คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 473 จะแสดงเดินขบวนผีกลางคืนให้พวกเจ้าดู ตอนที่ 474

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 473 จะแสดงเดินขบวนผีกลางคืนให้พวกเจ้าดู ตอนที่ 474 คนที่ปกป้องตระกูลฉินที่แท้จริงคือใคร

ตอนที่ 473 จะแสดงเดินขบวนผีกลางคืนให้พวกเจ้าดู

งานเลี้ยงครอบครัวสิ่งที่ขาดไม่ได้คือความครึกครื้น เสื้อผ้าสีสันสดใส สร้างความบันเทิงให้ญาติพี่น้อง ฉินหลิวซีคิดไม่ถึงว่าคนแรกที่ทนไม่ไหวจนออกไปจากงานเลี้ยงก่อนคือเถิงเจา พึ่งกินได้ไม่กี่คำก็กลับไปที่เรือนแล้ว ถ้าจะพูดให้ดูดีคือไปฝึกบำเพ็ญและท่องจำคาถาต่างๆ แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะมีคนเยอะจึงรู้สึกตื่นตระหนก

ฉินหลิวซีไม่ได้บังคับเขา ความจริงแล้วนางก็ไม่ชินกับความวุ่นวายเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่นางจะเป็นผู้รับชมการกระทำต่างๆ ของทุกคน

ในการฝึกบำเพ็ญที่น่าเบื่อ บางครั้งได้พบความสนุกสนานนั้นช่างดีจริงๆ

อย่างเช่นในตอนนี้

ฉินหลิวซีเหลือบมองฉินหมิงจูที่เอาแต่มองมาที่นาง ก่อนจะถามว่า “มองข้าทำไม”

คงไม่ได้เป็นเพราะคิดไม่ตกอยากจะให้นางใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสด้วยหรอกกระมัง

ฉินหลิวซีรู้สึกสนุกเล็กน้อย หากเป็นเช่นนั้น จะแสดงให้พวกนางได้เห็นการเดินขบวนร้อยผีตอนกลางคืน ร้องรำทำเพลงในลานนี้ และต้องเป็นเสียงธรรมชาติ (ผีร้องโหยหวน หมาป่าหอน)

“เจ้าอยากฟังเพลงหรืออยากดูการเต้นรำ” ฉินหลิวซีเอ่ยถามฉินหมิงจู

ฉินหมิงจู “?”

นางยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยนะ

ฉินหลิวซียิ้มอย่างอ่อนโยนเป็นอย่างมาก “ข้าสามารถเรียกผีนับร้อยมาร้องเพลงเต้นรำได้ รับรองได้ว่าเจ้าได้เปิดประสบการณ์แน่ จนตายก็ไม่ลืม มาสิ เลือกสักหนึ่งอย่าง!”

แกรก

ไม่รู้ว่าตะเกียบใครหล่นลงพื้น

ฉินหมิงจูตัวสั่น ใบหน้าซีด “ข้า ข้า…”

“เป็นคนต้องมีหูตากว้างไกล อย่ามัวแต่ดูสิ่งที่ได้เห็นในทุกๆ วัน ดูสิ่งที่ไม่เคยได้เห็นบ้าง ก็เป็นการเพิ่มพูนความรู้ได้ ก็เป็นการเปิดประสบการณ์ด้วยไม่ใช่หรือ” สีหน้าฉินหลิวซีเหมือนกำลังบอกว่าพี่หญิงใหญ่ไม่ทำร้ายเจ้าแน่นอน “เมื่อมีความรู้มากขึ้น ก็จะไม่สนใจเพียงแค่ผลกำไรเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น”

ฉินหมิงจูยืนขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ หนีไปด้วยความหวาดหวั่น “ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

ฉินหลิวซีท่าทางเสียดาย มองบรรดาคนรุ่นเล็กที่นั่งอยู่ในตอนนี้ “พวกเจ้าไม่อยากดูหรือ โอกาสหาได้ยาก ไม่ควรปล่อยไป นี่คือโอกาสที่ดีในการเปิดประสบการณ์เชียวนะ”

ทุกคนแทบสติแตก ใครอยากจะเปิดประสบการณ์เช่นนี้กัน

แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจดีกว่า

ผู้คนในงานเลี้ยงต่างพากันเงียบ

น่าเบื่อ

ฉินหลิวซีจิบชาอย่างเบื่อหน่าย มองไปยังโต๊ะของผู้อาวุโส สะใภ้เซี่ยอยากจะร้องขอความเป็นธรรมให้กับลูกๆ ของนาง แต่เมื่อนางเห็นสายตาของฉินหลิวซี ก็นึกถึงความโชคร้ายของตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้

เจ้าเด็กคนนี้ พลังชั่วร้ายทั้งร่างกายเกือบจะรั่วไหลออกมาแล้ว อย่าแสร้งทำจะดีกว่า หากนางเรียกผีมาจริงๆ จะไม่ต้องใจจนขวัญกระเจิงกันหมดหรือ

ยากที่สะใภ้เซี่ยจะฉลาดสักครั้งเช่นนี้ได้

ฉินหลิวซีรู้สึกเสียใจมาก ที่ไม่สามารถให้ผีนับร้อยมาร้องเพลงได้ ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยกับนางฉินผู้เฒ่าและสะใภ้หวังว่า “พรุ่งนี้คนตระกูลติงน่าจะมา พวกท่านเองรู้ดี คงจะเป็นติงโส่วซิ่น”

นางฉินผู้เฒ่ารูม่านตาสั่นเล็กน้อย ส่งเสียงในลำคอ ดูท่าทางโมโหและไม่พอใจเล็กน้อย

สะใภ้เซี่ยเอ่ยด้วยความโกรธว่า “เขายังกล้ามาอีกหรือ”

“ทำไมจะไม่กล้ามาล่ะเจ้าคะ ช่วงนี้ตระกูลติงโชคไม่ดีนัก ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไร้มนุษยธรรมและเนรคุณ คิดว่าเป็นชื่อเสียงที่ดีหรือ โดยเฉพาะสำหรับขุนนางที่อยากจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง” คำพูดของฉินหลิวซีมีความหมายแอบแฝงแล้วจึงเอ่ย “หากต้องการกอบกู้ชื่อเสียง ไม่แสดงสักหน่อยจะได้อย่างไร”

ฉินเหมยเหนียงเอ่ย “ได้ยินมาว่าตระกูลติงปิดร้านไปหนึ่งร้าน เห็นว่าขายไปแล้ว”

สะใภ้หวังเหลือบมองฉินหลิวซี ตอนนั้นนางบอกว่าตระกูลติงจะโชคร้าย ห่างจากที่พวกเขามาทำตัวเบ่งอำนาจที่จวนได้ยังไม่ถึงครึ่งเดือนเลยกระมัง ก็ขายร้านไปเสียแล้ว

สะใภ้เซี่ยรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เอ่ย “สิ่งนี้เรียกว่าคนเราทำอะไรไว้ฟ้าดินย่อมเห็น แม้แต่สวรรค์ก็ยังทนไม่ได้ ต้องการจัดการพวกเขา”

ฉินหลิวซีเอ่ยเป็นนัยๆ ว่า “ดังนั้นเป็นคนต้องมีคุณธรรม อย่าทำสิ่งที่ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อน มิเช่นนั้นหากโชคลาภหมดแล้ว ความโชคร้ายก็จะมาถึง”

สะใภ้เซี่ยสำลัก

เจ้าเด็กคนนี้ คงไม่ได้หมายถึงนางหรอกกระมัง

ไม่สิ นี่คือคำเตือน

ตอนที่ 474 คนที่ปกป้องตระกูลฉินที่แท้จริงคือใคร

ตระกูลติง

ติงโส่วซิ่นสีหน้ามืดครึ้ม ดุน้องสามและภรรยาของเขาไปหนึ่งยก แม้แต่ฮูหยินติงผู้เฒ่าก็ยังถูกตำหนิไปด้วย

เมื่อไม่นานมานี้ฮูหยินติงผู้เฒ่าล้มป่วย สีหน้ายังคงซีดเซียวอยู่ ตอนนี้ก็ยังมาถูกบุตรชายคนโตตำหนิ ทำให้นางจิตใจหดหู่เป็นอย่างยิ่ง ทุบอกพลางเอ่ย “เจ้าโทษคนแก่ตายยากอย่างข้าเถิด เป็นข้าที่ขวางทางเจ้า ปล่อยให้ข้าตายไปเลย”

ขมับของติงโส่วซิ่นกระตุก ระงับความโกรธพลางเอ่ย “ท่านแม่ ใช่ว่าท่านไม่รู้ ข้าอยู่ในตำแหน่งนี้มาสามปีแล้ว ถึงเวลาต้องย้ายไปตำแหน่งอื่นแล้ว แต่กลับมามีชื่อเสียงว่าเป็นคนเนรคุณในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ แล้วจะได้ตำแหน่งที่ดีได้อย่างไร ท่านรู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้ถูกรายงานไปถึงผู้ตรวจการเซียว ข้าถูกเรียกไปตำหนิยกใหญ่ แล้วยังมีปัญญาชนเหล่านั้น ต่างก็พากันชี้ชัดว่าข้าเป็นคนไร้มนุษยธรรม”

ฮูหยินติงผู้เฒ่ารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก “เหตุใดจึงได้เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางเช่นนี้ ตระกูลฉินเป็นขุนนางต้องโทษไม่ใช่หรือ ฝ่าบาทเกลียดชังพวกเขาจะตาย เหตุใดจึงยังมีคนกล้าออกมาปกป้องพวกเขา”

ติงโส่วซิ่นเอ่ยด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “ฉินหยวนซานเป็นขุนนางขั้นสาม ในอดีตมีลูกศิษย์มากมาย ทุกครั้งที่มีการสอบราชสำนักฤดูใบไม้ร่วง ตำแหน่งขุนนางเหล่านี้มีไม่กี่คนที่ไม่ใช่ลูกศิษย์เขา ที่เขาได้เป็นเสนาบดีสำนักกวงลู่ ก็เพราะมีคนยกมือให้เขา”

แม้แต่ตัวเขาเอง ก่อนหน้านี้ก็เพราะเห็นว่าทุกคนมาจากที่เดียวกัน จึงได้นับถือเขาเป็นอาจารย์ไม่ใช่หรือ

“อีกอย่างนี่ไม่นับว่าเป็นการออกหน้าปกป้อง พวกเขาก็เพียงแค่ตำหนิคุณธรรมของข้า ไหนเลยจะมีความผิด พู่กันของปัญญาชนคมราวกับคมมีด พวกเขาไม่ได้มาสนใจว่าเป็นขุนนางต้องโทษหรือไม่ เพียงแค่พูดถึงคุณธรรมของคนเท่านั้น ไหนเลยจะถือเป็นโทษได้ พวกปัญญาชนเหล่านี้เป็นบ้าไปกันหมด โดยเฉพาะผู้ที่ให้ความเคารพอาจารย์และคุณธรรม อวดดีเกินไปแล้ว ในสายตาของพวกเขา การรังแกอาจารย์ควรได้รับการลงโทษจากสวรรค์ พวกเขาไม่มีอะไรต้องกังวลหรือต้องคำนึงถึงผลที่ตามมา แต่ข้านั้นแตกต่าง ข้ายังต้องการชื่อเสียงที่ดีเพื่อก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ทำให้เบื้องสูงขุ่นเคือง แล้วจะมีอนาคตได้อย่างไร”

ฮูหยินติงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ของขวัญตรุษจีนที่พวกเราส่งไปให้จวนผู้ตรวจการในปีนี้ ของมีค่าล้วนถูกส่งคืนกลับมาหมดแล้ว นายท่านได้ถูกหมายหัวไว้แล้ว”

ฮูหยินติงผู้เฒ่าตกใจ “ต้องถึงขั้นนั้นเลยหรือ”

“อวี๋ชิวไฉกับผู้ตรวจการเซียวเป็นสหายสนิทกัน ตอนที่ข้านำของขวัญไปมอบให้ เขาก็อยู่ เขาเอ่ยอย่างชัดเจนว่าตระกูลติงขาดแคลนเงินจนถึงขั้นต้องไปแย่งที่ทำมาหากินจากท่านอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขา” ติงโส่วซิ่นนึกถึงตอนที่ถูกสายตาดูหมิ่นของอวี๋ชิวไฉมองมา รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว

เพียงแค่ร้านเล็กๆ หนึ่งร้านจะมีมูลค่าเท่าใดกันเชียว ก็เพราะร้านเล็กๆ เช่นนี้ทำให้ชื่อเสียงที่ตระกูลติงสะสมมาอย่างยากลำบากตกต่ำในทันที

เหตุใดพวกเขาจึงได้มองแคบเช่นนี้

ติงโส่วซิ่นเหลือบมองติงเหล่าซานอย่างเย็นชา ล้วนเป็นความผิดของภรรยาเขาทั้งหมด มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ไปแย่งของใครไม่แย่ง ดันไปแย่งของตระกูลฉิน ลำบากเขาต้องมาแบกรับชื่อเสียงคนเนรคุณ

ติงเหล่าซานและภรรยาแทบจะทำเป็นแกล้งตาย

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี พวกเราไปหาที่จวน พวกเขาก็ยังไม่ยอมให้เข้า” ฮูหยินติงกังวลเล็กน้อย

ติงโส่วซิ่นเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมเป็นการส่วนตัว ต่อให้คุกเข่าก็จะคุกเข่าขอเข้าไป”

“อะไรนะ”

ฮูหยินติงเบิกตาโต เอ่ยว่า “ทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากท่านทำเช่นนั้นแล้วมีใครเห็นเข้า จะไม่มีคนเอาไปพูดว่าท่านมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับขุนนางต้องโทษหรือ หากเรื่องไปถึงหูฮ่องเต้จะทำอย่างไร”

ติงโส่วซิ่นแสยะยิ้ม “ฮ่องเต้วันๆ มีหลายสิ่งที่ต้องทำ ไหนเลยจะมาสนใจผู้ว่าการเมืองเล็กๆ เช่นนี้ แต่ผู้ที่อยู่เหนือข้าเหล่านั้นก็ไม่แน่ ซ้ำยังมีปัญญาชนที่ให้ความสำคัญกับท่านอาจารย์เหล่านั้นอีก”

หากเขาได้ตำแหน่งสูง คนใต้บังคับบัญชาลืมบุญคุณก็แล้วไป แต่หากยังมารังแกถึงที่จวน เขาก็ต้องระวังหรือไม่ว่าคนเช่นนี้จะเอามีดแทงเขาเมื่อใดก็ได้หลังจากที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง

เป็นความผิดของเขาด้วยที่ในตอนแรกเขาเพียงแค่ต้องการตัดความสัมพันธ์เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปพัวพันกับฉินหยวนซานจนเดือดร้อนไปด้วย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าน้องชายกับน้องสะใภ้ของตัวเองจะสนับสนุนให้ท่านแม่ทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้

ไม่ควรทำเช่นนี้ตั้งแต่แรกเลยจริงๆ!

ฮูหยินติงผู้เฒ่ารู้สึกหมดหวัง จ้องมองนายหญิงสามด้วยความโกรธ เป็นความผิดเจ้าทั้งหมด

เท้าของนายหญิงสามติงยังไม่ทันหายดี ถูกแม่สามีมองด้วยสายตาคมกริบ ตกใจจนหดตัว ก้าวถอยหลัง ไม่ทันได้ระวังแผลที่เท้า จึงไปชนเข้ากับขาเก้าอี้ ทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงทันที

แย่แล้ว เคล็ดอีกแล้ว!

ทำไมช่วงนี้จึงได้โชคร้ายตลอด

“ข้าจำได้ว่าตระกูลฉินมีเด็กสาวอยู่คนหนึ่ง ถูกส่งไปที่จวนเก่าตระกูลฉินตั้งแต่เด็ก บอกว่าร่างกายไม่แข็งแรง รักษาตัวอยู่ที่อารามเต๋า” ติงโส่วซิ่นเอ่ยถามฮูหยินติงผู้เฒ่า “ท่านแม่เคยเห็นไม่ใช่หรือ”

ฮูหยินติงผู้เฒ่าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงเด็กสาวท่าทางเย็นชาผู้นั้น จำรูปร่างของนางได้ไม่ชัดเจนแล้ว เอ่ยอย่างดูหมิ่นว่า “มีคนเช่นนั้นอยู่จริง ส่วนใหญ่ถูกเลี้ยงในอารามเต๋า ข้าก็เคยเห็นเพียงแค่หนึ่งถึงสองครั้ง เด็กคนนั้นนิสัยแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ไม่น่ารัก ทำไมหรือ”

“อยู่ที่อารามชิงผิงนอกเมืองหรือ”

“คงใช่กระมัง เหตุใดจึงได้ถามถึงเรื่องนี้” ฮูหยินติงผู้เฒ่าประหลาดใจเล็กน้อย ตระกูลของพวกเขานับถือศาสนาพุทธ หากต้องการบูชาพระพุทธรูป พวกเขาก็จะไปวัดอู๋เซียงหรือวัดอวิ๋นหลิงที่เมืองฝู แต่ไม่ไปอารามเต๋า

ฮูหยินติงเอ่ยว่า “ข้าเคยไปถามมา ดูเหมือนว่าบุตรสาวตระกูลผู้ตรวจการเซียวจะเจอกับสิ่งชั่วร้าย เป็นอวี๋ชิวไฉที่แนะนำท่านอาจารย์ท่านหนึ่งจากอารามชิงผิงให้ ท่านอาจารย์ผู้นี้อายุน้อยมาก”

มีบางอย่างผ่านเข้ามาในหัวของฮูหยินติงผู้เฒ่าอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันรู้ว่าคืออะไร ก็ถูกซานเอ๋อร์ขัดจังหวะเสียก่อน

“พี่สะใภ้ใหญ่ หรือท่านหมายความว่าที่ใต้เท้าอวี๋กับผู้ตรวจการเซียวออกมาปกป้องนั้นเกี่ยวข้องกับแม่หนูตระกูลฉินผู้นั้น” ติงเหล่าซานเอ่ย

ฮูหยินติงเอ่ยว่า “ฟังจากที่หมัวหมัวผู้นั้นเอ่ย ตระกูลเซียวกับตระกูลอวี๋ล้วนให้ความเคารพท่านอาจารย์ผู้นั้นเป็นอย่างมาก หากแม่หนูตระกูลฉินผู้นั้นถูกเลี้ยงดูที่อารามเต๋ามาตั้งแต่เด็ก ย่อมต้องรู้จักอาจารย์ผู้นั้นอย่างแน่นอน หากขอร้องให้เขาช่วย ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก”

นายหญิงสามติงนึกถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าซีด ริมฝีปากขยับ แต่ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ

ในขณะนั้น ติงเหล่าซานมองนาง เอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าตอนที่ผู้ดูแลหลิวที่เป็นผู้ติดตามของเจ้า คนผู้นั้นพาคนไปร้านผลไม้แช่อิ่ม ก็มีคนผู้หนึ่งออกมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ คนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นคนของอารามชิงผิง”

ติงโส่วซิ่นมองไปยังนายหญิงสามติงทันที

นายหญิงสามติงเหงื่อออกเต็มหน้าผาก เอ่ยตะกุกตะกักว่า “เห็นบอกว่าเป็นเจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิง มีนามเต๋าว่าปู้ฉิว”

เมื่อคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา ไม่ต้องพูดถึงติงโส่วซิ่น แม้แต่ฮูหยินติงก็เข้าใจแล้ว

“เอ่ยคือเป็นเพราะน้องสะใภ้สามต้องการร้านนั้น ด้วยคำขอของแม่หนูฉินผู้นั้น ทำให้นักพรตเต๋านามว่าปู้ฉิวผู้นั้นออกมาปกป้อง จากนั้นจึงทำให้เรื่องไปถึงใต้เท้าอวี๋กับผู้ตรวจการเซียว ทำให้ตระกูลติงโด่งดังเรื่องชื่อเสียงไร้มนุษยธรรมอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินติงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดที่มุมปาก เอ่ย “น้องสะใภ้สาม เจ้าไม่ใช่คนโง่เขลาธรรมดาทั่วไปจริงๆ”

สายตาคับแคบมากจนมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร

“ข้า ข้าไม่รู้ว่าตระกูลฉินมีเด็กสาวเช่นนี้ด้วย!” นายหญิงสามติงทำทีเป็นผู้ถูกกระทำ ไหนเลยนางจะรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ดังกล่าว

ฮูหยินติงเบื่อที่จะมองคนโง่เง่าผู้นี้ มองไปยังติงโส่วซิ่นทันทีที่นางนึกถึงบางสิ่งได้ ก่อนจะตัวแข็งทื่อ สีหน้าซีดเซียว

“เจ้าเป็นอะไรหรือ”

ฮูหยินติงเอ่ยด้วยสีหน้าซีด “นายท่าน เรื่องที่คุณหนูเซียวผู้นั้นเจอสิ่งชั่วร้ายไม่ได้มีการเผยแพร่ออกมาเลยแม้แต่นิด ตอนนี้บอกว่ากำลังรักษาตัว แต่ผู้ตรวจการเซียวยังคงเชื่อคำพูดของอวี๋ชิวไฉแล้วมาตำหนิท่าน เกรงว่าจะเป็นการตอบแทนน้ำใจนักพรตเต๋าผู้นั้น สิ่งนี้พิสูจน์ให้ถึงเห็นความสามารถของคนผู้นั้น มิเช่นนั้นผู้ตรวจการเซียวคงไม่ทำเช่นนี้”

ติงโส่วซิ่นขมวดคิ้ว แล้วอย่างไรต่อ

ฮูหยินติงกลืนน้ำลาย สีหน้าของนางดูหวาดหวั่นและตื่นตระหนกเล็กน้อย นางมองไปรอบๆ สายตามองผ่านฮูหยินติงผู้เฒ่ากับนายหญิงสามติงไป เอ่ย “นายท่าน ตอนนี้เรื่องทุกอย่างในตระกูลติงไม่ราบรื่น ท่านไม่คิดว่ามันผิดปกติไปหน่อยหรือ”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท