“ดีล่ะ วันนี้เองก็มาเริ่มคุยเรื่องความรักกันอีกเหอะ!”
ในตอนที่ผมกำลังออกจากห้องเรียนเพื่อไปเรียนคาบศิลปะที่ห้องศิลปะโทชิยะก็เข้ามาหยุดผมไว้ซึ่งต่างจากผมเจ้าโทชิยะที่เลือกลงวิชาดนตรีเป็นวิชาสายศิลป์ของเขาเพราะงั้นถึงได้สงสัยว่าอยู่ๆทำไมโทชิยะถึงได้มาเบรคผมและขอร้องชวนคุยเรื่องก่อนหน้านี้อีก
“มีเรื่องอะไรล่ะ? คาบต่อไปเป็นคาบศิลปะต้องรีบไปแล้ว”
เพื่อนร่วมชั้นก็เริ่มทยอยออกไปกันแล้วเหลือแค่ผมกับโทชิยะและก็คุณชิมิสึที่ยังนอนฟุ้บหลับอยู่ข้างๆผม
“อย่าห่วงไปเลยน่า คาบล่าสุดเลิกไวกว่าปกติเพราะงั้นยังมีเวลาเหลือเฟืออีกอย่างต่อให้ไม่ทันจริงๆก็ค่อยวิ่งไปเอาก็ได้”
ก็ถ้าเวลามันเหลือกระชั้นชิดจนถึงขั้นที่จะต้องสับตีนแตกแล้วล่ะก็ผมก็คิดว่าคงมีแต่โทชิยะเท่านั้นแหละที่ทำได้น่ะเพราะว่าตัวเราเองก็ไม่แน่ใจว่าจะวิ่งไปทันเวลารึเปล่า
จะยังไงก็เถอะรีบคุยๆกับหมอนี่จนกว่าจะพอใจดีกว่ามานั่งเถียงให้เปลืองน้ำลายดีกว่า
“เข้าใจแล้วน่า ว่าแต่วันจะคุยเรื่องอะไรกันดีล่ะ?”
“นั่นสิน้า หัวข้อเรื่องความรักของวันนี้เอาเป็นอะไรดีน้า…..”
นี่เอ็งมารั้งคนอื่นโดยที่ไม่ได้มีแผนอะไรเลยเนี่ยนะ? เอาเถอะก็สมกับเป็นโทชิยะ
“ห้องศิลปะมันค่อนข้างไกลเลยถ้าไม่มีอะไรจะคุยงั้นก็ขอตัวก่อนนะ”
“เดี๋ยวเด้! ชั้นน่ะนะตอนนี้มันดันรู้สึกอยากคุยเรื่องความรักนี่หว่า ขอคิดหัวข้อแปบนึงช่วยนั่งรอสักประเดี๋ยวสิ”
ผมมองไปยังนาฬิกาบนผนังของห้องเรียนและก็เป็นอย่างที่โทชิยะพูดก็คือตอนนี้ยังเหลือเวลาให้ทำเรื่องสัพเพเหระอยู่พอสมควรก่อนที่คาบต่อไปจะเริ่มรวมถึงเวลาที่ใช้ในการเดินทางไปยังห้องเรียนด้วย
“……แต่ถ้ายังคิดอะไรไม่ออกอยู่อีกก็จะไปจริงๆล่ะนะ”
“ขอบใจมากสหายข้า!”
“งั้นก็มาเริ่มจากคุยกันตามปกติก่อนแล้วค่อยๆขยับไปคุยเรื่องความรักก็แล้วกัน”
“เอาตามนั้นละกัน งั้นก็เปิดด้วยที่อยากถามนายมาตลอดเลยแล้วกันว่าทำไมถึงได้เลือกลงวิชาศิลปะ?”
“ก็ง่ายๆเพราะชั้นชอบวาดรูปสุดใน 3 วิชาสายศิลป์อย่าง ศิลปะ,ดนตรีและคัดลายมือยังไงล่ะว่าแต่นายเองเถอะทำไมถึงได้เลือกลงวิชาดนตรีล่ะ? อารมณ์สุนทรีย์ชอบดนตรีขนาดนั้นเลยรึ?”
