คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 481 ปีศาจเต๋า ข้าชอบได้ยินชื่อนี้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 481 ปีศาจเต๋า? ข้าชอบได้ยินชื่อนี้

แน่นอนว่าร้านที่ติงโส่วซิ่นจะมอบให้กับตระกูลฉินนั้นไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่ฉินหลิวซีกล่าวร้ายแรงเช่นนี้ก็เพราะจงใจที่จะทำให้สะใภ้เซี่ยกลัว เพื่อที่คนผู้นี้จะได้ไม่ละโมบโลภมาก การที่รับสิ่งที่ไม่ควรรับนั้นจะทำให้ตระกูลเกิดความวุ่นวาย แล้วนางก็ต้องมาคอยตามเช็ดตามล้างอีก

ดังนั้นนางจึงได้เอ่ยเช่นนี้

“ซีเอ๋อร์ เจ้าอาวาสน้อยที่พวกเขาพูดถึงหมายความว่าอย่างไร ข้าเห็นว่าพวกเขามีท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก” สะใภ้กู้ถามอีกว่า “เจ้าเป็นเจ้าอาวาสน้อยผู้นั้นได้อย่างไร”

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ในภายภาคหน้าเมื่ออาจารย์ของข้า ซึ่งก็คือเจ้าอาวาสคนปัจจุบันขึ้นสู่สวรรค์แล้ว ข้าก็จะสืบทอดอารามเต๋าแห่งนี้ต่อ ที่พวกเขากลัวย่อมเป็นเพราะได้ยินชื่อเสียงของข้า”

นักพรตเฒ่าชื่อหยวน ‘ข้าใกล้จะตายเพราะความกตัญญูของศิษย์ไม่รักดีผู้นี้แล้ว!’

สะใภ้เซี่ยเหลือบมองตั๋วเงินที่ซ่อนอยู่ในอ้อมแขนของนาง แอบคิดในใจว่า ‘การสืบทอดอารามเต๋าจะมีเงินจำนวนมากหลั่งไหลไม่ใช่หรือ ในเวลาเพียงครู่เดียว แค่นางขยับปากก็สามารถหาเงินค่าน้ำมันตะเกียงได้หลายร้อยตำลึงแล้ว’

นักต้มตุ๋นทำเงินได้จริงๆ!

สะใภ้หวังขมวดคิ้ว อ้าปากอยากจะถามว่าการสืบทอดอารามเต๋าก็หมายความว่าในภายภาคหน้าจะไม่สามารถพูดเรื่องการแต่งงานได้แล้วใช่หรือไม่

แม้ว่านิกายของนางจะไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการแต่งงาน แต่นางก็ยังไม่เคยเห็นนักพรตหญิงคนไหนที่แต่งงานจริงๆ

หรือว่าเด็กคนนี้ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยกระมัง

สะใภ้หวังกังวลเป็นอย่างมาก ราวกับมองเห็นภาพอนาคตที่ตัวเองต้องลำบากลำบนเร่งรัดให้นางแต่งงาน

ในเวลานี้ติงหมัวหมัวออกมาบอกว่านางฉินผู้เฒ่าตื่นแล้ว พวกนางจึงได้เดินเข้าไป เล่าถึงเรื่องราวที่ติงโส่วซิ่นและภรรยาของเขาถูกฉินหลิวซีหักหน้าอย่างออกรสออกชาติ

นางฉินผู้เฒ่ามองไปยังฉินหลิวซี ใช้เวลานานกว่าจะเปล่งออกมาได้หนึ่งคำ “ดี”

แต่ทันทีที่ติงโส่วซิ่นและภรรยาออกจากจวนตระกูลฉิน ก็รีบกำชับให้ผู้ดูแลไปสืบอารามชิงผิง โดยเฉพาะชื่อเสียงของเจ้าอาวาสน้อยอะไรนั่น

สีหน้าของฮูหยินติงยังคงดูแย่เล็กน้อย เอ่ย “นายท่าน ท่านว่าแม่หนูผู้นั้นตั้งใจหลอกเรา หรือว่า?”

“เรื่องนี้ใช่ว่าจะตรวจสอบไม่ได้ นางไม่มีทางโกหก นางคงจะเป็นเจ้าอาวาสน้อยผู้นั้นไม่ผิดแน่นอน แต่นางมีความสามารถมากแค่ไหนนั้นก็ยากที่จะรู้ได้” วิชาเหนือธรรมชาติของลัทธิเต๋าเหล่านี้ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไรก็ไม่สามารถค้นหาเบื้องลึกของนางได้ทั้งหมด และด้วยเหตุนี้จึงได้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะเจ้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีไม้ตายอะไร จึงไม่กล้ากระทำการหุนหันพลันแล่น

สีหน้าของติงโส่วซิ่นลุ่มลึกราวกับสายน้ำ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ได้ล่วงเกินตระกูลฉินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการสร้างสัมพันธ์ที่ดีในอนาคต ไม่ถูกโกรธเคืองก็นับว่าดีแล้ว

“นางคงไม่ได้ลงมือแล้วจริงๆ หรอกกระมัง” ฮูหยินติงอดเป็นกังวลไม่ได้ เอ่ยว่า “นายท่าน พวกเราจะเอาแต่เชื่อนางอย่างเดียวไม่ได้ อย่างไรก็ต้องหาท่านอาจารย์มาดูที่จวน”

ติงโส่วซิ่นเอ่ย “นางได้รับตั๋วเงินไปแล้ว เท่ากับว่าเป็นการรับการบูชา หากทำอะไรลงไปแล้วจริงๆ ก็ควรจะถอนออกแล้ว” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยอีกว่า “แต่แม่หนูผู้นั้นมีรัศมีชั่วร้ายอยู่บ้าง ไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมด ควรจะหาคนมาดูสักหน่อย”

ยิ่งเขาคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในตระกูลฉินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ต่อยกำแพงรถม้าด้วยความเกลียดชัง เอ่ย “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตระกูลฉินจะมีบุคคลเช่นนี้ด้วย”

หากไม่ใช่เพราะตัวตนที่ค่อนข้างน่ากลัวของฉินหลิวซี มีหรือที่พวกเขาจะถึงขั้นต้องถ่อมตัวเช่นนี้

ใช่แล้ว ติงโส่วซิ่นไม่คิดว่าฉินหลิวซีเอ่ยเกินจริง เพียงแค่รัศมีของนางเพียงคนเดียวก็สามารถกดดันเขาได้ เขาจึงรู้สึกว่าสตรีผู้นี้นั้นมองออกได้ยาก รัศมีที่ชั่วร้ายเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

เมื่อนึกถึงคำพูดนั้นของฉินหลิวซี ‘ดึงลูกหลานของพวกท่านฝังชดใช้ไปด้วยกัน’ ติงโส่วซิ่นก็รู้สึกหวั่นใจ รู้สึกว่านางมีความสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างอธิบายไม่ถูก

ให้ตายเถอะ ลัทธิเต๋าตกต่ำมานานหลายสิบปี ถูกศาสนาพุทธกดทับมาตลอด ตอนนี้เริ่มจะตั้งหลักได้แล้วหรือ เหตุใดจึงได้มีปีศาจชั่วเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมา!

เมื่อกลับมาที่ตระกูลติง ติงโส่วซิ่นและคนอื่นๆ ถูกฮูหยินติงผู้เฒ่าเรียกไปถามถึงสถานการณ์ว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่ นักพรตเต๋าผู้นั้นได้ยื่นมือเข้ามาช่วยแม่หนูตระกูลฉินผู้นั้นหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้ยินว่าฉินหลิวซีก็คือนักพรตปู้ฉิวผู้นั้น ต่างก็พากันตกตะลึง

“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” นายหญิงสามตระกูลติงเป็นคนแรกที่ไม่เชื่อ ถามด้วยความตื่นตระหนกว่า “ก็เพียงแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะมีความสามารถเก่งกาจเช่นนั้นได้อย่างไร”

ฮูหยินติงโกรธจนไม่มีที่ระบาย เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างเย็นชาพลางเอ่ยว่า “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ เจ้าเฝ้าดูนางมาจนโตหรือ เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหลายปีมานี้นางเรียนรู้อะไรบ้าง”

“นางเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น!”

“ไม่แน่นางอาจจะมีพรสวรรค์เช่นนี้ เกิดมาก็เชี่ยวชาญในด้านนี้?” ฮูหยินติงตอบโต้กลับ กัดฟันพลางเอ่ยว่า “หากไม่ใช่เพราะน้องสะใภ้สามอยากได้ร้านนั้น พวกเราก็คงไม่ต้องถึงขั้นนี้ คราวนี้เป็นอย่างไรล่ะ ไปล่วงเกินพวกเขาเข้า แม้แต่ร้านที่จะนำไปชดใช้พวกเขาก็ยังไม่รับ หากนางยอมรับเงินค่าน้ำมันตะเกียงแล้วยอมรามือก็แล้วไป แต่หากไม่ยอม ก็ไม่รู้ว่าตระกูลติงของพวกเราจะต้องโชคร้ายไปถึงเมื่อใด”

นายหญิงสามติงรู้สึกไม่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลฉินจะมีบุคคลเช่นนี้

“ข้าแค่รู้สึกว่าแม่หนูผู้นั้นดูแปลกๆ และน่ากลัว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าล่ะนางจึงเข้ากับคนอย่างพวกเราไม่ได้” ฮูหยิงติงผู้เฒ่านวดศีรษะ รู้สึกปวดหัวตุบๆ

“เอาล่ะ ได้คุยกันแล้ว นางก็ได้รับเงินไปแล้ว ไม่มีทางที่จะไม่ยอมปล่อย” เมื่อติงโส่วซิ่นเห็นว่าทุกคนต่างก็ตื่นตระหนก จึงอดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมไม่ได้ “เพียงแต่ต่อไปนี้ห้ามทำอะไรตระกูลฉินอีก”

ใครจะกล้าทำอะไรอีก ไม่กลัวว่าจะถูกปีศาจเต๋าผู้นั้นสาปแช่งหรืออย่างไร

ปีศาจเต๋าฉินหลิวซี ‘ข้าชอบได้ยินชื่อนี้!’

ขณะที่ทั้งครอบครัวมีสีหน้าเป็นทุกข์ คนที่ออกไปสืบข่าวก็กลับมา

ในยุคนี้มีคนนับถือศาสนาพุทธมากมาย ควันธูปอารามชิงผิงไม่ได้รุ่งเรืองเท่าวัดอู๋เซียง แต่ก็ไม่ได้แย่เนื่องจากพวกเขาจะทำการกุศลทุกปี อารามชิงผิงพึ่งเปิดใหม่เมื่อสิบปีที่แล้ว เดิมทีอารามเต๋านั้นทรุดโทรมมากจนแม้แต่เจ้าลัทธิเต๋าก็ถูกรื้อทิ้ง หลังจากค่อยๆ ซ่อมแซมทีละเล็กทีละน้อยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ในที่สุดหลังคาทองก็ถูกสร้างขึ้นในปีนี้ เจ้าลัทธิเต๋าก็ถูกเปลี่ยนเป็นร่างทอง มีความเป็นอารามใหญ่ขึ้นมาบ้างแล้ว

จริงสิ ตอนนี้อารามชิงผิงกำลังปิดปรับปรุงอยู่ ได้ยินมาว่าจะสร้างหอเก็บพระคัมภีร์ซึ่งมีขนาดไม่เล็กเลย

“เล่าเรื่องเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิวผู้นั้น ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเคยได้ยินเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียงเช่นนี้มาก่อน” ติงเหล่าซานเอ่ย

ผู้ดูแลยกมือคำนับพลางเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เพราะเจ้าอาวาสน้อยพึ่งจะแต่งตั้งขึ้นเมื่อเดือนแปดเดือนเก้าของปีนี้ จริงๆ นักพรตปู้ฉิวผู้นี้อยู่ที่นั่นมาโดยตลอด เพียงแต่นางไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนต่อหน้าผู้อื่น นางจะสวมชุดเต๋าเมื่ออยู่ข้างนอกเสมอ อายุก็ยังน้อย จึงมีคนไม่มากที่จำนางได้ แต่ผู้ศรัทธาจำนวนไม่น้อยต่างก็รู้ว่านักพรตเต๋าปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิงผู้นี้มีวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่นางหาตัวจับได้ยาก หากต้องการให้นางช่วยรักษา ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาขอรับ”

“นางไม่ใช่นักพรตเต๋าหรือ เหตุใดจึงมีวิชาแพทย์ นางพึ่งจะอายุเท่าไหร่เอง” วิชาแพทย์ยอดเยี่ยมด้วยหรือ ใครกันที่คุยโม้เช่นนี้!

ผู้ดูแลเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าเสวียนเหมินมีศาสตร์ทั้งห้า หนึ่งในนั้นคือวิชาแพทย์ อารามชิงผิงทำการกุศลในฤดูหนาวซ้ำยังรักษาการกุศลด้วย นางเองก็จะมาปรากฏตัว”

ติงโส่วซิ่นถามว่า “นอกจากวิชาแพทย์แล้ว ยังมีความสามารถอะไรอีก”

“ตามคำบอกเล่าของเด็กเต๋าในอารามบอกว่าเจ้าอาวาสน้อยผู้นี้ทำได้ทุกอย่างอย่างละนิดละหน่อย ไล่วิญญาณจับผีก็ได้เช่นกัน” ผู้ดูแลเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เอ่ยว่า “เพียงแต่นางมีนิสัยแปลกๆ ค่อนข้างขี้เกียจ มิเช่นนั้นคงมีชื่อเสียงมากกว่านี้”

ติงโส่วซิ่นถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “คนข้างนอกคิดอย่างไรกับอารามชิงผิง”

“แน่นอนว่าดีขอรับ อารามชิงผิงจะทำการกุศลในวันเชงเม้ง วันสารทจีน แล้วก็ช่วงฤดูหนาวของทุกปี พวกเขาซ่อมแซมถนนหน้าอารามชิงผิงด้วยตัวเอง เมื่อประสบภัยพิบัติก็จะช่วยเหลือราษฎรที่อยู่เชิงเขา”

ติงโส่วซิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก เช่นนี้ก็หมายความว่าเวลานางทำเรื่องอะไรก็จะมีขอบเขตใช่หรือไม่

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท