คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 471 ข้าเชื่อท่านก็บ้าแล้ว!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 471 ข้าเชื่อท่านก็บ้าแล้ว!

ในเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติของปี สำนักศึกษาจือเหอได้ปิดภาคเรียนประจำปี ฉินหมิงฉุนกับฉินหมิงฉีกลับมาตระกูลฉิน ไปแสดงความกตัญญูที่เรือนนางฉินผู้เฒ่าก่อน หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบแล้วจึงได้ออกมา

ฉินหมิงฉุนไปที่ลานปีกของฉินหลิวซี จับถุงเงินใบเล็กที่เอว เดินก้าวเข้าไปในลาน

“จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เจ้าอย่าหนี คืนผลโสมให้ข้าเดี๋ยวนี้”

ทันทีที่ฉินหมิงฉุนก้าวเข้ามาในประตู เงาสีแดงราวกับไฟก็วิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วยังมีอะไรบางอย่างวิ่งตามไป ทันใดนั้นก็มีกลิ่นรุนแรงสัมผัสที่ปลายจมูก

ฉินหมิงฉุนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อหันไปมอง เขาตาฝาดหรือ

เมื่อครู่ดูเหมือนมีกิ่งโสมวิ่งผ่านเท้าเขาไป ซ้ำยังมีกลิ่นโสมที่รุนแรงมาก

เขาต้องตาฝาดไปแล้วแน่ๆ โสมจะวิ่งได้อย่างไร ซ้ำยังพูดได้ด้วย

ฉินหมิงฉุนเอียงศีรษะ เหลือบมองจากหางตา เห็นเถิงเจายืนอยู่ที่ประตูจึงรีบเดินไปหาทันที กระแอมเบาๆ “เสี่ยวเจายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ พี่หญิงใหญ่ข้าล่ะ”

น้ำเสียงที่ดูเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ คงคิดว่าตัวเองเป็นอาจารย์อาน้อยจริงๆ เสียแล้ว!

เถิงเจายกมือคำนับเขา “ท่านอาจารย์อยู่ในห้อง”

“อืม” ฉินหมิงฉุนดึงถุงเงินออกมา หยิบเศษเงินเล็กๆ จากในกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา “ใกล้จะตรุษจีนแล้ว อาจารย์อาให้เงินเจ้าเก็บไว้ใช้”

เถิงเจา “?”

เขาก้มลงมองเศษเงินจำนวนนั้น คาดว่าประมาณสองตำลึง ไม่รู้ว่าเขาได้มาอย่างไร

“เจ้าไปได้เงินมาจากไหน” เถิงเจาไม่เข้าใจเล็กน้อย “หากเป็นเงินรายเดือน เช่นนั้นเจ้าก็เก็บไว้ใช้ที่สำนักศึกษาเองเถิด”

“ไม่ใช่เงินรายเดือน นี่คือเงินที่ข้าหามาได้ที่สำนักศึกษา” ฉินหมิงฉุนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ข้าช่วยท่านอาจารย์คำนวณบัญชี เขาก็เลยให้ข้าเป็นรางวัล”

เถิงเจาขมวดคิ้ว “ทำไมที่สำนักศึกษายังต้องคำนวณบัญชีด้วย ลูกศิษย์ทุกคนต้องทำ หรือว่ามีเพียงเจ้าคนเดียว”

“แน่นอนว่าเป็นเพราะข้าคำนวณเลขเร็วและเก่ง ดังนั้นอาจารย์จึงให้ข้าช่วยงาน คนอื่นๆ คำนวณเลขได้ไม่เร็วและแม่นยำเท่าข้า อยากจะทำก็ทำไม่ได้” ฉินหลิงฉุนท่าทางภูมิใจในความเก่งของตัวเอง

เถิงเจาเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าหามาได้ด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็ยิ่งต้องเก็บไว้”

เขาผลักเงินคืนกลับไป ฉินหมิงฉุนผลักคืนกลับมา เอ่ยว่า “รับไว้เถิด ผู้อาวุโสให้ไม่ควรปฏิเสธ ข้าในฐานะที่เป็นอาจารย์อาน้อย ให้เงินค่าขนมเจ้าเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าเองก็ไม่ได้ยากจน!”

เถิงเจาลดสายตาลง ปกปิดรอยยิ้มในแววตา เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอาจารย์อาน้อยแล้ว”

“อืม” ฉินหมิงฉุนพอใจแล้ว

“พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่ตรงนั้น” ฉินหลิวซีเปิดหน้าต่างแล้วมองมา “ฉินเสี่ยวอู่เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

ฉินหมิงฉุนรีบวิ่งไปหา ยกมือคำนับด้วยความเคารพ “พี่หญิงใหญ่”

“เข้ามาคุยข้างในเถิด อยู่ข้างนอกไม่หนาวหรือ” ฉินหลิวซีปิดหน้าต่าง

ฉินหมิงฉุนเดินเข้าไป เห็นวั่งชวนกำลังนอนหมอบวาดเขียนอยู่บนโต๊ะ ปากเอ่ยพึมพำอะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นเดินเข้าไปดู จากนั้นก็หยิบเศษเงินออกมาจากกระเป๋า เอ่ยแบบเดียวกัน ให้เงินนางเป็นของขวัญ

เมื่อวั่งชวนได้รับของขวัญก็ยิ้มจนตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว เอาแต่เอ่ยชมว่าท่านอาจารย์อาน้อยดีมากจริงๆ ปากหวานจนฉินหมิงฉุนแทบจะถอนตัวไม่ขึ้น

เมื่อฉินหลิวซีเห็นดังนั้นจึงถามคำถามเดียวกันกับเถิงเจา ฉินหมิงฉุนจึงต้องอธิบายอีกครั้ง

“จริงสิ ก่อนกลับมาวันนี้ เจ้าสำนักเรียกข้าไปหา ซ้ำยังให้ข้ายกน้ำชาโขกศีรษะคำนับแล้วเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ พี่หญิงใหญ่ หรือว่าวันเวลาในสำนักศึกษาของข้าจะจบลงแล้ว โขกศีรษะคำนับ ก็ต้องเอ่ยลาแล้วใช่หรือไม่ ปีหน้าก็กลับไปไม่ได้แล้วหรือ”

ฉินหลิวซีประหลาดใจเล็กน้อย หัวเราะพลางเอ่ย “หากบอกว่าเจ้าโง่เจ้าก็คงไม่รู้ ยกน้ำชาโขกศีรษะคำนับแล้วให้เรียกว่าอาจารย์ ใครบอกเจ้าว่าเป็นพิธีลาครู นี่เป็นพิธีไหว้ครูต่างหาก!”

“หา” ฉินหมิงฉุนเบิกตาโต ชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าฝากตัวเป็นศิษย์ ฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าสำนักศึกษาถังแล้วหรือ”

“เจ้ายกน้ำชาโขกศีรษะคำนับไปแล้ว ทำไม คิดจะเบี้ยวหรือ”

“ไม่ใช่สิ พี่หญิงใหญ่ ข้าโง่เขลาเช่นนี้ เหตุใดเจ้าสำนักศึกษาถังจึงได้ให้ข้าฝากตัวเป็นศิษย์เขา ไม่กลัวว่าข้าจะทำลายชื่อเสียงของเขาหรือ” ฉินหมิงฉุนสับสนเป็นอย่างมาก ซ้ำยังอยากจะถามด้วยความอกตัญญูว่าศีรษะของเจ้าสำนักศึกษาถังถูกประตูหนีบหรือ

เมื่อฉินหลิวซีนึกถึงตั๋วเงินใบใหญ่หลายใบที่ตัวเองถูกบังคับให้บริจาค ก็กัดฟันพลางเอ่ย “ด้วยคุณสมบัติอย่างเจ้า การที่สามารถเป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักศึกษาถังได้นั้น แน่นอนว่าต้องซื้อมาด้วยเงิน”

ซ้ำยังเป็นเงินของนางด้วย

“ข้าขอเตือนเจ้าฉินเสี่ยวอู่ เจ้านับว่าโชคดีมากที่มีพี่หญิงใหญ่อย่างข้ามารับกรรมคอยช่วยสร้างสะพานปูทางให้ ซ้ำยังเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอย่างเจ้าสำนักศึกษาถัง หากเจ้าเรียนไปแล้วไม่ได้อะไรเลย ข้าเอาเจ้าตายแน่!” จะปล่อยให้ตั๋วเงินหลายใบของนางเหล่านั้นเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้

ฉินหมิงฉุนตัวสั่น “ข้าขอเปลี่ยน…” ภายใต้สายตาอันเกรี้ยวกราดของฉินหลิวซีคำพูดของเขาเปลี่ยนไปในทันที “ข้าจะตั้งใจเรียนอย่างแน่นอนขอรับ”

ฉินหลิวซีสบถเบาๆ

เถิงเจาเอ่ย “หากเป็นคนโง่เขลา สามารถชดเชยได้ด้วยการพยายามอย่างหนัก ความขยันสามารถชดเชยความโง่ได้”

ใบหน้างดงามของฉินหมิงฉุนขมวดมุ่นจนทุกอย่างมากองรวมกันอยู่ตรงกลาง เอ่ยอย่างไม่มั่นใจว่า “หากข้าเป็นไม้ผุชิ้นนั้นล่ะ”

“หากเจ้าเป็นไม้ผุจริงๆ เช่นนั้นก็คงทำได้เพียงเป็นเหมือนถ่านเหล่านั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้ความร้อนที่เหลืออยู่ให้เป็นประโยชน์!” ฉินหลิวซีชี้ไปที่ถ่านไม้ในเตาเผาถ่าน รอยยิ้มเย็นชาแฝงไว้ด้วยความน่ากลัว

ฉินหมิงฉุนเหลือบมองถ่านสีดำเหล่านั้น ตัวสั่นเทา จะเผาเขาหรือ!

พี่หญิงใหญ่น่ากลัวมากจริงๆ ด้วย

“เจ้าปีศาจโสมน้อยขี้เหนียวจริงๆ เพียงแค่ผลโสมเล็กๆ ผลเดียว ไล่ตามข้าสุดล่าฟ้าเขียว ต้องทำขนาดนั้นเลยหรือ” เฟิงซิวกระโดดเข้ามา เมื่อเข้ามาในห้องก็เปลี่ยนร่างในทันที

ฉินหมิงฉุนเห็นสุนัขสีแดงเพลิง “สุนัขตัวนี้สวยมากจริงๆ…หรือคน?”

เขาเห็นเฟิงซิวกลายร่างจากสุนัข (จิ้งจอก) เป็นคน ตกใจจนมึนงงไปหมด ก้าวถอยหลังแล้วล้มลง

เถิงเจารีบเข้าไปพยุง ขมวดคิ้วพลางมองไปยังเฟิงซิว “เป็นถึงจอมปีศาจ ไม่รู้หรือว่าที่นี่มีคนแปลกหน้า” ไม่รู้จักระวังตัวเสียบ้าง

เฟิงซิวเอ่ยว่า “ข้ารู้ แต่สายเลือดของเขาเหมือนกับของอาจารย์เจ้า มีอะไรต้องกลัว หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะสร้างภาพลวงตาให้เขาแล้วลบความทรงจำนี้ไป”

เขาพูดพลางก้าวไปข้างหน้า กำลังจะลงมือ

“ไม่ต้องหรอก” ฉินหลิวซีเรียกสติฉินหมิงฉุน

เมื่อฉินหมิงฉุนเห็นนาง ก็ตะโกนด้วยความตื่นเต้น “พี่หญิงใหญ่ เมื่อครู่ข้าฝัน ฝันว่ามีสุนัขเก้าหางตัวใหญ่กลายร่างเป็นคน!”

เฟิงซิวโกรธมาก โน้มตัวไปหา “เจ้าตาบอดหรืออย่างไร ข้าคือจิ้งจอก ไม่ใช่สุนัข”

ฉินหมิงฉุนกะพริบตา “เจ้าเหมือนคนในความฝันเลย”

เฟิงซิวยังคงถือสาเรื่องสุนัขกับจิ้งจอก คิดอยากจะเปลี่ยนกลับไปเป็นร่างเดิมอีกครั้ง แต่ถูกฝ่ามือของฉินหลิวซีผลักออกไป

“เจ้าฝันไปจริงๆ ไม่ใช่เรื่องจริง” ฉินหลิวซีอธิบายอย่างขอไปที

ฉินหมิงฉุนมองนาง จากนั้นก็มองไปที่เฟิงซิว บุรุษที่รูปงามกว่าเขายื่นอยู่ตรงหน้าเขา ซ้ำยังยกกำปั้นใส่เขา คือความฝันหรือ

เขาหยิกต้นขาของตัวเอง เอ่ยอย่างเขินอายว่า “พี่หญิงใหญ่ ข้าหยิกขาแล้วรู้สึกเจ็บ”

มันเจ็บ จะเป็นความฝันได้อย่างไร

“ข้าบอกว่าใช่ก็ใช่!” ฉินหลิวซีจ้องเขา “ขงจื้อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับ เจ้าเป็นผู้ศึกษาตำรา หากไม่ใช่ความฝัน หรือว่าเจ้าเห็นสัตว์กลายเป็นคนได้จริงๆ มันเป็นไปได้หรือ!”

ฉินหมิงฉุนกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง เมื่อเห็นโสมที่มีใบและใยรากเต็มไปหมดบนขอบหน้าต่าง โสมตัวเป็นๆ ร้องไห้พลางกระโดดเข้าไปในกระถางดินเผาข้างหน้าต่าง ขุดหลุมฝังตัวเองพลางร้องไห้ฟ้องฉินหลิวซี “ปีศาจจิ้งจอกพันปีนิสัยไม่ดี ฮือๆ ผลโสมของข้าไม่เหลือแล้ว!”

ฉินหมิงฉุนอ้าปากข้าง มองฉินหลิวซีด้วยสีหน้าสับสน ยกมุมปากขึ้น ฝันหรือ?

ข้าเชื่อท่านก็บ้าแล้ว!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท