[“ถึงเเล้ว”]
หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้เข้าไปในห้องของฟุตาบะซึ่งเป็นลักษณะห้องวันรูม* ณ เเมนชันเเห่งหนึ่ง
* ห้องวันรูม หมายถึงห้องที่มีไม่ได้แยกสัดส่วนชัดเจน โดยจะมีพื้นที่โล่ง ๆ ที่จะรวมพื้นที่บริเวณครัว บริเวณนั่งเล่น และบริเวณที่นอนรวมไว้ในห้องเดียวกัน
ผมเข้าไปในห้องด้วยความประหม่าเล็กน้อยในใจเเละได้กลิ่นของห้องผู้หญิง
[“ไม่ได้มีอะไรเยอะเเหะ”]
ต่างจากห้องของเรียที่เรียงรายไปด้วยตุ๊กตาสัตว์น้อยน่ารักเเละของตกเเต่งภายในเหมือนกับผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งห้องเต็มไปด้วยสีชมพูทําให้ดูเหมือนห้องของสาวน้อยคนหนึ่ง
เมื่อเทียบกับห้องของฟุตาบะเเล้ว จะเป็นสไตล์มินิมอลเหมือนกับเป็นห้องผู้ใหญ่อาศัยซะมากกว่า จะบอกว่าเป็นห้องคล้ายกับห้องพักในโรงเเรมก็ไม่ผิดซะทีเดียว
เฟอร์นิเจอร์ทั้งห้องเป็นสีขาว มองเเวบเดียวก็รู้ได้ว่ามีเเต่สิ่งของที่จําเป็นที่วางไว้อยู่ ไม่มีของจุกจิกเเต่อย่างใด
[“ห้องฉันไม่มีอะไรมากหรอก ไปนั่งเเถวนั้นก่อน”]
ฟุตาบะเเนะนําให้ผมนั่งลงที่หน้าโต๊ะตัวเล็กที่วางอยู่กลางห้อง
[“ดื่มอะไรดี?”]
[“มะ ไม่เป็นไร”]
[“งั้นเหรอ? ไม่ต้องเกรงใจก็ได้นะ”]
[“ก่อนที่มันจะนอกลู่นอกทางไปมากกว่านี้…เรามาเข้าประเด็นหลักก่อนดีกว่านะ”]
[“ฟุฟุ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ฉันไม่หนีไปไหนหรอกน่า”]
ฟุตาบะหัวเราะคิกคักแล้วนั่งลงข้างผม
เธอซบไหล่ผมเเละหัวเราะ “คิกๆ”
[“คือว่านะ อย่างน้อยเธอช่วยนั่งหันหน้าเข้าหาฉันได้ไหม?”]
[“เอาล่ะ…นายอยากรู้สินะว่าทําไมฉันถึงชอบนาย”]
[“ฟังที่ฉันพูดอยู่ใช่ไหมเนี่ย?”]
[“เเน่นอน เเต่ก่อนหน้านั้น…นายบอกฉันได้ไหมว่า ทําไมนายถึงไม่อยากเล่าเรื่องให้คุณทานากะเเละคุณซุซุกิฟัง ที่นายช่วยชีวิตเด็กประถมจมนํ้าในเเม่นํ้าเมื่อฤดูร้อนปีที่เเล้วหน่ะ”]
[“…หะ?”]
ทันใดนั้น ผมรู้สึกงุนงงกับหัวข้อที่เธอยกขึ้นมา
ผมไม่เข้าใจว่าทําไมเธอถึงยกประเด็นนี้ขึ้นมาในเวลานี้
เเถมยัง──
[“มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรพูดให้คนอื่นฟังซักหน่อย”]
[“งั้น ถ้าให้เดา เหตุผลที่นายวิ่งหนีออกมาจากงานโดยไม่พูดอะไร เพราะนายคิดว่าพวกเขาไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กประถมคนนั้นได้ใช่ไหมล่ะ?”]
[“…”]
ฟุตาบะจ้องมองมาที่ผมโดยที่ไม่ละสายตาไปที่อื่น
ราวกับว่าผมกําลังถูกทิ่มเเทงไม่ให้ผมเปลี่ยนประเด็น
[“เด็กประถมที่นายช่วยไว้──ชื่อว่า ซากุราบะ ฮิโยริ เธอจมนํ้าเป็นเวลาหลายนาทีเเละได้รับความเสียหายทางสมองอย่างถาวรจากภาวะขาดออกซิเจน เป็นผลทําให้เธอเป็นอัมพาตครึ่งท่อนล่างเเละยังตอนนี้เธอยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันพูดถูกไหม?”]
ผมได้ปรากฏบนหนังสือพิมพ์เเละทีวีท้องถิ่นในฐานะฮีโร่ที่ช่วยชีวิตคนคนหนึ่ง หลังจากปิดเทอมฤดูร้อนสิ้นสุดลง ผมได้กลายเป็นที่เลื่องลือของโรงเรียนในไม่ช้านัก
อย่างไรก็ตาม สภาพร่างกายของฮิโยริจัง นักเรียนหญิงชั้นประถมที่ผมช่วยชีวิตไว้ กลับถูกปิดบังไว้
คนที่รู้รายละเอียดมีเพียงเเค่โชวเเละเรียเท่านั้นในวันนั้น
และไม่มีใครพูดถึงฮิโยริจังเเม้กระทั่งคนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะงั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรเล่าให้ใครฟัง
ถึงกระนั้น ฟุตาบะอาจทําการขวนขวายหาข้อมูลเองจนได้ข้อเท็จจริงนี้ขึ้นมา
[“ถูกเผง ถึงเธอรู้ไปเเล้วมันทําไม? ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีทําไมเธอถึงชอบฉัน”]
[“ในเวลานี้ของปีที่เเล้ว ชินเซย์เป็นคนบื้อๆทําอะไรไม่เป็นสินะ”]
[“อันนี้ฉันขอไม่เถียง…”]
จู่ๆมาหยอกเล่นอะไรของเขา อยากทะเลาะนักรึไง?” ผมคิดเช่นนั้นเเต่ไม่นานนักผมก็เริ่มเห็นความเป็นมา
สีหน้าที่ดูจริงจังของฟุตาบะแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้พล่าม แม้ว่าวิธีการพูดมันจะค่อนข้างกวนก็ตาม
[“สมัยนั้น นายให้ความสนใจเเต่เรื่องฟุตบอล ส่วนเรื่องเรียนรองลงมา ทําให้คะเเนนของนายอยู่ตํ่าเตี้ยเรี่ยดินเลยสินะ”]
ถึงมันจะน่าหงุดหงิดแต่มันเป็นความจริง สมัยนั้นผมไม่สนเรื่องเรียนเลย ผมมัวเเต่หมกมุ่นอยู่กับฟุตบอลไปวันๆ
[“แต่ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน ผลการเรียนของนายดีขึ้นมากเลย ทำไมกันน้า?”]
[“นั้นเพราะ…”]
[“ทั้งๆที่เมื่อปีที่แล้วนายอยากเป็นนักฟุตบอล แต่ในเทอมสองของชั้นปีแรก นายบอกกับครูประจำชั้นว่าอยากเป็นหมอ เเละในการสอบกลางภาคครั้งล่าสุด นายก็ได้คะเเนนอันดับสองรองจากฉัน”]
[“…”]
[“ถึงกระนั้น…ผลของมันดูชัดเจนนะ? เเรงผลักดันที่ต้องการก้าวไปหาสิ่งนั้น”]
ผมเรียนเพื่อที่จะเป็นหมอเพื่อรักษาอาการของฮิโยริจัง
นั่นเป็นสิ่งเเรกที่ผมนึกถึงเมื่อผมไม่สามารถช่วยชีวิตเธอได้
ฮิโยริจังเป็นตัวกระตุ้นให้ผมอยากที่จะตั้งใจเรียนขึ้นมา
ผมบอกโซระว่า ผมอยากทําให้เรียมีความสุข ซึ่งในคําพูดนั้นเป็นความจริงเเค่บางส่วนเท่านั้น เเต่เหตุผลที่เเท้จริงนั้นต่างออกไป
[“ไม่ว่าใครก็กำลังไล่ตามความฝันของตัวเองทั้งนั้น เเต่สำหรับผู้ชายที่ชื่อชินเซย์เเล้วอะนะ เขาพยายามอย่างหนักไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนเพื่อไปถึงฝันในการเป็นนักฟุตบอล จนได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนจังหวัด แต่เขาได้ละทิ้งความฝันนั้นไป เเล้วเปลี่ยนเป็นความฝันเพื่อคนอื่นและต่อสู้อย่างสุดความสามารถ ฉันอะนะ…ชอบนายตรงนี้ ทําให้ฉันรู้สึกชอบเเละตกหลุมรักนายขึ้นมา”]
เเก้มที่ขาวราวกับหิมะของฟุตาบะได้ย้อมเป็นสีแดงระเรื่อ
[“อย่างงั้นเหรอ…จะว่ายังไงดี ขอบคุณนะ”]
ผมรู้สึกตื้นตันใจที่รู้ว่าฟุตาบะชอบผมจากใจจริง
เเต่──
[“ฉัน…ไม่ได้เป็นคนเเบบที่ฟุตาบะคิดหรอกนะ”]
[“ฉันไม่คิดว่าชินเซย์ที่ฉันกำลังคิดจะต่างจากที่นายคิดนะ เเล้วทำไมถึงคิดงั้นล่ะ?”]
[“เพราะตอนนั้น…ฉันพยายามปล่อยให้ฮิโยริจังตาย”]
ดวงตาสีฟ้าของฟุตาบะเบิกกว้าง
มีเเค่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้สิ่งที่ตัวเองกระทํา
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรียเเละการประเมินสูงเกินไปของฟุตาบะที่มีต่อผม ทําให้ผมนึกคิดอีกครั้ง
ผมคิดว่าผมรู้จักเรียดี
ผมคิดว่าเธอไม่ใช่คนประเภทที่จะหักหลังคนอื่น
เเต่เธอกลับนอกใจเเละหักหลังผม
ตัวตนผมในความคิดของฟุตาบะคงห่างไกลจากที่เธอคิดไว้มากน่าดู
[“ตอนที่…ได้ยินเรื่องที่ฮิโยริจัง──หญิงสาววัยประถมจมนํ้า ฉันไม่มีความคิดที่จะช่วยเลย”]
[“เเล้ว…ทําไมถึงคิดอย่างงั้นล่ะ?”]
[“มันเป็นเหตุผลทั่วๆไปที่มีเหตุเเละผลนั้นเเหละ มันไม่ใช่เรื่องเเปลกที่ได้ยินเรื่องของคนที่พยายามลงไปช่วยคนจมนํ้ากลับจมไปด้วยอยู่บ่อยๆ เพราะฉะนั้นฉันไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อที่จะช่วยชีวิตคนเเปลกหน้า”]
ในกรณีที่ผู้คนพยายามช่วยเหลือคนที่จมน้ำต้องเสียชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก
[“ในความเป็นจริงเเล้ว ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเธอเลย ส่วนพ่อเเม่ของฮิโยริจังก็ขอความช่วยเหลือจากหน่วยดับเพลิงเท่านั้น”]
[“เเต่ชินเซย์ก็ช่วยเธอใช่ไหมล่ะ? งั้น──”]
[“มันไม่ใช่ความตั้งใจของฉันหรอก เเต่เพราะฉันคิดว่าถ้าฉันปล่อยให้เธอตายโดยไม่ได้ทําอะไรเลย หลังจากนั้นฉันคงรู้สึกผิดน่าดู สุดท้ายเเล้ว มันก็เป็นเเค่โชคดีนั้นเเหละที่ฉันบังเอิญเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น”]
นี่คือเหตุผลที่ผมไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อฤดูร้อนปีที่เเล้วกับคนรอบข้างฟัง
ไม่ใช่ว่าผมช่วยฮิโยริจังด้วยความเมตตา
[“…งั้น ทําไมถึงเลือกที่จะเป็นหมอในอนาคตหล่ะ?”]
[“ถ้าพูดตรงๆก็เหมือนการชดใช้สิ่งที่ฉันทําไปอ่ะนะ ถ้าฉันตัดสินใจช่วยฮิโยริจังเร็วกว่านี้ล่ะก็ อาจไม่มีผลกระทบด้านสุขภาพตามมาทีหลัง”]
ผมทำไปเพราะรู้สึกผิดกับตัวเอง
[“นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมฉันถึงไม่ใช่คนเเบบที่คุณฟุตาบะคิดไว้ ถ้าฉันไม่ทําอย่างงั้น ฉันคงทรมาณจากความเกลียดตัวเอง ฉันเลยมุ่งที่จะตั้งใจเรียนเเละตั้งเป้าที่จะเป็นหมอ”]
[“ยะ…อย่างงั้นเองเหรอ…”]
อุดมคติและความเป็นจริงส่วนใหญ่จะต่างกันออกไป
เรียคือเเฟนในอุดมคติของผม เเต่ความจริงนั้นต่างออกไป
ผมไม่รู้ว่าฟุตาบะมีอุดมคติเเบบไหนสําหรับผม
อย่างน้อยความเป็นจริงของผมก็เป็นเเค่คนเห็นเเก่ตัวเท่านั้นเอง
ไม่มีความเมตตา
[“เมื่อเทียบกับฉันเเล้ว โชวเป็นคนดี เขาเป็นคนเเรกที่พยายามช่วยฮิโยริจังในตอนนั้น…เเต่ฉันเป็นคนหยุดเขาเอง”]
[“นั้นก็เพราะนายเป็นห่วงเขาใช่ไหมล่ะ?”]
[“ฉันไม่ได้เป็นห่วงอะไรมากขนาดนั้นหรอก ฉันเเค่คิดว่าถ้าเขาลงไปก็เหมือนกับเขาตัดสินใจฆ่าตัวตายดีๆนี่เอง ตัวเขายังว่ายนํ้าไม่เป็นเลยจะเอาอะไรมารอด เเต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามที่จะช่วยฮิโยริจัง”]
เเล้วมองย้อนมาที่ผมที่ว่ายนํ้าได้เเต่ไม่ยอมช่วย ส่วนทางด้านโชวที่ว่ายนํ้าไม่เป็นเเต่พยายามที่จะช่วย
ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเเล้ว คิดว่าใครเหมาะสมที่จะลงไปช่วยมากกว่ากันหล่ะ?
ผมช่วยได้เเค่โดยบังเอิญเท่านั้นเเละถ้าสมมุติผมไม่สามารถช่วยชีวิตฮิโยริจังไว้ได้ การที่จะถูกนินทาจากคนรอบข้างไม่ใช่เรื่องเเปลกอะไร
[“…งั้นเหรอ…”]
ฟุตาบะทำหน้าเศร้าอย่างอธิบายไม่ถูก
ตัวผมที่ฟุตาบะชอบน่ะ ไม่ใช่ผมแต่เป็นใครซักคนที่เธอนำภาพลักษณ์สมมุติมาแปะทับแล้วจินตนาการไปเองต่างหาก
ความรักที่เธอมีให้ผมคงหมดสิ้นเเล้ว
ฟุตาบะคงจะเสียใจที่มาจูบกับคนอย่างผมอย่างไม่ต้องสงสัย
คนเรามักจะได้ยินว่า ‘คนที่เราชอบนั้นมักจะต่างจากที่คุณคิดไว้’
ท้ายที่สุดเเล้ว คนเรามองเเต่ส่วนดีของอีกฝ่ายเเละรู้สึกว่าตัวเองรู้จักเขาดีพอ ซึ่งนั้นทําให้เกิดช่องว่างระหว่างอุดมคติกับความเป็นจริง
เหมือนที่ผมทํากับเรีย
[“…นี่ ฉันขอถามอะไรหน่อยจะได้ไหม?”]
[“…อะไรหรอ?”]
[“รู้ไหมว่าตอนนี้ฉันมีความรู้สึกเเบบไหนกับนายในตอนนี้?”]
ถ้าคุณมองออกว่าอีกฝ่ายรู้สึกเเบบไหนกับคุณ คุณจะไม่ไปคิดมากกับเขาในภายหลัง
ซึ่งนั่นคือวิธีที่คุณสามารถใช้ชีวิตกับคนที่คุณรักได้ตลอดชีวิต โดยไม่มีปัญหาเรื่องการนอกใจ
เเต่ลึกๆในใจผม ผมรู้สึกว่าฟุตาบะคงผิดหวังในตัวผม
ผมคิดว่ามันเป็นความผิดของเธอ ที่เธอมีภาพจําเกี่ยวกับผมเป็นเเบบนั้น
[“ผิดหวัง?”]
[“ฟุฟุ ผิดจ้า”]
หลังจากฟุตาบะพูดจบ เธอนํามือทั้งสองข้างมาประคองหน้าผม
[“──ไม่ว่าชินเซย์จะคิดยังไงกับตัวเอง ฉันก็ยังชอบนายนะ”]
[“…เอ๋?”]
[“ฉันไปบอกเเล้วใช่ไหมล่ะ? ว่าหัวใจของฉันมีให้เเค่ชินเซย์คนเดียว”]
[“เเต่ฉันไม่ใช่คนอย่างที่เธอคิดนะ…”]
[“จริงอยู่ที่ฉันมักถูกคนอื่นเข้าใจผิดเเม้ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเเบบนั้นก็ตาม ที่สําคัญ ดูเหมือนว่าชินเซย์คิดว่าฉันตัดสินใจผิดอย่างมหันต์ เเต่ฉันไม่คิดอย่างงั้น”]
ผมคิดว่าฟุตาบะแค่ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองผิด
รุกเข้ามาจูบผม ชวนผมเข้าบ้านจนหันหลังกลับไม่ทันเเล้ว
[“นายบอกกับฉันว่า นายรู้สึกผิดต่อฮิโยริจัง นายเลยตั้งใจเรียนเพื่อที่จะเป็นหมอ เเม้ว่าจะเอาพอเป็นพิธีก็ตามสินะ? เเต่ในความเป็นจริงเเล้วนายก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเเบกรับมันไว้คนเดียวก็ได้นะ?”]
[“…ฉันต้องเเบกรับมันไว้เอง เพราะฉันเป็นคนทําให้เธอเป็นเเบบนั้น…”]
[“ถ้านายรู้สึกผิดที่ช่วยเธอไว้ไม่ได้ เเล้วไม่คิดหรอคนรอบข้างจะไม่รู้สึกผิด?”]
[“…”]
[“นายอยากจะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเเละนายยังนึกถึงเธอมากกว่าคนอื่น ผู้ชายที่ชื่อ อาซาฮิโอกะ ชินเซย์ เป็นคนใจดีตามที่ฉันคิดไว้ในจินตนาการอย่างเเน่นอน”]
[“อวยฉันเกินไปเเล้ว”]
การไว้วางใจคนอื่นกลายเป็นความเชื่อใจที่มืดบอดเมื่อมีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องรึเปล่านะ
นี่สินะที่ว่าความรักทำให้คนตาบอด
[“ยังไงก็ตาม ไม่ว่าชินเซย์จะดูถูกตัวเองมากเเค่ไหน ความรู้สึกที่ฉันมีให้ก็ไม่มีวันเปลี่ยนเเปลง เเล้วก็…ที่จริงเเล้ว…เหตุผลที่ฉันชอบนายคืออย่างอื่น”]
[“ถ้าเป็นเเบบนั้นช่วยบอกฉันได้ไหม? เหตุผลที่เเท้จริงว่าทําไมเธอถึงชอบฉัน”]
[“เอ่อ~? ลืมไปเเล้ว”]
[“ลืมเเล้วเนี่ย…”]
ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากจะตอบคำถามนี้
[“จะว่าไป หิวรึยัง?”]
[“…กะ ก็หิวอยู่หรอก เธอจะทําของให้กินหรอ?”]
[“เเน่นอนสิ ฉันทําอาหารเก่งนะจะบอกให้”]
หลังจากพูดจบ ฟุตาบะเดินไปที่ครัว ทําให้เปลี่ยนบทสนทนาได้สําเร็จ
ผมก็ทําอาหารกินเองที่บ้าน เเต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะอวดให้คนอื่นฟังได้
การที่ผมต้องทําอาหารให้มิโอริกินทุกวัน ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะทํากับข้าวเก่งซะทีเดียวเสมอไป
ผมทําของกินเองทั้งมื้อเช้ามื้อเย็น ส่วนมื้อเที่ยงผมจะกินข้าวกล่องที่เรียมาทําให้
ผมยังคงเสียใจที่ได้เเต่คิดว่า วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่ได้กินข้าวกล่องกล่องนั้น
[“ข้าวกล่องพร้อมเครื่องเคียงที่เรียจัดเตรียมให้ทุกวันมันเอร็ดอร่อยมากเลย…”]
ผมคงไม่ได้กินอาหารฝีมือของเธออีกเเเล้ว
[“เฮ้อ…คิดไปก็ทําอะไรไม่ได้อยู่ดี วันนี้เราจะเริ่มใหม่ทุกอย่าง”]
อาหารของฟุตาบะจะมีรสชาติเเบบไหนกันนะ
เธอถนัดทําอาการสไตล์ไหนกันนะ? จะเป็นสไตล์ญี่ปุ่นหรืออาหารสไตล์ตะวันตกกันนะ
ฟุตาบะที่ดูเหมือนว่าจะมั่นใจในฝีมือการทําอาหารของตัวเอง ผมนึกสงสัยว่ามันจะขนาดไหนกันเชียว
ถึงกระนั้นก็ยังดีที่มีที่ให้ค้าง เเต่ห้องกลับมีเพียงเเค่ห้องเดียวเนี่ยสิ
เตียงมีเเค่ตัวเดียว…สงสัยผมคงได้นอนพื้นหน้าห้องเเหงๆ
เเต่ถ้าเป็นคนอย่างฟุตาบะล่ะก็ ผมรู้สึกว่าเธอจะชวนผมให้ไปนอนบนเตียงด้วยกัน
[“จะว่าไป ฟุตาบะซื้อยางอะไรมากันเเน่…”]
ผมที่รู้สึกว่างๆไม่มีอะไรทํา จึงเเอบดูของในถุงพลาสติกที่เธอซื้อของมาจากร้านสะดวกซื้อ
ถ้าฟุตาบะที่ปกติเป็นคนคูลๆแต่ดันไปซื้อยางมัดผมน่ารักๆก็อาจจะเป็นแก๊ปโมเอะที่โคตรน่ารักเลยก็ได้มั้ง…
[“เอ๋!?”]
ผมเเทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ไม่ว่าจะมองยังไง ยางที่ฟุตาบะซื้อมานั้นมันสำหรับผู้ใหญ่
เเบบบางเฉียบ จํานวนสามชิ้น
[“พากลับบ้านที่เธอหมายถึงคือเเบบเองเหรอ…?”]
ผมเข้าใจความหมายของคําว่า “พากลับบ้าน” ผิดไปอย่างมหันต์
ซึ่งความหมายที่ผมนึกคิดได้ในตอนนั้นก็มีเเต่การไปค้างอยู่ที่บ้านเพื่อน
พากลับบ้าน──มีความหมายคล้ายกับการสั่งอาหารจากร้านอาหารเเต่เป็นการสั่งเพื่อนําไว้กินที่อื่นที่ไม่ใช่ร้านอาหารเเห่งนั้น เเต่ดูเหมือนว่าศัพท์นัดบอดจะหมายถึงการพาคู่ที่ชอบกลับไปที่บ้าน
เเต่เมื่อลองคิดดูเเล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่การันตีได้ว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อการที่คุณพาเพศตรงข้ามที่คุณชอบในงานนัดบอด พากลับไปที่บ้านหรือโรงเเรม
ผมไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้นเเละนึกว่าการพากลับบ้านที่เธอสื่อเป็นการ “ค้างคืนบ้านคนๆนั้นเฉยๆ” ผมจึงตัดสินใจตอบรับคําขอของเธอในเวลานั้น
นี่คงเป็นสาเหตุว่าทําไมโชวกับอาโออิรู้สึกไม่พอใจที่ฟุตาบะเลือกผมเป็นคนที่จะพากลับบ้านรึเปล่านะ
ถ้าผมกลับไปหาพวกเขา คงจะมีการนองเลือดเเน่ๆ
[“เเย่เเล้ว เเย่เเล้ว…”]
พวกเราจูบกันเเล้ว เเละมันเร็วเกินไปที่จะบอกพวกเขา สถานการณ์มันกระชั้นชิดเกินไป
มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่จะก้าวข้ามขั้นบันไดสู่ความเป็นผู้ใหญ่
ผมที่ค่อยๆขึ้นบันได เเละก้าวต่อไปของผมนั้นกําลังจะเข้าสู่เส้นชัย
มากเสียจนผมเเน่ใจว่าจะได้ยินเรื่องน่ายินดีในสุดสัปดาห์ที่จะถึง
ฟุตาบะก็ยังไปกล้าซื้อมาทั้งๆที่อยู่ในชุดเครื่องเเบบโรงเรียนอีกนะ
เมื่อมาเทียบกับผมเเละเรีย ที่ต้องเเต่งตัวเหมือนเป็นนักศึกษาเพื่อที่จะเเอบซื้อมันมา
ไม่สิ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น
เเล้วที่ว่า “ฉันจะกัดนายหรอก” เนี่ยไม่ใช่ว่าเธอพยายามจะกัดกินผมอยู่หรอกเหรอ
สําหรับผมเเล้ว ผมอยากให้ความสัมพันธ์เป็นขั้นเป็นตอนไป
ความสัมพันธ์ของฟุตาบะกับผมยังคงคลุมเครือว่าจะเรียกว่าเพื่อนได้อยู่ไหม
ถึงเเม้ว่าฟุตาบะจะเป็นฮิเมมิยะ เเต่ผมก็ไม่ได้คุยกับเธอมานานหลายปีเเล้ว
แม้ว่าจะได้มาเจอกันที่บ้าน แต่ความสัมพันธ์ก็คงไม่ค่อยแน่นแฟ้นเหมือนเเต่ก่อนเเล้ว
ความบริสุทธิ์ของฟุตาบะมันยังไงกันเเน่วะเนี่ย?
ผมคิดว่ามันไม่สายเกินไปที่จะเกิดเรื่องเเบบนี้ขึ้น หลังจากที่เราต่างตกหลุมรักกันเเละกันเเล้ว……
[“…กันเเละกันเหรอ…”]
ขณะที่ผมพูดคำๆนั้นออกมา ก็มีบางอย่างสะดุดตาผม
ผมคิดว่าเรารู้จักกันดี
ผมคิดว่าเรารักกัน
เเต่ว่า ความสัมพันธ์ของผมกับเรียนั้นเเตกต่างออกไป
ผมตั้งใจว่าจะให้ความสัมพันธ์ของพวกเราค่อยๆพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอน
ในช่วงเวลาที่ผมคิดว่าเราต่างเห็นคุณค่าซึ่งกันเเละกัน ความสัมพันธ์ของเราในฐานะคนรักก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เเละนั่นเป็นครั้งเเรกที่ผมได้ผูกพันธ์กับเรีย
แต่สุดท้ายเเล้ว มันอาจจะเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวของตัวผมเองที่ปล่อยให้เรียต้องรอ
จนถึงตอนนั้น หัวใจของเรียคงไม่สนใจคนอย่างผมเเล้ว
เพราะผมไม่รู้ว่าเรียนอกใจผมมานานเเค่ไหนเเล้ว ทําให้ผมพูดได้ไม่เต็มปากว่าเธอยังรักผมอยู่ไหม
เรียอาจรู้สึกเย็นชากับผมหรืออาจกําลังเอาอกเอาใจผมก็ได้
จิตใจของคนเรานั้นเปลี่ยนเเปลงกันไม่ได้
เพราะฉะนั้น มันถูกต้องเเล้วหรอที่ให้คนที่ชอบผมอยู่อย่างฟุตาบะรอ
ผมกังวลว่าฟุตาบะจะทิ้งผมไป เพราะผมต้องเป็นคนในอุดมคติของเธอรึเปล่า
สําหรับผมเเล้ว ผมโอเคที่จะมีอนาคตไปกับฟุตาบะ แต่มันไม่มีจะความหมายเลย หากหัวใจของเธอห่างเหินจากผมในช่วงเวลาสำคัญ
ในเวลานี้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับฟุตาบะกันเเน่
เมื่อผมลองคิดถึงมันดูอย่างใจอกใจเย็นตอนเเรกมันก็เป็นเเค่ความอยากรู้อยากเห็น
เเต่ไปๆมา บุคลิกของฟุตาบะทําให้ผมนึกถึงหญิงสาวรักเเรกในชีวิตผม ทําให้ผมอยากจะพูดคุยกับเธออีก
เเต่ถ้าให้ว่ากันตามตรง ถึงเเม้ว่าฟุตาบะจะไม่เหมือนฮิเมมิยะเเต่ผมก็ยังคงสนใจในตัวเธออยู่ดี
ฟุตาบะเป็นนักเรียนหัวใส รักษาเป็นระดับคะเเนนท็อปของชั้นเรียนได้ตั้งเเต่เข้าเรียนครั้งเเรกเเละเธอก็ได้สมยานามว่าเป็น สาวที่สวยที่สุดในโรงเรียน นอกจากนี้ ยังเป็นนักกีฬาอีกด้วย เป็นเรื่องยากที่จะไม่รู้หน้าค่าตาเธอ
เมื่อลองมองมาที่ผม สิ่งที่ผมถนัดกลับมีเพียงอย่างเดียวคือฟุตบอล ทําให้ผมรู้สึกสบอารมณ์เพราะเธอนั้นสมบูรณ์เเบบเกินไป
เเต่หลังจากฤดูร้อนครั้งนั้น ผมเริ่มทุ่มเทให้กับการเรียนมันทําให้ผมรู้ว่าเธอเก่งมากเเค่ไหน
ตั้งเเต่นั้นมา ความอยากรู้อยากเห็นของผมเกี่ยวกับฟุตาบะก็ได้กลายเป็นความเคารพนับถือในตัวเธอ
ผมขวนขวายหาความรู้โดยใช้ความรู้สึกผิดที่มีต่อฮิโยริจังเป็นเเรงผลักดันตัวเองไปข้างหน้า เเละในขณะที่เกรดของผมดีขึ้นเรื่อยๆ ผมเเอบตั้งเป้าไว้ว่าผมจะต้องเหนือว่าฟุตาบะให้ได้
เรื่องฟุตบอลก็เช่นกัน ผมตั้งเป้าที่นักฟุตบอล
อยากเป็นนักฟุตบอลดั่งที่ฝันไว้เเละเเซงหน้าฟุตาบะซึ่งได้ที่หนึ่งของชั้น
แม้ว่าตอนนี้ผมจะนึกถึงมัน ผมก็ยังรู้สึกชื่นชมในตัวฟุตาบะอยู่
จนกระทั่งผมได้คุยกับฟุตาบะในวันนี้ ทําให้ผมรู้สึกว่าผมไม่อยู่ในสายตาของเธอเลย
ฟุตาบะซึ่งมักได้ที่หนึ่งของการสอบเสมอมันจึงไม่ได้มีความหมายอะไรกับเธอ แม้ว่าเธอจะได้ที่สองในการสอบกลางภาคครั้งล่าสุด เธอก็ยังคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกผมกับเรียไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย
ทําให้ผมได้ข้อสรุปว่าฟุตาบะไม่ใช่ฮิเมมิยะ แต่เป็นคนแปลกหน้าที่ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฮิเมมิยะ
แต่ฟุตาบะจำผมได้และบอกว่าชอบผม
แน่นอนว่าฟุตาบะคงเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับผม
ผมรู้สึกเสียใจผสมปนเปกับผลที่ตามมาของการกระทำที่ไม่สมเพชของตัวเอง และนั่นเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับผมเพราะผมได้รับแรงกระตุ้นจากความสมเพชตัวเอง
ถึงกระนั้น ผมก็มีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจ
ผมเพิ่งถูกคนรักหักหลัง เเละในบางคราว ผมก็อยากเป็นที่ต้องการของใครสักคน
บางทีผมอาจต้องการใครสักคนเพื่อปลอบประโยนหัวใจที่บอบช้ำนี้ และในตอนนี้ ผมแค่ตอบสนองความต้องการของตัวเองด้วยการขอการอนุมัติจากผู้หญิงที่คล้ายกับรักแรกของตัวเองซึ่งกำลังตกหลุมรักเราอยู่
สักเเห่งในหัวใจของผม ผมโหยหาเธอ ผมพบว่าตัวเองตะลึงกับความสวยสลดงดงามของเธอ
เมื่อผมเจ็บปวด เธอปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผมเเละยืนยันความรู้สึกที่มีต่อผม
ตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับเธอ…
[“โหยหา…งั้นเหรอ?”]
ผมไม่เข้าใจหัวใจตัวเองเลยสักนิด
◇
[“เสร็จเเล้วนะ”]
เสียงของฟุตาบะทำให้ผมได้สติคืนกลับมา
อาหารที่ฟุตาบะทําให้คืออาหารญี่ปุ่น
โดยมี ข้าว ซุปมิโสะ ปลาหางเหลืองราดซอสเทอริยากิ¹ ทามาโกะยากิ² เเละคินปิระโกโบ³
¹: ปลาหางเหลืองมีอีกชื่อว่า ปลาบุริ เป็นปลาชนิดเดียวกับ ฮามาจิ เเละเมื่อมีอายุมากขึ้นไขมันปลาจะมีมากขึ้นเนื้อเเน่นขึ้นเป็นที่นิยมมากในประกาศญี่ปุ่นเเละราคาค่อนข้างสูง
²: ทามาโกะยากิหรือมีอีกชื่อว่า ไข่ม้วนญี่ปุ่น เป็นเมนูพื้นฐานประจำครัวเรือน และเป็นเครื่องสุดคลาสสิกในเบนโตะ หาทานได้ในร้านอาหาร ร้านซูชิ อิซากายะ ร้านสะดวกซื้อ และซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ซึ่งมีสองรสชาติคือเเบบเค็มเเละเเบบหวาน
³ : คินปิระโกโบ เป็นอาหารประเภทผัดของญี่ปุ่น ที่นําเเครอทเเละโกโบซึ่งเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสารอาหารครบถ้วน จากนั้นปรุงรสด้วยโชยุ สาเก มิริน น้ำมันงา โรยหน้าเพิ่มกลิ่นหอมด้วยงาขาวคั่ว
เป็นเมนูที่ค่อนข้างเรียบง่ายและดีต่อสุขภาพ
[“หน้าตาดูน่ากินเหมือนกันนะเนี่ย…”]
[“ฉันรับรองว่ามันอร่อยเเน่นอน! เพราะฉันทําขึ้นด้วยความรักที่ฉันมีต่อนายยังไงล่ะ”]
คำพูดที่ออกจากปากของฟุตาบะซึ่งนั่งตรงข้ามผมทำให้ใจผมเต้นแรง
พูดออกมาง่ายๆเลยนะ…
ผมไม่ใช่ศาสดาอะไรพวกนั้น และแม้ว่าผมจะรวบรวมสิ่งที่สวยงามเหล่านี้ไว้ในหัวและพยายามทำตัวให้เหมือนคนมีเหตุผล ผมก็ไม่มีความคิดที่จะไปปฏิเสธผู้หญิงสวยๆแบบนี้ถ้าเธอจะบังคับผม
มันจะถูกต้องกว่าไหมถ้าผมบอกว่าความรู้สึกชั่วร้ายของผมมันไม่ได้หายไปหมด
ฟุตาบะบอกว่าผมเป็นคนใจดี
ถ้าผมเป็นคยอย่างที่เธอพูดจริง ผมคงไม่มีวันโอบกอดผู้หญิงที่ผมไม่ได้รัก
เเต่ผมเป็นเพียงเเค่เด็กมอปลายที่อยู่ในช่วงเเตกสาว
ตอนนี้ผมเลิกกับเเฟนที่ผมมีความสัมพันธ์ด้วย เเล้วถ้าฟุตาบะต้องการผม ผมอาจเเสวงหาความสุขมากกว่าจริยธรรม
ยังไงซะผมก็เป็นเเค่คนที่ทําตามอารมณ์ชั่ววูบ
หากความปราถนาที่จะครอบครองฟุตาบะหมดลง ผมก็จะทําตามนั้น
จนกว่าจะถึงเวลานั้นผมไม่รู้ว่าหัวใจของผมจะเเกว่งไปทางไหนกันเเน่
มีผู้ชายและผู้หญิงนับไม่ถ้วนในโลกใบนี้ที่มีความสัมพันธ์กันเเบบวันไนท์สแตนด์⁴
⁴ : วันไนท์สแตนด์ (One Night Stand) หรือคู่นอนคืนเดียว คือความสัมพันธ์แบบยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่ายกับคนที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน หรืออาจจะรู้จักกันช่วงสั้นๆ ก่อนจะพากันไปมีอะไรกัน
มันเป็นความสัมพันธ์เเบบที่คุณไปนัดบอดเเละพาผู้ชายที่คุณชอบกลับบ้าน
ถ้าคุณถามผมว่าผมกําลังมองหาความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์เพียงเพราะผมพึ่งรู้จักมันได้ไม่นานเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เเละต้องการข้ามเส้นนั้นไหม ผมตอบเลยว่า ‘ไม่’
ผมแค่อยากจะค่อยๆ กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะผมยังไม่พร้อมสำหรับมัน
ถ้าให้ยกตัวอย่างก็ประมาณว่า ผมไม่ต้องการวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และเข้าเส้นชัยโดยหมดสภาพ
ผมแค่ต้องการเดินอย่างช้าๆเพื่อไปให้ถึงเส้นชัยโดยไม่ต้องเสียเเรงเยอะ
ในทางกลับกัน ฟุตาบะน่าจะเป็นคนประเภทที่ต้องการวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้เเละเข้าเส้นชัยโดยหมดสภาพ
อย่างไรก็ตาม ในการเข้าสังคม สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องยืนอยู่ในระดับสายตาเดียวกับอีกฝ่ายหรืออ่านบรรยากาศให้ออกและปรับวิธีการสนทนาของคุณ ผมแน่ใจว่ามันเหมือนกับความรัก
คิดไปคิดมาผมอาจจะฟินไปกับฟุตาบะเต็มสปีดก็เป็นได้
ความสัมพันธ์จะคงอยู่แค่คืนนี้หรือจะดำเนินต่อไปในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับผมกับฟุตาบะหลังจากนี้ไป
[“งั้น…ทานเเล้วนะครับ”]
[“เชิญรับประทานได้เลย”]
วันนี้ผมไม่ได้กินข้าวเที่ยงจึงรู้สึกหิวเป็นพิเศษ
เเม้เเต่ที่บาร์คาราโอเกะผมก็ไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากเครื่องดื่มที่ผมสั่งไปสองสามเเก้ว
[“อร่อยไหม?”]
[“อืม อร่อยมากเลย”]
ฟุตาบะทําอาการได้อร่อยโดยไม่ต้องยกยอเพราะเธอประกาศตัวเองว่าเป็นเเม่ครัวมือดี
[“อร่อยกว่าอาหารที่คุณชิอินะทําให้อีก?”]
ฟุตาบะเรียกชื่อของเรียออกมาจากปากเป็นครั้งเเรก
มันเป็นไทม์มิ่งที่แย่ที่สุด
ผมค่อยๆ วางตะเกียบที่หยุดอยู่กลางอากาศลง
[“สุดท้ายก็ไม่ตอบอยู่ดีสินะ ไม่ว่าเธอจะนอกใจเเละบอกเลิกไปมากเเค่ไหนเเล้ว เรื่องรสชาติอาหารน่ะมันไม่เกี่ยวกันหรอกนะ”]
[“…ก็จริงเเฮะ”]
เเม้ว่าเธอจะนอกใจผมหรือขาดความรักของผมไป สุดท้ายเเล้วรสชาติของอาหารของเธอก็ยังเหมือนเดิม
ความเมตตาของเรียที่ทําข้าวกล่องให้ผมอาจกลายเป็นความเฉื่อยชา
[“จะว่าไปเเล้วชินเซย์ นายคิดว่าโลกนี้เท่าเทียมกันไหม”]
[“เอ๊ะ จู่ๆถามอะไร?”]
อยู่ดีๆ ถามคำถามเชิงปรัชญาซะงั้น?
ก็รู้สึกขอบคุณนะที่ออกจากหัวข้อที่น่าอึดอัดใจเมื่อครู่…
[“ความเท่าเทียม…ฉันไม่คิดว่าเราพูดได้ว่ามีอยู่จริงนะ? ฉันคิดว่ามันขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะหมายถึงมากกว่า เเต่ส่วนตัวฉันเองคิดว่าพวกพรสวรรค์เเละรูปร่างหน้าตาอะไรพวกนี้ถูกกําหนดไว้ตั้งเเต่เกิดเเล้วระดับหนึ่ง”]
แน่นอนว่า ผมมีโอกาสที่จะพัฒนาความสามารถของตัวเองได้ เช่นเดียวกับการที่ผมพัฒนาผลการเรียนจากระดับล่างสุดของชั้นเรียนเป็นอันดับสองในชั้นเรียน
แต่ในทางกลับกัน ผมไม่คิดว่าตัวเองมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพได้ในอนาคต ผมเชื่อว่าคนที่จะเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพในอนาคตได้นั้นต้องมีพรสวรรค์โดยเเต่เกิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกีฬาที่มีร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ
พันธุกรรมของเเต่ละคนมีขีดจำกัดว่าคุณสามารถพัฒนาได้มากแค่ไหน
แม้แต่หน้าตาเมื่อเทียบกับพี่น้องตระกูลทาคาบานาชิ คนพี่ก็หล่อเหลา ส่วนคนน้องก็สวย ส่วนผมนั้น…
[“ฉันก็คิดเเบบนั้นเหมือนกัน เราทุกคนเกิดมาพร้อมด้วยจุดเริ่มต้นที่ต่างกันออกไป”]
[“พอคุณฟุตาบะซึ่งเป็นหนอนหนังสือเเละหน้าตาดีพูด มันดูเป็นประชดประชันยังไงก็ไม่รู้…”]
[“เเม้เเต่ฉันยังมีเรื่องที่เริ่มต้นช้าเลย ถ้าให้ยกตัวอย่างก็ ใช่เเล้ว…เรื่องความรักน่ะ”]
[“ความรัก…”]
[“ตอนที่ฉันรู้ว่าชินเซย์และคุณชิอินะกำลังออกเดทกัน เเทนที่ฉันจะบอกว่าเริ่มต้นช้า ฉันจะบอกว่ามันสายเกินไปเเทน”]
คนที่ผมชอบมีแฟนอยู่แล้ว
แน่นอนว่า มันเป็นสถานการณ์ที่ผมไม่เคยมีโอกาสได้ออกจากจุดเริ่มต้นเลย
[“ถ้าพูดตามตรง รูปลักษณ์ของฉันมันง่ายกระจิดริดที่จะเอาชนะคนที่มีเเฟนอยู่เเล้ว ถ้าฉันใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ ฉันมั่นใจว่าฉันทําให้มันเป็นกลายมาเป็นของฉันเองได้”]
[“มั่นหน้าเเท้…”]
แต่จะมีเด็กม.ปลายกี่ไหนจะส่ายหัว ถ้ามีสาวสวยอย่างฟุตาบะออดอ้อนขอคบกัน?
อันที่จริง มีหลายคนในโรงเรียนมัธยมของผมที่ไปสารภาพรักกับฟุตาบะและถูกปฏิเสธ
แม้แต่คนที่มีเเฟน ยังไม่รู้ว่าหัวใจของตัวเองกําลังหวั่นไหวอยู่
[“แต่ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้นายมาเป็นของฉัน ด้วยบุคลิกของนาย ไม่มีทางที่คุณชิอินะจะทำอะไรอย่างการหักหลังนายหรอก เพราะถ้าเธอหักหลังนาย แสดงว่านายไม่ใช่คนในสายตาเธอ”]
[“ก็จริง…”]
[“ทันทีที่รู้ว่านายเลิกกับเธอเเล้ว ฉันเลยเข้าไปสารภาพรักกับนาย ฉันไม่อยากให้มันเป็นการเริ่มต้นที่สายเกินไปอีกต่อไปเเล้ว”]
[“อย่างงั้นหรอ?”]
[“อืม สุดท้ายเเล้วเราก็ลงเอยด้วยการคุยกันได้ปกติใช่ไหมล่ะ? บอกไปเเล้วไม่ใช่หรอว่าฉันชอบนายน่ะ”]
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่เธอพูดถึงชีวิตรักของคนอีกสี่คนที่เหลือในงาน ฟุตาบะยังยืนยันความรู้สึกตัวเองอีกครั้งว่าคนที่ตัวเองชอบคือผม
โดยปกติแล้ว การบอกใครสักคนอย่างตรงไปตรงมาว่าคุณชอบเขามากแค่ไหนนั้นต้องใช้ความกล้าและความรักที่มีต่อเขา แต่ฟุตาบะกลับบอกผมด้วยความรู้สึกตามความเป็นจริง
[“เเล้วก็มีอีกอย่างที่ฉันได้คิดไว้แล้ว นั่นก็คือถ้านายโสดในอนาคต ฉันจะทำให้นายมาเป็นของฉัน”]
[“ถึงขั้นนั้นเลย…”]
เมื่อผมลองคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เธอพูด คำพูดและการกระทำของฟุตาบะถูกต้องไปหมด
เธอบอกความรู้สึกจริงๆที่มีต่อผม จูบผม และพาผมเข้าไปในบ้านของเธอ
[“…ไหนๆก็ไหนๆเเล้ว สรุปเเล้วได้คําตอบรึยัง?”]
[“คําตอบ…?”]
[“ก็ ‘อาหารที่ฉันหรือคุณชิอินะทําอร่อยกว่ากัน’ ไง”]
[“เอ่อ…”]
[“ถ้านายกําลังกังวลกับสิ่งที่จะตอบออกมา…เเสดงว่านายยังมีใจให้คุณชิอินะสินะ?”]
ฟุตาบะ ขมวดคิ้วและจ้องมาที่ผม
[“เป็นฉัน…ไม่ได้หรอ?”]
[“ฉันไม่ได้บอกว่าคุณฟุตาบะยืนอยู่เคียงข้างฉันไม่ได้…เเต่เพราะความรักทั้งหมดของฉันในตอนนี้อยู่กับเรีย มันเลยไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหันไปหาคนอื่นน่ะ”]
[“….นั่นสินะ มันไม่ง่ายที่หันไปหาคนอื่น…”]
ฟุตาบะหันหน้าไปทางอื่นและเม้มริมฝีปาก
[“แต่ถ้าให้พูดตามตรง ตอนนี้ฉันไม่ได้บอกว่าฉันไม่สนใจในตัวคุณฟุตาบะ”]
หลังจากผมเเสดงความรู้สึกที่เเท้จริงออกมาเเละฟุตาบะหันหน้ากลับมาหาผมอีกครั้ง
[“…งั้นพวกเรามาอึ้บกันเถอะ”]
[“…เอ๋?”]
[“ไม่สิ คือว่า…ฉันพูดผิด ช่วยอึ้บกับฉันด้วยค่ะ”]
ใบหน้าของฟุตาบะย้อมเป็นสีแดงเเละเเสดงท่าทางดูอ้อนวอน
มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดที่เรียแสดงให้ผมเห็นในวันที่เราเริ่มคบกัน
ในวันนั้น──วันที่ผมกับเรียเริ่มออกเดทกัน ผมเห็นสีหน้าของเธอเป็นแบบเดียวกับฟุตาบะที่แสดงให้เห็นตอนนี้
มันเป็นใบหน้าที่ดูเหมือนเขินอายและละอายใจ
[“ช่วยนําความรักนั้น…มากับให้ฉันด้วยเถอะค่ะ”]
ผม…ควรตอบกลับเธอไปว่ายังไงดีนะ?
ผมตอบกลับฟุตาบะในเเบบที่ผมไม่รู้จักเธอดีได้ไหม?
แต่ถ้าถามผมเเล้วว่า ผมรู้จักเรียดีพอที่จะไปเดทด้วยกันไหมนั้น ความจริงเเล้วผมไม่เข้าใจเเก่นเเท้ของเรียเลย
ผมเป็นคนหนึ่งที่ล้มเหลวในการทำความรู้จักอีกฝ่ายดีพอที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์หรือผ่านขั้นตอนต่างๆของความสัมพันธ์ ซึ่งไม่มีอะไรการันตีว่าวิธีเดิมจะได้ผลอีกครั้ง
[“คุณฟุตาบะ…โอเคกับมันหรอ? ถ้าตอบตกลงคบกับฉันตอนนี้แล้วล่ะก็ มันจะไม่เป็นการไม่ให้ความสำคัญเรื่องของเธอเองไปเลยเหรอ?”]
[“ทําไมถึงคิดเเบบนั้นล่ะ?”]
[“ก็นั่นไง…ไปคบกับคนที่ไม่ได้รู้ว่ารักไปเนี่ย มันก็เหมือนกับการไม่ให้ความสำคัญอีกฝ่ายใช่ไหมล่ะ คุณฟุตาบะน่ะไม่น่าจะชอบฉันที่เป็นแบบนั้นหรอกนะ…”]
ฟุตาบะส่ายหัวอย่างเงียบ ๆ และกลับมานั่งข้างผม
[“นี่เป็นความเห็นเเก่ตัวของฉัน ฉันไม่ต้องการให้คนอื่นมาเเตะต้องชินเซย์ และฉันไม่ต้องการให้พวกเขาล้ำหน้าฉัน เพราะงั้นเเล้ว ฉันอยากให้นายเป็นของฉันคนเดียว”]
[“ขอร้องเถอะนะ…”]
[“คําเห็นเเก่ตัวจากฉัน…ชินเซย์จะรับตอบรับมันไหม?”]
ฟุตาบะซบหน้าลงมาที่กลางอกของผมและเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยเเววตาที่อ้อนวอน
[“ถ้าจะคบกับฉัน…เเทนที่จะให้คําตอบ คราวนี้ฉันขอคําตอบเป็นจูบเเทนได้ไหม?”]
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายในวันนี้
ผมคิดหลายเรื่องๆ ไม่ว่าจะ เรื่องชีวิตของตัวเอง เรื่องตัวเอง เเละเรื่องคนอื่น
มันทําให้ผมรู้สึกว่าเเม้เเต่ค่านิยมของตัวเองก็เปลี่ยนไป มุมมองชีวิตตัวเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม จนถึงตอนนี้ ผมแน่ใจว่าผมคงไม่ได้ทำอะไรที่กล้าหาญขนาดนั้น──
ผมประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของฟุตาบะอย่างนุ่มนวล
————–
ช่องทางการติดตาม FB: Mxgic