หล่อนจึงเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “มองไม่ออกเลยว่าเธอจะกินเก่งขนาดนี้”

“ฉันเองก็คาดไม่ถึงว่าเธอจะกินน้อยขนาดนี้”

ฉินมู่หลานชำเลืองมองเซี่ยปิงหรุ่ยเช่นเดียวกันและรู้สึกว่าความอยากอาหารของอีกฝ่ายนั้นน้อยมากจริงๆ ขณะนี้ผู้คนส่วนใหญ่สามารถกินอาหารได้ดี คนทั่วไปมักจะกินกันจนอิ่มท้อง ข้าวเพียงครึ่งชามนั้นนับไม่เพียงพอ

เซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินเช่นนั้นกลับเอ่ย “กับข้าวแย่มาก ฉันกินไม่ลง”

“อาหารโรงอาหารก็เป็นแบบนี้ ดังนั้นเธอจะต้องปรับตัวให้มาก”

ฉินมู่หลานมองออก ฐานะทางบ้านของเซี่ยปิงหรุ่ยนั้นจะต้องดีมากอย่างแน่นอน ไม่เห็นเหรอว่าแม้แต่การปูเตียงหล่อนก็ไม่สามารถทำได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ตอนกลางคืนเธอพักที่หอพักหรือเปล่า?”

เซี่ยปิงหรุ่ยเอ่ยพลางส่ายศีรษะ “ไม่ได้อยู่ ฉันมีที่พักอยู่ภายในปักกิ่ง ที่นั่นมีคนคอยดูแลเรื่องชีวิตภายในประจำวันของฉัน ดังนั้นฉันไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่หอพัก”

เข้าใจแล้ว ที่พักนั้นมีคนคอยดูแล ดังนั้นเซี่ยปิงหรุ่ยไม่พักอาศัยอยู่ในหอพักอย่างแน่นอน

“ตอนเที่ยงฉันว่าจะไปพักผ่อนที่หอพักสักหน่อย เธอไปไหม”

“ไปแน่นอน ไม่อย่างนั้นฉันเองก็ไม่มีสถานที่พักผ่อนในตอนเที่ยง”

หลังจากทั้งสองคนกินอาหารเสร็จก็วางแผนจะกลับหอพัก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฉินมู่หลานคาดไม่ถึงคือทันทีที่เธอเดินออกจากโรงอาหารก็เผอิญกระแทกเข้ากับเซี่ยอวี่หรง

เซี่ยอวี่หรงชำเลืองมองฉินมู่หลานทันใด ขณะเดียวกันเองก็มองไปยังเซี่ยปิงหรุ่ยที่อยู่ด้านข้างหล่อน

“เธอ……คุณหนูใหญ่……”

…………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อ้าว คนตระกูลเดียวกับยัยอวี่หรงซะงั้น ว่าแต่ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อเลยล่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท