หลังได้ฟังเรื่องต่าง ๆ จากอเลกเซียและก็โดนอัดข้อมูลเตรียมพร้อมล่วงหน้ามากเท่าที่จะอัดได้แล้ว เฮเลนาก็ตกอยู่สภาพจิตใจอันแปลกประหลาดที่หวั่นวิตกว่าจะโดนอเลกเซียดุ ยิ่งกว่าหวั่นวิตกที่จะพบหน้าจักรพรรดิซะอีก
ทว่าเมื่ออัดข้อมูลรวมถึงฝึกซ้อมสำหรับการมาเยือนของจักรพรรดิจบแล้ว เฮเลนาก็ปฏิบัติกับอเลกเซีย ไม่ใช่ในฐานะ “นางกำนัลติดห้องอเลกเซีย” แต่เป็น “อัลผู้เป็นเพื่อนสมัยเด็ก” ได้ในที่สุด
“งั้นหรือคะ สถานการณ์รบกับจักรวรรดิอัลเมดาลำบากถึงเพียงนั้น……”
“ใช่ พูดตามตรงแล้วก็อยากจะได้แม่ทัพเพิ่มอีกสักคนสองคนล่ะนะ แต่ว่ายังไงซะท่านบาร์โตโลเมก็คงไม่ตายหรอก ข้านึกภาพคนคนนั้นตายไม่ออกเลยด้วยซ้ำ”
“บังเอิญจังนะคะ ฉันเองก็นึกภาพพี่ชายตายไม่ออกเหมือนกันค่ะ”
อเลกเซียหัวเราะ และเฮเลนาก็ยิ้มกลับไปเหมือนกัน
บาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ด แม่ทัพผู้ครองฉายา “ขุนศึกหมีน้ำเงิน” เป็นชายร่างใหญ่เหมือนหมีสมกับฉายานั้น ในการต่อสู้กับแม่ทัพข้าศึกแบบตัวต่อตัวเขาก็ไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว ว่ากันว่าในหมู่แปดยอดขุนศึกแล้วพลังรบแบบตัวคนเดียวของเขานับว่าแข็งแกร่งที่สุดเลยทีเดียว
จึงเป็นเรื่องจริงที่เธอนึกภาพบาร์โตโลเมคนนั้นตายในการต่อสู้ไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
“แต่ก็คงจะลำบากอยู่ไม่ผิดแน่สินะคะ”
“ใช่ ตอนนี้กำลังต่อสู้แบบตั้งรับอยู่ที่ป้อมปราการแกรมตรงชายแดนที่ติดกับจักรวรรดิอัลเมดา……แต่ท่านบาร์โตโลเมน่ะไม่ถนัดการต่อสู้แบบตั้งรับเท่าไรนัก ถ้าวิกเตอร์กลับไปถึงแล้วท่านบาร์โตโลเมก็จะเคลื่อนไหวได้ตามใจ จากนั้นสถานการณ์รบอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้”
“ฉันพูดเองก็อาจจะแปลก ๆ แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงในสถานการณ์นี้ การที่ท่านเฮเลนามาเข้าวังหลังก็คงทำให้แนวหน้าต้องรับภาระหนักขึ้นสินะคะ”
“นั่นสินะ ฉันเองก็นำทัพได้ทัพหนึ่ง แล้วก็เข้าใจความคิดของวิกเตอร์ดีดังนั้นต่อให้ไม่มีคำสั่งก็สามารถเคลื่อนไหวเองได้ หากมองจากมุมของวิกเตอร์ก็คงเหมือนเสียตัวหมากที่ใช้งานได้ดีไปล่ะมั้งนะ”
‘เฮ้อ’ เฮเลนาถอนหายใจเฮือกใหญ่
เพราะมีเรื่องให้คิดมากเกินไป ก็เลยแทบไม่รู้รสชาติของอาหารมื้อเย็นที่ถูกเตรียมมาให้เลย ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นอาหารที่เมื่อถูกทำขึ้นมาก็ต้องผ่านการทดสอบยาพิษก่อนที่จะนำมาถึงห้องได้ ดังนั้นโดยพื้นฐานมันก็จะเย็นชืดไปหมดแล้ว ต่อให้เป็นอาหารที่เลิศหรูขนาดไหนก็ตามถ้ามันเย็นชืดซะแล้วก็คงดึงความอร่อยออกมาได้ไม่ถึงครึ่ง
อนึ่ง เธอได้ชวนให้อเลกเซียมาทานด้วยกันแล้วแต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างขันแข็ง ดูเหมือนว่านางกำนัลจะรับประทานอาหารที่โรงอาหารเฉพาะสำหรับนางกำนัลเท่านั้น และที่นั่นก็ไม่ต้องมาห่วงเรื่องทดสอบยาพิษเลยสามารถทานอาหารร้อน ๆ ที่ทำเสร็จใหม่ ๆ ได้
“เอาล่ะ……ออกกำลังหลังอาหารหน่อยละกัน”
“จะทำอะไรหรือคะ?”
เฮเลนาเช็ดปากก่อนจะลุกขึ้นเก็บจานชามที่กินเสร็จแล้วคืนบนรถที่ใช้สำหรับเข็นอาหาร
อเลกเซียพยายามรีบร้อนมาเก็บให้แต่ก็ช้าไปซะแล้ว สำหรับเฮเลนาที่แต่เดิมทีแล้วอยู่ในกองทัพซึ่งกินข้าวหม้อเดียวกันโดยไม่แบ่งแยกสูงต่ำ โต๊ะของตัวเองก็ย่อมต้องเก็บด้วยตัวเองเป็นเรื่องธรรมดา
ถึงแม้ว่า ดูยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่บุตรีมาร์ควิสควรจะทำก็เถอะ
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ต้องวิดพื้นน่ะสิ”
“……เอ๋?”
“วิดพื้นไง อ้อ อเลกเซีย ถ้าว่างอยู่ก็ช่วยมาขี่หลังของข้าได้ไหม?”
“เพื่ออะไรคะ!?”
“ก็ถ้าเพิ่มน้ำหนักถ่วงมันจะฝึกฝนได้ดีกว่าไงล่ะ”
‘ฮึบ’ เฮเลนาวางมือทั้งสองลงบนพื้นที่ปูพรมอย่างดี และทรงตัวอยู่โดยใช้แค่ปลายเท้ากับมือสองข้าง อเลกเซียมองภาพนั้นอย่างพูดอะไรไม่ออก
เห็นดังนั้นเฮเลนาก็เอียงศีรษะนิด ๆ ด้วยความฉงน
“……เป็นอะไรไปเล่า อเลกเซีย”
“เอ่อ……นี่มัน อะไรคะ”
“เอ้า รีบขึ้นมาบนหลังเร็วเข้าสิ ข้าอยากจะเริ่มฝึกไว ๆ”
“…………อะ ค่ะ”
ดูเหมือนว่าอเลกเซียจะช่างแม่งเลิกคิดแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ ขึ้นไปนั่งบนหลังของเฮเลนา และก็อย่างที่คาดว่าเพราะเป็นหญิงสาวจึงไม่มีน้ำหนักมากนัก
ทว่าเฮเลนาก็ออกแรง ‘ฮึบ’ และเริ่มวิดพื้น
“เอ่อ……ท่านเฮเลนาคะ”
“สิบหนึ่ง สิบสอง สิบสาม……มีอะไรรึ? สิบสี่ สิบห้า”
“ทำไมถึงวิดพื้นคะ?”
“เรื่องนั้นมันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่รึ ร่างกายน่ะถ้าไม่ฝึกฝนมันไปเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อก็จะลดลงในเวลาไม่นาน ในสนามรบนั้นแค่การขี่ม้าก็ยังต้องใช้แรงพอสมควรเลย ถ้าเอาแต่อยู่ในห้องไปวัน ๆ แบบนี้ก็จะสูญเสียแม้แต่กล้ามเนื้อที่จำเป็น ดังนั้นจึงต้องฝึกฝนทุกวันยังไงล่ะ”
“…………งั้นหรือคะ”
ไม่รู้ทำไมอเลกเซียถึงกุมขมับ ทว่าเฮเลนาที่กำลังวิดพื้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ใต้เอวของอเลกเซียก็ย่อมไม่เห็นอากัปกิริยานั้น
และระหว่างที่คุยกันอยู่เธอก็ดันลืมว่าทำไปกี่ครั้งแล้ว เฮเลนาจึงวิดพื้นต่อโดยนับใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง
และแล้ว เมื่อจำนวนนั้นเกินหนึ่งร้อยครั้งไปได้ไม่นาน
“ขออนุญาตค่ะ พระสนมฟ้าสุริยา”
ผู้ที่เข้ามาพร้อมกับเสียงเคาะประตูก็คือหัวหน้านางกำนัลรับใช้ อิซาเบล
โดยปกติแล้วจะต้องรอให้ผู้ที่อยู่ในห้องตอบก่อนจึงจะเปิดประตู แต่อิซาเบลกลับเข้ามาโดยไม่รอคำตอบของทางนี้เลย แปลว่าคงจะเป็นเรื่องเร่งด่วนถึงขนาดนั้น
ทว่าสภาพของเฮเลนาตอนนี้มันเลวร้ายเกินไป
“……เอ๋?”
“หืม?”
“…………อุหวา”
ภาพนั้นที่อิซาเบลเข้ามาในห้องแล้วเห็นอยู่ตรงหน้า
คือบุตรีมาร์ควิสผู้เป็น “สนมฟ้าสุริยา” ที่ไม่รู้ทำไมถึงกำลังเอาสองมือยันพื้นและมีนางกำนัลขี่อยู่บนหลัง
ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่ใช่สภาพที่จะอธิบายจบได้ในคำเดียวเลย
“……อเลกเซีย”
“เกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้โปรดให้ฉันได้อธิบายภายหลังด้วยเถอะค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรแบบนี้นะคะ”
“……อืม เอาเถอะ พระสนมฟ้าสุริยาคะ ก่อนอื่นก็ให้อเลกเซียลงมาแล้วก็โปรดยืนขึ้นด้วยค่ะ จะขออนุญาตเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่านนะคะ”
เมื่อเจอกับสายตากดดันที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของอิซาเบล เฮเลนาจึงเชื่อฟังยืนขึ้นอย่างว่าง่าย
สภาพการแต่งกายของเฮเลนานั้นต่อให้อยู่ในห้องก็ไม่นับว่าเหมาะสมเท่าไรนัก ถึงอย่างน้อยมันจะยังดูเป็นชุดเดรสอยู่ แต่เพื่อให้เคลื่อนไหวง่ายกระโปรงยาวจึงโดนฉีกข้างอย่างน่าหวาดเสียว และเพราะร้อนก็เลยปลดกระดุมเปิดอกไว้ นอกจากนั้นยังเหงื่อออกเต็มไปหมดและผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเลยสักนิด
จะปล่อยให้ไปยืนต่อหน้าพระจักรพรรดิในสภาพนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
“ถ้างั้นก่อนอื่น พระสนมฟ้าสุริยา……โปรดอาบน้ำด้วยค่ะ”
“……อะ ค่ะ”
ไม่ควรไปต่อต้านอย่างเด็ดขาด
สายตานั่นทำให้สัญชาติญาณของเธอบอกเช่นนั้น เฮเลนาพยักหน้าอย่างว่าง่ายและไปยังที่อาบน้ำร้อนซึ่งมีอยู่ในห้อง ถึงจะเรียกว่าที่อาบน้ำร้อนแต่ก็ไม่ได้แปลว่ามีน้ำร้อนอยู่เสมอ มันเป็นเพียงที่สำหรับเอาไว้ใช้งานน้ำร้อนเท่านั้นเอง
ส่วนน้ำร้อนนั้นนางกำนัลรับใช้จะนำมันมาจากที่อื่นด้วยถังส่วนตัว และตอนนี้ในถังส่วนตัวที่อิซาเบลนำมาก็มีน้ำร้อนที่กำลังอุ่นได้ที่อยู่
เฮเลนาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเลย
อันดับแรกก็ถอดชุดออก แล้วก็เข้าไปยังที่อาบน้ำ แล้วอเลกเซียก็ตามเข้ามาด้วยท่าทางราวกับเคยชิน—เดี๋ยวนะ
“……อเลกเซีย?”
“การรับใช้พระสนมฟ้าสุริยาคือหน้าที่ของฉันค่ะ”
“ไม่สิ……แค่อาบน้ำน่ะข้าทำเองได้”
“หน้าที่ของฉันค่ะ ได้โปรดให้ฉันจัดการนะคะ”
“เอ๋—……”
อย่างน้อยการอาบน้ำเนี่ยก็อยากจะทำคนเดียวนะ
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่อิซาเบลก็คงไม่ยอมให้ทำ และอเลกเซียก็คงจะไม่ถอยด้วย ช่วยไม่ได้แฮะ
เธอปล่อยให้อเลกเซียขัดถูชำระล้างร่างกายตามต้องการรวมทั้งสระผมให้ด้วย ถ้าไม่คอยสะกดจิตใจตัวเองเอาไว้ว่า ‘เรากลายเป็นแค่ตุ๊กตาไปแล้ว’ คงรู้สึกอายจนอยากจะตายเลยทีเดียว
และแล้วหลังจากอาบน้ำเสร็จ การแสดงโชว์แต่งตัวตุ๊กตาที่จัดโดยอเลกเซียกับอิซาเบลก็ได้เริ่มขึ้น
โดนเตรียมชุดเดรสนานาชนิดมาให้ลอง แล้วก็โดนมัดคอร์เซ็ตอย่างแน่นซะจนเลือดไม่ไหลเวียน พอสวมชุดแล้วก็โดนบอกว่า “ไม่เวิร์คนะคะ” แล้วก็โดนถอดออก รู้สึกได้เลยว่าตอนนี้สภาพจิตใจค่อย ๆ โดนบั่นทอนไปเรื่อย ๆ แล้ว
หลังจากโดนจัดโชว์แต่งตัวไปไม่รู้กี่ครั้ง สุดท้ายก็มาจบลงที่ชุดเดรสชุดหนึ่ง แล้วก็นั่งลงบนโซฟาได้ซะที
‘นี่มันเหนื่อยกว่าวิดพื้นพันครั้งอีกมั้งเนี่ย’ เธอรู้สึกอ่อนล้าไปทั้งร่างกายจนถึงกับคิดแบบนั้นขึ้นมา
“เท่านี้ก็คงพอแล้วกระมังค่ะ”
“ค่ะ หัวหน้านางกำนัล”
“ถ้างั้นก็ ท่านเฮเลนา—ถึงเวลาพอดีเลยค่ะ”
‘ฉึบ’ อิซาเบลถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ในเวลาเดียวกันนั้นประตูที่อยู่ด้านหลังของเธอก็ค่อย ๆ เปิดออก
อเลกเซียกับอิซาเบลหันหน้าไปทางประตูนั้นและโค้งศีรษะลงต่ำ
“พอแล้ว ไม่ต้องทำตัวน่าอึดอัดแบบนั้นหรอก”
ชายคนหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามาจากอีกฟากของประตู
เส้นผมสีเงินใสกระจ่างราวหยดน้ำที่เกาะอยู่บนแก้วเงิน ใบหน้าที่ได้รูปงดงามราวกับได้รับการแกะสลักสรรค์สร้างออกมา แต่ก็ยังมีร่องรอยของความไร้เดียงสาเหลืออยู่ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ราวกับจะมองทะลุทุกสิ่งนั้นอาจจะสามารถมัดหัวใจของหญิงสาวทุกคนเลยก็เป็นได้—เขาเป็นชายรูปงามถึงขนาดที่ทำให้คิดแบบนั้น
ชายที่สมบูรณ์แบบถึงระดับที่เฮเลนาไม่เคยพบมาก่อนเลยจนถึงตอนนี้
ชายผู้นั้นที่มาเยือนเฮเลนาในค่ำคืนนี้ ก็คือผู้กุมอำนาจสูงสุดในประเทศแห่งนี้
“เจ้าสินะลูกสาวของแอนตัน ทำตัวตามสบายเถอะ ส่วนพวกเจ้าก็ออกไปซะ คงไม่มีใครโง่เง่าถึงขนาดจะมาเป็นก้างในการสนทนาของเรากับสนมหรอกใช่ไหม”
ชายผู้นั้นที่กำลังหัวเราะ ‘หึ ๆ’ และวางท่าใหญ่โตอย่างถึงที่สุดนั่นแหละ
คือองค์จักรพรรดิ—ฟาร์มาส ดีล ลูเครเซีย กันเกรฟ