เราคุยกันเป็นประจำช่วงพักเที่ยงเป็นปีๆแต่ก็ไม่เห็นจะเคยได้ยินโทชิยะพูดเรื่องดนตรีเลยสักแอะ
“เหตุผลที่เลือกลงดนตรีมันก็ง่ายนิดเดียวก็เพราะว่าคุณเซโตะลงยังไงล่ะ”
ไม่รู้ทำไมแต่หน้าของโทชิยะดูภูมิใจมากที่พูดออกมา
“เห…..นั่นคือเหตุผลเองสินะ”
“การที่อยากอยู่ชมรมเดียวกับสาวที่ชอบมันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนนี่หว่า? ต่อให้ตอนที่คุณเซโตะบอกว่าเธอจะเป็นกรรมการห้องสมุดอีกปีนี้ชั้นก็ตัดสินใจที่จะเป็นเหมือนกัน”
“นี่แสดงว่าหลงหัวปักหัวปำตั้งแต่ช่วงเมษาปีที่แล้วเลยเหรอเนี่ย? หรือว่าจะเป็นรักแรกพบ?”
โทชิยะเป็นคณะกรรมการดูแลห้องสมุดกับคุณเซโตะตั้งแต่ปีก่อนแล้วและถ้าเกิดที่หมอนี่พูดมาเป็นความจริงแบบนี้ที่เขาเข้าคณะกรรมการดูแลห้องสมุดก็เพื่อที่จะได้มีปฏิสัมพันธ์กับคุณเซโตะมากขึ้นงั้นสินะ? และพอผมบอกว่า ‘หรือว่าจะเป็นรักแรกพบ’ ผมก็สัมผัสได้ถึงหัวของคุณชิมิสึที่น่าจะหลับอยู่ข้างๆกระตุกเล็กน้อย
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย อย่างน้อยๆช่วงเมษาที่ผ่านมาคุณเซโตะก็ยังเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นเองที่ไปเป็นคณะกรรมการดูแลห้องสมุดก็เพราะขี้เกียจไปยุ่งยากกับที่อื่นก็เท่านั้นแหละ”
“อย่างนี้นี่เอง นึกว่าเข้าไปเพราะชอบหล่อนซะอีกนะ”
“เห็นงี้ชั้นก็ไม่ใช่พวกหลงใครง่ายๆนะเฟ้ยถึงบางทีภายนอกจะคิดว่าเธอน่ารักดีก็เถอะแต่แค่นั้นก็ไม่พอที่จะอยากขอคบหรอก”
โทชิยะนี่หัวรั้นกว่าที่คิดแฮะ ผมมองไปที่คุณชิมิสึแล้วก็เห็นว่าฟุ้บอยู่นิ่งไม่ไหวติงก่อนหน้าที่เห็นว่าเธอขยับผมคงจะคิดไปเองแต่ไม่ว่าจะยังไงก็น่าจะต้องปลุกด้วยเพราะพวกเราจะต้องย้ายห้องเรียนเพื่อไปเรียนวิชาถัดไป
“อ๊ะ!”
“มีอะไรรึโทชิยะ?”
ในขณะที่ผมกำลังคิดหาวิธีว่าจะปลุกคุณชิมิสึยังไงดีโทชิยะก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“ชั้นคิดหัวข้อพูดคุยเรื่องความรักออกแล้วล่ะก็คือมาทำให้วันนี้เป็นคาบเรียนหวานแหววกับสาวที่ชอบกันเหอะ!:
“คาบเรียนหวานแหววกับสาวที่ชอบ?”
“ใช่แล้ว แม้แต่ช่วงเวลาเรียนอันสุดแสนจะน่าเบื่อแต่ก็ยังสนุกไปกับหญิงสาวที่ชอบได้ใช่ไหมล๊า? วันนี้ก็ลองมานึกจำลองสถานการณ์ที่นายจะได้สนุกกับสาวที่ชอบในคาบเรียนกันเถอะ!”
“ก่อนจะคิดเอาสนุกก็หัดตั้งใจเรียนก่อนเถอะพ่อคุณ”
ก็ช่วยไม่ได้แต่หมอนี่ดูไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนเลยสักนิดแต่พอพูดถึงตอนสอบไม่ใช่แค่ทำคะแนนได้ดีกว่าผมแต่อันดับยังค่อนข้างสูงอีกต่างหาก
“อย่าพูดอย่างนั้นเซ่ไดกินายต้องหัดสนุกไปกับทุกๆเรื่องในชีวิตนะรู้ไหม? อืม ส่วนสถานการณ์ก็…..นายช่วยยกมาสักเรื่องหน่อยได้มะ?”
“เห…ไม่รู้สิก็แบบว่าไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยในเวลาอยู่ในคาบเรียนกับใครเลยนี่นาจะให้นึกออกได้ไงล่ะ?”
“ก็จริงของนายแล้วจะเอาไงดีนะ”
แล้วโทชิยะมีอะไรอยากทำตอนอยู่ในคาบเรียนกับคุณเซโตะรึเปล่า?”
“เรื่องนั้น….”
โทชิยะยืนกอดอกคร่ำครวญจนผมสัมผัสได้ว่าคนอย่างหมอนี่ถ้าคิดทำการใหญ่อะไรก็คงจะสำเร็จได้ถ้ามุ่งมั่นคิดอย่างเอาเป็นเอาตายแบบนี้บ้างกับเรื่องอื่นที่มีสาระล่ะนะแต่เพราะด้วยนิสัยแบบนี้นี่แหละถึงได้ทำให้เป็นไปไม่ได้
“นึกออกแล้ว! ฟังนะๆไดกิ!!”
“อ่าๆว่ามา”
“ตอนอยู่ในคาบ ชั้นรู้สึกเบื่อก็เลยเหลือบไปมองคุณเซโตะและในขณะเดียวกันคุณเซโตะเธอก็เหลือบมองมาทางชั้นสบตากันปิ๊งๆพอดีและเราสองคนก็ต่างประหม่าและรีบหันหน้าหนีกันจากนั้นเราทั้งคู่ก็เริ่มคิดถึงเรื่องของกันและกัน! นายไม่คิดว่ามันเป็นสถานการณ์ที่สุดยอดไปเลยไม่ใช่รึยังไงเนี่ย!”
“ก็ถือว่าดีสำหรับไอเดียด้นสดล่ะนะ”
มันเป็นสถานการณ์ปกติที่มักจะเจอในมังงะรอมคอมทั่วไป
“ใช่ม้า? แล้วไดกิล่ะ? เป็นนายจะประทับใจบ้างปะ?”
“คือมันก็ดีนะมันทำให้ตื่นเต้นว่ามีคนที่คอยแคร์เราอยู่น่ะ”
“เข้าใจเลยใช่ม้า! สถานการณ์แบบนั้นมันเยี่ยมสุดๆไปเลยล่ะน้า”
แต่ข้อเสียคือมันจะแป้กถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใยดีเราแต่มันก็เป็นอีกวิธีที่น่าสนใจที่จะทำให้รู้สึกประหม่าแถมตื่นเต้นเวลาอยู่ในคาบเรียน
“เอาล่ะ อันแรกผ่านไปเดี๋ยวที่เหลือจะค่อยๆทยอยมาล่ะนะ”
“นี่ยังจะต่ออีกเหรอ?”
ก็ประทับใจอยู่หรอกที่เขาคิดสถานการณ์เวลาที่นักเรียนอย่างเราๆถูกจำกัดการกระทำระหว่างที่อยู่ในคาบเรียน
“แหงสิ ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือขนาดนี้ มาๆคราวนี้อยากฟังไอเดียสถานการณ์ชวนใจเต้นของทางไดกิบ้างแล้ว!”
“ให้มาคิดเรื่องแบบนั้นชั้นไม่ไหวหรอก”
“อย่าคิดมากน่า นายทำได้อยู่แล้วเพราะนายคือชายที่สามารถดลบันดาลอะไรก็ได้ไงล่ะ”
ก็ถ้าเป็นไปได้ก็ขอได้ยินคำพูดปลอบใจในสถานการณ์อื่นเถอะผมไม่เหมือนกับโทชิยะที่จินตนาการสูงส่วนตัวผมไม่ค่อยหัวแล่นเรื่องจินตนาการสักเท่าไหร่
นี่น่ะเหรอความแตกต่างระหว่างคนที่มีความรักกับคนที่ไม่ได้มีความรักน่ะ?
ผมคิดทบทวนอีกครั้งและก็เกิดความคิดนึงที่อาจดูคลุมเครือๆแต่ดูจะลงล็อคพอดี
“ก็ถ้าไอเดียมันไม่ได้ดีเด่อะไรก็ยังได้ใช่ไหม?”
“ได้อยู่แล้วแล้วว่ายังไง?”
“ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสถานการณ์ได้ไหมนะแต่ในบางคาบเรียนมันก็จะต้องมีคาบที่จะต้องทำงานร่วมกันกับเพื่อนร่วมชั้นใช่ไหมล่ะชั้นว่าคงจะดีถ้าได้ทำงานกับสาวที่ชอบน่ะ”
ผมว่ามันค่อนข้างคลุมเครือแต่ก็คิดเรื่องอื่นไม่ออกแล้วจริงๆก็มันช่วยไม่ได้นี่นา
โทชิยะทำท่าทางครุ่นคิดครู่นึงก่อนจะเปิดปากพูด
“ถ้าชั้นจะใช้เรื่องนี้กับตัวเองบ้างชั้นจะขอให้คุณเซโตะช่วยสอนวิธีเป่าขลุ่ยตอนอยู่ในห้องซ้อมดนตรี! เยี่ยม! อยากให้คุณเซโตะช่วยสอนชั้นเป่าขลุ่ยชะมัดเล๊ยย!”
มันเป็นไอเดียที่ดูคลุมเครือๆแต่เหมือนหมอนี่จะเข้าใจในทางใดทางนึงล่ะนะ
รู้สึกตกใจนิดหน่อยแฮะที่หมอนี่หาวิธีเอาไปปรับใช้กับตัวเองได้รวดเร็วขนาดนี้
“พอได้ยินแบบนี้แล้วชักจะมีใจเรียนคาบดนตรีซะแล้วสิ! จะรีบไปหาเดี๋ยวนี้แหละคร้าบคุณเซโตะ!!”
“ดะ-เดี๋ยวดิเฮ้ย! ใช่ว่าจะให้เจ้าหล่อนสอนในคาบเรียนตลอดมันก็….”
โทชิยะพุ่งออกจากห้องเรียนไปจนเสียงของผมส่งไปไม่ถึงเขา
“พอได้หมกมุ่นกับอะไรแล้วก็ไม่เคยคิดจะฟังคนอื่นเลยจริงๆนะ…..”
และในขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะไปที่ห้องเรียนศิลปะบ้างหลังจากที่โทชิยะพุ่งออกไป
ผมก็นึกถึงเรื่องที่ผมต้องทำก่อนยหน้านั้นได้
(จริงสิ เราต้องปลุกคุณชิมิสึก่อน)
ผมมองไปยังที่นั่งข้างๆแต่ว่าคุณชิมิสึที่ควรจะนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อกี้นี้ได้หายไปซะแล้วและเหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังอยู่ในห้อง
เมื่อผมมาถึงห้องศิลปะก็เหลือเวลาอีกราวๆหนึ่งนาทีก่อนที่คาบเรียนจะเริ่มดูดูเหมือนว่าบทสนทนาเรื่องความรักของพวกเราจะจบได้ทันเวลาฉิวเฉียดและพอผมนั่งลงตรงที่นั่งเหล่านักเรียนก็ยังคุยกันจอแจและแม้ว่าผมจะไม่ได้ตั้งใจที่จะฟังเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันก็ตามแต่ก็ได้ยินสิ่งที่คนรอบๆตัวผมพูดอยู่ดี
“คุณชิมิสึย้อมผมดำมาจริงๆด้วยแฮะ”
“ว่าแต่ทำไมเธอถึงได้ย้อมอ่ะ?”
“จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ถามใครต่อใครแล้วเขาก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน”
ดูเหมือนคุณชิมิสึจะเป็นหัวข้อหลักของการสนทนาไปซะแล้ว
มีนักเรียนจากห้องอื่นก็เข้ามาเรียนร่วมกันเนื่องจากหลักสูตรวิชาศิลปะจัดให้เรียนร่วมกับอีกสองห้องแล้วข่าวเรื่องการเปลี่ยนแปลงของคุณชิมิสึที่พึ่งจะซาลงไปเมื่อวันสองวันก่อนก็ดูเหมือนจะเป็นข่าวใหม่สำหรับนักเรียนจากห้องอื่น
(คุณชิมิสึจะเป็นอะไรรึเปล่านะ?)
ผมเหลือบไปมองคุณชิมิสึตามลำดับที่นั่งของวิชาศิลปะซึ่งที่นั่งของคุณชิมิสึอยู่แนวทแยงจากด้านหลังของผม
คุณชิมิสึดูเหมือนจะรู้ว่ามีคนพูดถึงเธออยู่และดูอารมณ์ไม่จอยด้วยแต่ตอนนี้ผมก็ถามไถ่อะไรเธอไม่ได้เพราะเรานั่งอยู่ค่อนข้างห่างกันพอสมควรและในขณะที่ผมคิดว่าจะทำยังไงดีประตูก็ถูกเปิดออกแล้วอาจารย์สอนวิชาศิลปะก็เดินเข้ามา
“วันนี้พวกเธอดูเอะอะกว่าปกตินะ คาบเรียนจะเริ่มแล้วช่วยเงียบด้วยล่ะ”
อาจารย์ดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจว่าทำไมนักเรียนถึงได้เอะอะเสียงดังกันแวะเริ่มสอนโดยที่ไม่ได้สนใจอะไร
“วันนี้จะเรียนในหนังสือกันก่อนแล้วค่อยเริ่มวาดรูปกันไว้ครูจะบอกพวกเธอว่าจะได้วาดอะไรแต่ตอนนี้ให้เปิดหนังสือเรียนไปที่หน้า 23 ด้วย”
แล้วอาจารย์ก็เริ่มอธิบายภาพวาดบางจุดที่อยู่ในหนังสือเรียน
ในคาบศิลปะนี้นักเรียนไม่ค่อยได้ถูกโยนให้อ่านตำราเราเน้นให้ฟังแต่ที่อาจารยสอน
ขณะที่ผมหลุดสมาธิจากที่อาจารย์กำลังสอนอยู่ผมก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกำลังจ้องมองมาจากทางด้านหลังของผมแล้วผมก็ค่อยๆหันกลับไปมองอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้อาจารย์จับได้และก็ได้พบกับที่มาของมันนั่นก็คือคุณชิมิสึจ้องเขม็งมาที่ผมใหญ่เลยในขณะที่นักเรียนคนอื่นๆกำลังตั้งใจดูหนังสือเรียนของตัวเองอยู่
ผมหันหน้ากลับไปดูหนังสือของตัวเองอย่างรวดเร็วดูเหมือนว่าการจ้องมองเมื่อกี้จะมาจากคุณชิมิสึ
ว่าแต่ไหงเราถึงได้ถูกคุณชิมิสึจ้องอย่างนั้นล่ะ?
(คิดว่าเมื่อกี้เธอจ้องมาที่เรานะ แต่บางทีก็อาจจะเผลอบังเอิญสบตากันพอดีก็ได้?)
ผมเองก็รู้สึกเบื่อหน่อยๆในช่วงที่ต้องนั่งฟังที่อาจารย์สอนและก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงได้ละสายตาจากหนังสือเรียน ผมเองก็อาจจะแค่บังเอิญหันหน้าไปในจังหวะที่เธอมองไปรอบๆเท่านั้นนั่นแหละ
ผมเหลือบมองไปทางด้านหลังอีกครั้งเพื่อยืนยันแต่คุณชิมิสึก็ยังคงจ้องมาที่ผมด้วยสายตาขวางแล้วผมก็สบตากับคุณชิมิสึจากนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้างและรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที
(ก็ว่าไม่ได้ทำอะไรผิดใจเธอนะ ไหงถึงได้จ้องเขม็งมาที่เราล่ะเนี่ย?)
ผมพยายามคิดถึงเหตุผลที่เป็นไปได้ บทสนทนาเดียวที่ผมได้คุยกับเธอคือเรื่องชีวิตประจำวันเรื่อยเปื่อยแค่นั้นและคุณชิสิสึก็ไม่ได้มีท่าทางเปลี่ยนไปตอนที่เราคุยกันเมื่อเช้านี้เลยนี่นา เรื่องเดียวที่ติดอยู่ในความคิดของผมคือหลังจากนั้นพวกเราก็มีพูดคุยเรื่องความรักกัน………
หรือบางทีคุณชิมิสึอาจจะตื่นเพราะเสียงที่ผมคุยกับโทชิยะและทำให้เธอเริ่มไม่พอใจผม
ถ้าเป็นเรื่องนั้นก็พอจะอธิบายว่าทำไมเธอถึงได้จ้องมาเมื่อกี้ได้ล่ะนะ
(นี่เธอโกรธเราจริงๆอย่างนั้นเหรอ?)
ผมมองไปทางด้านหลังอีกครั้งและเห็นว่าเธอเอามือมาจับแก้มแววตาของเธอมองต่ำและหน้าของเธอก็ดูเหมือนจะแดงขึ้น นี่เกิดอะไรขึ้นกับคุณชิมิสึช่วงที่เราสบตากันจนถึงตอนนี้กันล่ะเนี่ย? ในตอนที่ผมกำลังงุนงงตอนนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงแรงทุบเบาๆตรงบริเวณหัวของผมแล้วพอหันไปก็เห็นอาจารย์ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
“นี่…ฮอนโด จะหันกลับไปมองบ่อยเกินไปแล้วนะ มันอาจจะไม่ใช่การสอบก็จริงแต่อย่างน้อยๆก็ช่วยตั้งใจฟังสิ่งที่ครูกำลังอธิบายสักหน่อยสิ”
“ขอโทษด้วยครับ…..”
เสียงหัวเราะดังสนั่นไปทั่วห้องศิลปะ ดูเหมือนว่าไอ้ที่หล่นตุ้บที่รู้สึกเมื่อกี้นี้เกิดจากการที่อาจารย์เอาหนังสือมาเคาะหัวของผม โชคยังดีที่อาจารย์ไม่น่าจะโมโหผมจริงจังเพราะก็เห็นว่าเขาเองก็ยิ้มออกมาด้วย
“ก็ถ้าเข้าใจก็ดีแล้วแต่คราวหน้าคราวหลังก็ระวังด้วยล่ะ ส่วนตอนนี้เราทวนตำรากันพอแล้วเดี๋ยวเราจะมาคุยกันเรื่องแบบที่เราจะได้วาดกันในวันนี้ที่ครูได้เกริ่นไปตั้งแต่ตอนต้นคาบ”
ในช่วงที่ผมเอาแต่สนใจคุณชิมิสึอาจารย์ก็ได้อธิบายเรื่องวาดรูปจบไปก่อนที่ผมจะรู้ตัวซะอีกและอาจารย์ก็เดินกลับไปยังหน้าชั้นเรียนแล้วเริ่มอธิบาย
“วันนี้พวกเธอทุกคนจะได้จับคู่กันและใช้เวลาที่เหลือในคาบเรียนนี้วาดรูปกันและกัน”
ในตอนที่อาจารย์พูดแบบนั้นออกมาก็มีนักเรียนจากห้องออกอื่นยกมือขึ้น
“อาจารย์ครับขอถามอะไรหน่อยสิครับ”
“ได้สิ ว่ามาเลย”
“ที่อาจารย์บอกว่าให้จับคู่วาดรูปกันเนี่ยหมายถึงให้จับคู่กับคนที่นั่งข้างๆเรางั้นเหรอครับ?”
นั่นสินะ อาจารย์เองก็ไม่ได้บอกเรื่องนั้นเหมือนกันเพราะไอ้การจับคู่กับคนที่นั่งข้างๆมันเป้นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วสำหรับการจับคู่กัน
อาจารย์เกาหัวแกรกๆและดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่
“อาจารย์ครับ?”
นักเรียนที่ถามคำถามไปก็รอคำตอบก็เลยถามไปอีกที
“เอาล่ะ ตัดสินใจแล้วถ้างั้นวันนี้พวกเธอก็สามารถจับคู่กันได้อย่างอิสระก็แล้วกันนะ
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคนจากห้องอื่นก็ได้แล้วพอจับคู่ได้แล้วก็ให้มานั่งข้างๆกัน ทีนี้ทุกคนลุกขึ้นยืนได้”
ทันทีที่อาจารย์พูดจบประโยคนักเรียนทุกคนในห้องศิลปะก็ลุกขึ้นยืน
“พวกเธอมีเวลาห้านาทียังไงก็ช่วยจับคู่ให้ทันเวลาด้วยล่ะ ส่วนคนที่ไม่มีคู่ก็จะถูกบังคับให้คู่กันหลังจากหมดห้านาทีไปแล้วเพราะงั้นเตรียมอุปกรณ์แล้วก็เริ่มจับคู่ได้เลย”
เพราะอาจารย์พูดมาแบบนั้นเหล่านักเรียนก็เริ่มเคลื่อนตัวโดยพร้อมเพรียงกัน
บางคนมีเพื่อนอยู่แล้วก็เลยได้จับคู่กันทันทีส่วนบางคนก็ไม่รู้จักใครเลยก็ได้แต่มองหาไปรอบๆส่วนตัวผมนั้นก็เป็นอย่างหลังแถมงานงอกเพราะไม่รู้ว่าจะมีใครอยากจะมาจับคู่กับผม
(ขืนเป็นแบบนี้ล่ะก็ได้จับคู่กับคนที่ไม่รู้จักมักจี่ด้วยแหงๆ)
พอผมเริ่มคิดว่าช่างมันเถอะผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังของผมเอง
พอผมหันหลังกลับไปก็ได้เห็นคุณชิมิสึมายืนอยู่ตรงหน้าผม
“นี่…คุณชิมิสึเค้าจ้องฮอนโดมาสักพักนึงแล้วนะนี่เธอจ้องจะเล่นเขารึเปล่าเนี่ย?”
“จะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า! ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันสักหน่อยเอาเป็นว่าเราหนีจากพวกเขาเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องมีเอี่ยวด้วยดีกว่า”
“นั่นสินะ แกไม่รอดแน่ฮอนโดเอ้ย”
นักเรียนคนอื่นๆรอบตัวของพวกเราเริ่มตีตัวห่างเหินจากคุณชิมิสึกับผมอย่างโจ่งครึม
พลางกระซิบกระซาบกันอย่างไม่ขาดสายส่วนคุณชิมิสึก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ปริปากเลยแม้แต่น้อยผมก็เลยตัดสินใจชิงถามเธอซะเองเลยละกัน
“คุณชิมิสึยังโกรธผมอยู่งั้นเหรอ?”
“หมายความว่าไงที่ว่าโกรธน่ะ?”
ดูเหมือนว่าเหตุผลที่เธอจ้องเขม็งมาที่ผมก่อนหน้านี้จะไม่ใช่เพราะว่าเธอหงุดหงิดที่ผมไปปลุกตอนเธอนอนแฮะถ้างั้นแล้วทำไมเราถึงได้ถูกจ้องล่ะ? ช่างเถอะถ้าเธอไม่โกรธมีนก็ดีแล้วล่ะนะ
“งั้นผมก็คงคิดไปเองสินะแล้วคุณชิมิสึมีอะไรรึเปล่าล่ะ?”
“ฮอนโด…..นายได้ตัดสินใจเลือกคู่รึยัง?”
“ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจนะแล้วคุณชิมิสึล่ะ?”
“ก็ยังหรอก”
การสนทนาหยุดลงนี่คุณชิมิสึต้องการจะสื่ออะไรกันแน่? ผมมองไปทางคุณชิมิสึ เธอเองก็พึ่งมองมาทางผมเมื่อกี้นี้พอดีแต่ตอนนี้เธอกลับหันควับหน้ามองไปอีกทางนึง
“เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองนาทีแล้ว คนที่ยังไม่มีคู่ก็เร่งหน่อยนะ”
อาจารย์พูดเร่งพวกเรา ดูเหมือนว่าผมจะเหลือเวลาน้อยกว่าที่คิดแล้วล่ะและในขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงดีผมก็เห็นคุณชิมิสึและความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว
“ก็ถ้าเธอยังไม่มีคู่ทำไมพวกเราไม่มาจับคู่ด้วยกันล่ะ?”
ผมคิดว่าตัวเองจะจับคู่กับใครอะไรยังไงมันก็ได้อยู่แล้วแต่ผมเองก็ดีใจที่จะได้คู่กันกับคุณชิมิสึที่เป็นคนรู้จัก
“แล้วทำไมชั้นจะต้องจับคู่กับนายด้วยยะ…..”
“ไม่อยากเหรอ?”
ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีทางเลือกแล้วเหลือเวลาอีกไม่มากแต่ผมก็คงต้องไปหาเพื่อนในห้องคนอื่น
“เดี๋ยวสิ……ก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยากสักหน่อยนี่……แค่ขอเตรียมใจก่อนนิดนึงสิ…….จะยังไงก็เถอะชั้นเองก็อยากจะวาดรูปกับคนรู้จักมากกว่าจะไปจับคู่กับคนแปลกหน้าล่ะนะ”
“งั้นก็จับคู่กับผมสินะ?”
“ก็ได้ๆก็ถ้าจะตื้อถึงขนาดนั้นแล้วล่ะก็”
ก็ถ้าเธอยอมคู่ด้วยก็จะดีมากเลยแต่ก็จำไม่เห็นได้เลยว่าไปอ้อนวอนตื้อขอให้เธอมาคู่ด้วยตอนไหนกันนะ?