ตอนที่ 310 มีเงินก็มักจะแสดงอำนาจ(1)
ตอนที่ 310 มีเงินก็มักจะแสดงอำนาจ(1)
ได้ยินคำพูดนี้ของหลิวเสวียข่าย ฉินมู่หลานพลันยิ้มและเอ่ย “หัวหน้าหลิววางใจได้ค่ะ ในเมื่อฉันพูดแล้วก็ย่อมรักษาคำพูด หลังจากเครื่องสำอางภายในมือของฉันเสร็จสิ้นแล้วจะติดต่อหาคุณทันทีค่ะ”
“ตกลงครับ งั้นผมจะรอข่าวจากคุณ”
ฉินมู่หลานยิ้มพลางพยักหน้า แต่เธอเองก็เอ่ยถามถึงเรื่องเคาน์เตอร์ภายในห้างสรรพสินค้า “จริงสิคะหัวหน้าหลิว เคาน์เตอร์เหล่านั้นจัดเรียงตามระบบเดียวกันหรือเปล่าคะ หรือว่าสามารถจัดเรียงตามความคิดของฉันได้เลย?”
หลิวเสวียข่ายได้ยินเช่นนี้พลันชำเลืองมองฉินมู่หลานและเอ่ยถาม “คุณมีความคิดอะไรในเรื่องการจัดวางบนเคาน์เตอร์หรือเปล่าครับ?”
“ฉันอยากจัดวางให้โดดเด่นเล็กน้อย”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานกล่าวเช่นนี้ หลิวเสวียข่ายก็เปิดทางให้ความสะดวก “หากคุณมีความคิดอะไรก็สามารถบอกผมได้ หรือถ้าอยากไปดูด้วยตนเองก็ได้เช่นกัน”
“เช่นนั้นก็รบกวนหัวหน้าหลิวแล้ว ฉันอยากจะเข้าไปดูด้วยตนเอง จากนั้นค่อยจัดวางตามสถานการณ์หน้างานน่ะค่ะ”
“ได้ครับ”
หลิวเสวียข่ายตอบรับทันใด “ในเมื่อคุณมีความคิดของตนเองแล้ว เช่นนั้นเรื่องการจัดวางเคาน์เตอร์ผมจะไม่เข้าไปดำเนินการ รอให้คุณเข้าไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะหัวหน้าหลิว”
ทั้งสองคนพูดคุยรายละเอียดกันเล็กน้อย หลังจากนั้นหลิวเสวียข่ายก็จากไป
เมื่อหลิวเสวียข่ายจากไปแล้ว ซูหว่านอี๋เอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย “มู่หลาน หัวหน้าตอบรับด้วยความรวดเร็วขนาดนั้น แต่เครื่องสำอางภายในมือยังทำไม่เสร็จเลย แถมลูกก็เปิดเทอมแล้ว เช่นนี้จะทำอย่างไร”
“แม่คะ แม่ไม่ต้องกังวล เครื่องสำอางล็อตแรกนั้นจะถูกผลิตออกมาได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าต้องการผลิตครั้งต่อไปพวกเราจะต้องสร้างโรงงานขนาดเล็กแล้วค่ะ”
“ไอหยา…… ตอนนี้สร้างโรงงานก็คงไม่ทันแล้ว เรื่องนี้เร่งด่วนเกินไปแล้วจริงๆ พวกเราควรจะเลื่อนเวลาเครื่องสำอางตัวใหม่ออกไปอีกสักหน่อย”
เหยาจิ้งจือที่อยู่ด้านข้างก็กังวลเช่นเดียวกัน
“ใช่แล้วมู่หลาน พวกเราทำไม่ทันแน่นอน”
ใบหน้าของฉินมู่หลานกลับดูผ่อนคลาย “แม่คะ พวกแม่ไม่ต้องกังวล ตอนแรกที่เสนอการนำเครื่องสำอางเข้าสู่ร้านค้ากับหัวหน้าหลิวนั้น หนูได้เริ่มค้นหาโรงงานขนาดเล็กและอุปกรณ์เหล่านั้นแล้ว ทางด้านลุงเจี่ยงก็มีข่าวคราวแล้ว แต่ภายในระยะสั้นๆ นี้ยังไม่สามารถเปิดได้ ยังต้องพึ่งพาการผลิตด้วยมือของพวกเรา ซึ่งตอนนี้ก็ได้รับการช่วยเหลือจากพวกแม่ทั้งสองคนแล้ว ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอนค่ะ”
เห็นฉินมู่หลานกล่าวเช่นนี้ เหยาจิ้งจือและซูหว่านอี๋ก็วางใจลงเล็กน้อย
ถึงอย่างนั้นสิ่งที่พวกหล่อนสองคนสามารถช่วยเหลือได้ในตอนนี้ก็มีขีดจำกัด สุดท้ายแล้วทั้งคู่จึงยังเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย ขณะเดียวกันก็กลัวว่าจะไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้ภายในเวลาที่กำหนด ได้แต่มองฉินมู่หลานและเอ่ยแนะนำ “ต้องการคนมาช่วยผลิตเครื่องสำอางเพิ่มอีกสักสองสามคนไหม ถ้ามีคนเยอะขึ้นก็คงทำได้รวดเร็วขึ้นแน่นอน”
ตอนแรกพวกหล่อนสองคนก็เริ่มต้นโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย แต่หลังจากได้รับการฝึกฝนมาตลอดสองวัน ก็สามารถทำเรื่องบางอย่างได้แล้ว
ฉินมู่หลานเองก็มีแผนการนี้อยู่แล้ว เธอมองซูหว่านอี๋และกล่าว “แม่คะ หนูเองก็มีความคิดนี้เหมือนกัน ภายในใจได้เลือกไว้แล้วสองคน คิดว่าพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองเป็นอย่างไรคะ”
ซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนั้นกลับขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ย “พี่สะใภ้ทั้งสองคนของลูกเป็นตัวเลือกที่ดี อันที่จริงก็ไม่มีปัญหาอะไร ติดที่ป้าสะใภ้ของลูกนี่สิ……หากหล่อนจงใจสร้างปัญหาอีกจะทำอย่างไร”
ก่อนหน้านี้ซุนฮุ่ยหงมักจะมาเดินป้วนเปี้ยนภายในลานบ้านเสมอ หากลูกสะใภ้ทั้งสองคนของหล่อนมาช่วยเหลือเรื่องทางนี้ หล่อนเองก็คงมาจับตาดูด้วย ซูหว่านอี๋รู้ดีว่าการผลิตเครื่องสำอางเหล่านี้ของลูกสาวต้องเก็บเป็นความลับ ไม่อย่างนั้นหากคนอื่นรู้สูตร เช่นนั้นก็สามารถนำไปผลิตเองได้
ตอนแรกฉินมู่หลานเองก็กังวลเรื่องนี้
แต่หลังจากที่ครั้งก่อนเธอเอ่ยเตือนซุนฮุ่ยหง หล่อนก็ไม่เคยย่างกรายมาที่เรือนสี่ประสานอีกเลย เธอจึงรู้ว่าสิ่งที่ซุนฮุ่ยหงกังวลมากที่สุดก็คือการที่ไม่สามารถอยู่ภายในปักกิ่งได้อีก ตราบใดที่หล่อนรู้ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่หล่อนได้กระทำนั้นส่งผลกระทบต่อแผนการหารายได้เข้าสู่ครอบครัว หล่อนเองก็ไม่กล้าทำอะไรเหล่านั้นอีก
“ทางด้านป้าสะใภ้นั้นไม่ต้องกังวลเลยค่ะ หลังจากพี่สะใภ้ทั้งสองคนมาแล้ว เด็กทั้งสองคนนั้นต้องให้หล่อนและลุงคอยดูแล จะเอาเวลาที่ไหนมาสร้างปัญหาได้ล่ะคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซูหว่านอี๋พลันมีปฏิกิริยาตอบรับ
ใช่แล้ว หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งนั้นมีลูกแล้ว เมื่อพวกหล่อนมาทำการผลิตเครื่องสำอาง ก็ต้องให้ซุนฮุ่ยหงคอยดูแลเด็กๆ เมื่อคิดได้เช่นนี้ หล่อนจึงคลายกังวล “ก็ใช่ งั้นเดี๋ยวฉันจะไปบอกจาวตี้และอวี้เฟิ่ง ให้พวกหล่อนมาช่วยพรุ่งนี้ตอนเช้า”
“ได้ค่ะแม่ ลำบากแม่แล้วต้องเทียวไปเทียวมา ส่วนเรื่องของเงินเดือน แม่บอกพวกหล่อนอย่างตรงไปตรงมาเลยค่ะ ว่ารายได้พอๆ กับคนงานทั่วไป”
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
