ตอนที่ 484 ชะตาชีวิตพลิกผัน
ตอนที่เกิดเรื่องกับซือเหลิ่งเย่ว์ ฉินหลิวซีกำลังฟังเรื่องการเตรียมการสำหรับตรุษจีน ทันใดนั้นในใจพลันรู้สึกถึงบางอย่าง นางลุกขึ้นยืน
“เป็นอะไรหรือ”
ฉินหลิวซีคำนวณด้วยข้อนิ้วอย่างรวดเร็ว สิ่งที่นางคำนวณคือแปดอักษรเวลาตกฟากของซือเหลิ่งเย่ว ชะตาชีวิตของนางเกิดการเปลี่ยนแปลง
“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องด่วนต้องออกเดินทางไกล เกรงว่าจะไม่สามารถฉลองตรุษจีนที่บ้านได้”
สะใภ้หวังประหลาดใจเล็กน้อย “กะทันหันขนาดนั้นเลยหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า เอ่ย “เกี่ยวกับชีวิตคน จริงสิ งานเลี้ยงประจำปีของตระกูลติงไม่จำเป็นต้องไป หากไปจะเป็นการเห็นแก่หน้าพวกเขา ทางด้านอารามเต๋าท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะบอกกับอาจารย์ข้าเอง จริงสิ หากตระกูลอวี๋กับเจ้าสำนักศึกษาถังส่งเทียบเชิญมา หากท่านอยากไปก็สามารถพาคนไปได้ ข้าหมายความว่าท่านย่ากำลังป่วยอยู่ ไม่ไปก็ไม่เป็นไร หากต้องการจะไปมาหาสู่กับคนเหล่านี้ ในภายภาคหน้ายังมีโอกาสอีกมาก”
สะใภ้หวังรับปาก
“อีกอย่าง เจ้าสำนักศึกษาถังรับฉินเสี่ยวอู่เป็นศิษย์แล้ว อย่าลืมให้เขาไปคำนับวันตรุษจีนด้วย”
สะใภ้หวังตกตะลึง “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฉุนเอ๋อร์ไม่เคยบอกมาก่อน”
“เด็กโง่อย่างเขาเกรงว่าจะไม่ได้ใส่ใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นมาสักพักแล้ว ในใจท่านรู้ว่าควรทำอะไรก็พอแล้ว” ฉินหลิวซีไม่ลืมที่จะกระตุ้นน้องชาย
นางกำชับอยู่หลายประโยค จากนั้นก็รีบกลับไปที่เรือนปีกของตัวเอง ทันทีที่เข้าไปในเรือนก็เอ่ยกับผีสาวที่อยู่บนกำแพงว่า “ไปเรียกเฟิงซิวมาพบข้า”
เมื่อฉีหวงเห็นสีหน้าเร่งรีบของนางก็อดถามไม่ได้ “คุณหนู เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
“อาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับซือเหลิ่งเย่ว์ ข้าจะต้องไปดูสักหน่อย คงไม่สามารถอยู่ฉลองตรุษจีนที่บ้านได้แล้ว ข้าไม่อยู่เจ้าดูแลวั่งชวน ส่วนเถิงเจาข้าจะพาไปด้วย” ฉินหลิวซีไปที่เรือนยาก่อน หยิบยาที่กลั่นไว้แล้วไม่กี่วันก่อนออกมา รวมถึงของที่เตรียมพร้อมไว้แล้วมาโดยตลอด เอาใส่ลงในกระบุงทั้งหมด
เกรงว่านางจะต้องทำลายทำสาปเลือดให้ซือเหลิ่งเย่ว์เสียแล้ว
หลังจากที่จัดของที่ต้องใช้ทั้งหมดแล้วก็ออกมาจากเรือนยา จากนั้นนางก็ไปขุดปีศาจโสมน้อย
“ทำอะไร ทำอะไร จะไม่ให้โสมได้ฝึกบำเพ็ญเลยหรือ” ปีศาจโสมน้อยถูกนางขุดขึ้นมาจากดินก็ส่งเสียงร้องโวยวาย
“เลี้ยงเจ้ามาร้อยวัน ใช้เจ้าเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม เอาตัวเจ้ามาให้ข้า”
ปีศาจโสมน้อยตกใจกอดตัวเองแน่น “ท่าน ท่านบ้ากามหรือ ข้าขายความสามารถไม่ได้ขายตัว!”
“เจ้ามีความสามารถเสียที่ไหนกัน” ฉินหลิวซีจ้องมองมัน “แต่ทำไมเจ้าถึงได้รู้จักคำนี้ จิ้งจอกเฒ่าพาเจ้าไปเที่ยวเตร็ดเตร่มาหรือ”
ปีศาจโสมน้อยเขินอาย เอ่ย “ก็แค่ไปเปิดหูเปิดตาที่หอบุปผาสักหน่อย”
ฉินหลิวซีดึงรากมันมาทันที “เจ้าเป็นโสมพันปี เจ้าไปยังสถานที่สกปรกเหล่านั้น เจ้าไม่กลัวว่าพลังจิตวิญญาณจะแปดเปื้อนหรือ แล้วยังอยากที่จะเปลี่ยนรูปร่าง เจ้ามีสมองให้ได้ก่อน”
ปีศาจโสมน้อยกรีดร้อง ลูบบาดแผลบนขาหนาที่ถูกดึงออก ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
ทันทีที่เข้ามาเฟิงซิวก็รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดี หันหลังจะวิ่งหนี
ฉินหลิวซีไม่แม้แต่จะหันไปมอง “หากเจ้ากล้าไปข้าเอาเจ้าตายแน่!”
เฟิงซิวหยุดฝีเท้า “ปีศาจโสมน้อยทำให้เจ้าขุ่นเคืองหรือ เจ้าโสมแกว่งเท้าหาเสี้ยน จัดการมันเลย!”
ปีศาจโสมน้อย ‘ตอนที่ไปดูแม่นางฮวาด้วยกันเป็นสหายสนิท ตอนนี้โยนหายนะมาให้ข้า เจ้ามันนิสัยไม่ดี!’
ฉินหลิวซีหันไป “ต่อไปนี้หากเจ้าพามันไปสถานที่สกปรกเหล่านั้นอีก แล้วจิตวิญญาณของมันแปดเปื้อน ข้าเอาเจ้าตายแน่”
เฟิงซิวรู้สึกผิดเล็กน้อย เอ่ย “ข้าก็ไม่ได้โง่ ข้าได้เสกม่านอาคมห่อมันไว้แล้ว ไม่มีสิ่งสกปรกติดบนตัวมันได้แม้แต่นิดเดียว เจ้าวางใจเถิด”
เขาย่อมรู้ว่าการฝึกบำเพ็ญของปีศาจโสมนั้นไม่ง่ายเลย หากปนเปื้อนพลังสกปรก พลังจิตวิญญาณก็จะได้รับผลกระทบ ย่อมต้องปกป้องมันอยู่แล้ว
ฉินหลิวซีสบถ หยิบกล่องหยกออกมาบรรจุขาโสมแล้วใส่ลงไปในกระบุง
เฟิงซิวเหลือบมองกระบุงแล้วถามว่า “รีบเร่งเรียกข้ามาทำอะไร”
“แม่นางเผ่าแม่มดตระกูลซือผู้นั้นที่เคยบอกกับเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้ ชะตาชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง เกรงว่าจะต้องทำลายคำสาปแล้ว ของที่ข้าให้เจ้านำกลับมาล่ะ เจ้าไปกับข้าด้วย เพื่อป้องกันสิ่งไม่คาดคิด”
เมื่อเฟิงซิวได้ฟังดังนั้นก็เอ่ยด้วยความบูดบึ้ง “แม่นางผู้นั้นรูปร่างหน้าตาดีหรือไม่ ดูเจ้าเป็นกังวลเข้าสิ”
ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “รูปร่างงดงามมาก”
เฟิงซิวโกรธ “ข้าไม่ไป! ข้าหึงแล้ว!”
“ให้โอกาสเจ้าพูดใหม่อีกครั้ง” ฉินหลิวซีเหลือบมองมา
เฟิงซิว “ไปตอนนี้เลยหรือ รีบไปรีบกลับละกัน”
การฝึกฝนนับพันปีสามารถถูกทำลายในทันที ต้องถูกกินเป็นแน่!
ฉินหลิวซีใช้หินหยกสองก้อนเปลี่ยนรังให้ปีศาจโสมน้อย ทำให้ปีศาจโสมน้อยที่น่าสังเวชหุบปากทันที ไม่ร้องโวยวายแล้ว
จากนั้นนางก็เอ่ยกับวั่งชวนอีกสองสามประโยค ท่ามกลางความคับข้องใจของเด็กน้อย นางได้พาเถิงเจากับเฟิงซิวใช้เส้นทางหยินไปที่อารามชิงผิงก่อน ไปหาของบางอย่างแล้วยังต้องบอกกล่าวกับนักพรตเฒ่าชื่อหยวนอีกด้วย
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนสีหน้าดูเคร่งขรึมเล็กน้อย เอ่ยว่า “ไฟนรกสามารถแผดเผาบาปและทุกสรรพสิ่งได้ เจ้าต้องระมัดระวัง เมื่อบาปแห่งความชั่วร้ายและความขุ่นเคืองจางหายไปแล้วให้หยุดมันทันที ห้ามเล่นกับไฟตามอำเภอใจ”
ฉินหลิวซีใจเต้นแรง เหลือบมองเขาก่อนจะเอ่ย “ดูเหมือนท่านผู้เฒ่าจะกลัวข้าใช้ไฟนรกนี้เป็นพิเศษ ทำไมหรือ หรือว่าข้าเคยใช้ไฟนรกนี้ทำบางสิ่งที่อุกอาจต่อคนและเทพหรือ”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวน “ไฟนรกเคลื่อนไหวไปตามใจของเจ้า ข้ากลัวว่าเจ้าจะเล่นจนเกินขอบเขต เผาทุกสรรพสิ่งจนไม่อาจแก้ไขได้ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะทำบุญเท่าไหร่ก็ไม่พอที่จะชดใช้”
“อย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซีแสร้งทำเป็นเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “จะว่าไปแล้วข้าที่เป็นคนธรรมดา แต่เหตุใดจึงได้มีความสามารถที่น่าทึ่งขนาดนี้ หรือว่าท่านผู้เฒ่ารู้ถึงเบื้องหลังอะไรบางอย่าง”
“ข้าไม่รู้ อาจเป็นเพราะเจ้าไม่ใช่คนกระมัง!”
ฉินหลิวซี “…”
บังอาจถามหน่อยว่าท่านใช่อาจารย์ของข้าจริงๆ หรือ
“รีบไสหัวออกไปได้แล้ว!” หลังจากนั้นนักพรตเฒ่าชื่อหยวนก็กลับเข้าไปในห้อง
ฉินหลิวซี “ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก ใครอยากจะรู้กันล่ะ อย่างไรซะข้าก็เก่งอยู่แล้ว!”
นางหันหลังเดินจากไป ยังต้องข้ามภูเขาถัดไปเพื่อไปเก็บกระดูกที่ถูกเก็บไว้ที่เรือนตี้ฉังในวัดอู๋เซียง
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเฝ้าดูนางจากไปอยู่ที่ประตู สายตามองไกลออกไป
เรือนตี้ฉังของวัดอู๋เซียงตอนนี้ก็มีปัญหาเล็กน้อย สาเหตุก็คือศพที่เจ้าอาวาสสวดให้ทุกวันจู่ๆ ก็มีความขุ่นเคืองเพิ่มขึ้นทวีคูณจนทะลุยันต์ปลุกเสกออกมาพัวพันกับสามเณรน้อยรูปหนึ่ง หากเจ้าอาวาสมาไม่ทันเวลา เกรงว่าสามเณรน้อยรูปนั้นคงจะถูกพลังอาฆาตพัวพันจนตายไปแล้ว
ตอนที่ฉินหลิวซีไปถึง ท่านอาจารย์ฮุ่ยเหนิงก็ใช้จีวรที่เคยห่มพระพุทธรูปห่อศพนั้นไว้ เอ่ยกับนางว่า “ช่วงนี้อาตมาได้สวดบทสวดส่งวิญญาณกับบทสวดพระกษิติครรภโพธิสัตว์ให้แก่เขา แม้ว่าพลังคับแค้นใจของศพนี้จะไม่สลายไปแต่ก็สงบลง วันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ จึงได้เพิ่มขึ้นทวีคูณเช่นนี้ กระทั่งทำร้ายสามเณรน้อยรูปหนึ่งในวัด จึงต้องใช้จีวรห่มพระพุทธรูปมาเป็นเครื่องรางห่อไว้”
ฉินหลิวซีเอ่ยถามว่า “จีวรนี้ ต้องคืนหรือไม่”
ฮุ่ยเหนิงยิ้มพลางส่ายหน้า “เป็นจีวรที่เคยห่มบนพระพุทธรูปเก่ามาก่อน เนื่องจากเวลาผ่านไปนาน จึงอบอวลไปด้วยควันธูปพลังแห่งพุทธะ นับว่าได้มีฤทธิ์ระงับสิ่งชั่วร้ายอยู่บ้าง ตอนนี้ได้เอามาห่อมันไว้ เช่นนั้นมันก็คือเจ้าของผ้าจีวรนี้ อมิตาพุทธ”
“ท่านอาจารย์มีเมตตาแล้ว”
“เป็นพุทธะที่ทรงเมตตา”
ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยอะไรกับเขาอีก ใช้กล่องไม้ธรรมดาที่แกะสลักด้วยอักขระของลัทธิเต๋ามาใส่ศพที่ห่อด้วยผ้าจีวรนั้นอย่างระมัดระวัง เป็นโลงศพขนาดเล็กที่ทำมาจากไม้เหลยจี[1] สามารถระงับพลังชั่วร้ายและสามารถทำเป็นโลงศพได้ เช่นเดียวกับที่ฮุ่ยเหนิงได้กล่าวไว้ ศพนี้เป็นเจ้าของมันแล้ว ซึ่งก็นับเป็นความเมตตาของนางที่มอบโลงศพให้
ฉินหลิวซีออกมาจากวัดอู๋เซียงพร้อมกับนำโลงศพขนาดเล็กไป เมื่อมาถึงหน้าประตูภูเขาก็เปิดประตูผี มุ่งหน้าไปยังชิงโจว
[1]ไม้เหลยจี “ไม้ฟ้าผ่า” หมายถึง ไม้ที่เหลือจากต้นไม้ที่ปลูกตามปกติซึ่งถูกฟ้าผ่า