ซูหว่านอี๋จัดการด้วยความรวดเร็ว หลังจากปรึกษากับลูกสาวแล้วก็รีบตรงไปยังบ้านเช่าของครอบครัวฉินเจี้ยนหัว
ซุนฮุ่ยหงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นซูหว่านอี๋มาหา อดไม่ได้ที่จะถาม “น้องสะใภ้ เธอมาได้อย่างไร”
“ฉันมาหาจาวตี้กับอวี้เฟิ่งค่ะ”
“เธอมาหาพวกหล่อนทำไม?” ซุนฮุ่ยหงชำเลืองมองซูหว่านอี๋ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย จากนั้นมองสำรวจน้องสะใภ้คนนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เมื่อเห็นรูปลักษณ์สง่างามอ่อนเยาว์และงดงามของอีกฝ่าย สุดท้ายรู้สึกริษยาเล็กน้อย ตั้งแต่มายังปักกิ่ง น้องสะใภ้คนนี้ดูเหมือนว่าจะอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับพวกหล่อน”
โดยไม่รอให้ซุนฮุ่ยหงเอ่ยถามต่อ หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งก็ปรากฏตัวออกมา
“อาสะใภ้ คุณมาหาพวกเราเหรอคะ?”
“ใช่ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับพวกเธอสักหน่อย” ซูหว่านอี๋เห็นทั้งสองคนออกมาก็ยิ้มพลางเอ่ย เดิมทีเธออยากจะพูดคุยกับทั้งสองคนเพียงลำพัง แต่เมื่อเห็นว่าซุนฮุ่ยหงไม่มีท่าทีจะเดินกลับไป หล่อนพลันเอ่ยโดยออกมาโดยตรง
หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งต่างก็คาดไม่ถึงว่าซูหว่านอี๋มาหาพวกหล่อนเพราะมีงานให้ทำและเงินเดือนยังเหมือนกับพนักงานทั่วไป เรื่องราวที่ดีเช่นนี้จะหาได้จากที่ไหน ดังนั้นพวกหล่อนจึงตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด
ซุนฮุ่ยหงเห็นสถานการณ์นี้พลันเอ่ยถาม “น้องสะใภ้ ฉันล่ะ ฉันเองก็ทำได้เช่นกันนะ”
“พี่สะใภ้คะ จาวตี้และอวี้เฟิ่งต่างก็ต้องทำงาน เช่นนั้นเด็กทั้งสองคนก็ต้องให้คุณคอยดูแล ดังนั้นคุณอยู่ที่นี่เถอะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ซุนฮุ่ยหงพลันกล่าวด้วยความโกรธ “ทำไมฉันถึงไปทำงานด้วยไม่ได้ ถ้าฉันไปทำงาน ก็ปล่อยให้พวกหล่อนดูแลเด็กๆ ไป”
หวังจาวตี้และซ่งอวี้เฟิ่งได้ยินเช่นนั้นพลันแสดงสีหน้าน่าเกลียด
โดยเฉพาะซ่งอวี้เฟิ่ง เพราะหล่อนให้กำเนิดลูกสาว ทำให้แม่สามีไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ กว่าหล่อนจะมีโอกาสได้หาเงินนั้นไม่ง่ายเลย แถมยังได้เงินเท่ากับคนงานทั่วไป แต่สุดท้ายแม่สามีก็ยังไม่ยินยอมช่วยดูแลลูก แม่สามีคิดอย่างไรกันแน่ ทำเหมือนกับลูกสาวของหล่อนไม่ใช่หลานสาวของตนเองอย่างไรอย่างนั้น
ซูหว่านอี๋ได้ยินคำพูดนี้ของซุนฮุ่ยหงแล้วก็เอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “แต่มู่หลานบอกไว้ว่าหล่อนต้องการให้พี่สะใภ้สองคนนี้ไปทำงาน ไม่ได้ต้องการคุณ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ป้าอยู่เลี้ยงหลานไปเถอะค่ะ อย่าไปวุ่นวายกิจการของมู่หลานเลย
ไหหม่า(海馬)