ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 11 คืนที่ยาวนานที่สุดของเฮเลนา 3

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

การสนทนาของนางสนมกับจักรพรรดิในวังหลัง

แม้แต่เฮเลนาเองก็ไม่ถึงกับว่าไม่เคยอ่านหนังสือสำหรับสามัญชนที่มีเรื่องแนวนั้น ถึงมันอาจจะมีการแต่งเสริมเพิ่มอรรถรสอะไรไปบ้าง แต่เธอก็เคยอ่านนิยายทำนองนั้นมาก่อน

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

นี่มันออกจะต่างจากที่คิดไปอยู่สักหน่อยนะ

 

“อืมอืม……เอาล่ะ คนต่อไป ‘ขุนศึกหมีน้ำเงิน’ บาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ดล่ะเป็นอย่างไร?”

 

“ท่านบาร์โตโลเมเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือโดดเด่นในการสู้รบแบบบุกทะลวงค่ะ นับว่ามีจุดแข็งที่แตกต่างไปอีกแบบเทียบกับ ‘ขุนศึกพยัคฆ์แดง’ ที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้นะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านบาร์โตโลเมน่ะได้รับการยกย่องแม้แต่ในกองทัพว่าเป็นผู้ไม่มีวันตาย ทุกคนรู้กันดีว่าเขามักจะวิ่งนำทัพอยู่ด้านหน้าสุดเสมอ ได้ยินมาว่าการที่แม่ทัพวิ่งนำหน้าจึงทำให้ขวัญกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชาสูงเป็นอย่างมาก ทว่าในทางกลับกันเขาก็ไม่ถนัดการสู้ศึกแบบตั้งรับสักเท่าไร แทนที่จะให้เขาสู้ศึกตั้งรับอยู่ตรงป้อมปราการแกรมตรงชายแดนกับจักรวรรดิอัลเมดา สู้ให้กองกำลังอัศวินหมีน้ำเงินบุกเข้าไปในจักรวรรดิอัลเมดาเลยน่าจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งได้มากกว่าค่ะ”

 

“อย่างนี้นี่เอง แต่หากจะทำศึกอย่างเต็มกำลังกับจักรวรรดิอัลเมดาทั้งอย่างนั้น กำลังทหารของเราน่าจะไม่พอไม่ใช่รึ”

 

“กองกำลังอัศวินหมีน้ำเงินโดดเด่นในเรื่องพลังบุกทะลวงมากที่สุดในกองกำลังอัศวินทั้งแปดค่ะ หากวาง ‘ขุนศึกพยัคฆ์แดง’ เสริมไว้ด้านหลัง และให้บุกทะลวงไปทั้งแบบนั้น คงจะเดินหน้าบุกไปจนถึงฐานที่มั่นของข้าศึกได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ตัวท่านบาร์โตโลเมจะมีส่วนที่ใจร้อนบ้าบิ่นไปสักหน่อย แต่รองแม่ทัพของเขาก็โดดเด่นในด้านสติปัญญา ต่อให้ส่งกองกำลังอัศวินหมีน้ำเงินไปอย่างเดียวก็น่าจะสามารถรับมือกับพลังรบที่มากกว่าเป็นเท่าตัวได้ค่ะ”

 

“ถ้างั้น เฮเลนาคิดว่ารายแรกที่เราควรจะกำจัดทิ้งก็คือจักรวรรดิอัลเมดารึเปล่า?”

 

“นั่นสินะคะ……”

 

สิ่งที่ฟาร์มาสนำออกมากางบนโต๊ะเป็นอันดับแรกก็คือแผนที่

จากนั้นก็นำหินแปดสีที่น่าจะพกมาด้วยตั้งแต่แรกออกมาวางเรียงตามจุดต่าง ๆ บนแผนที่นั้น สำหรับเฮเลนาที่เคยสังกัดในกองทัพมาก่อนก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือตำแหน่งจัดวางของแปดยอดขุนศึก

และเมื่อฟาร์มาสชี้ไปที่สีใด เฮเลนาก็จะอธิบายเกี่ยวกับแม่ทัพคนนั้น แล้วกล่าวคาดเดาผลลัพธ์อย่างคร่าว ๆ โดยคำนวณจากสภาพการณ์ปัจจุบัน

นี่มันเป็นการประชุมทางการทหารหรืออะไรทำนองนั้นไปแล้ว ไม่ได้เหมาะสมจะเป็นการสนทนาที่เกิดขึ้นในวังหลังเลยแม้แต่นิดเดียว

 

“สำหรับข้าแล้ว คิดว่าพันธมิตรสามอาณาจักรน่าจะจัดการได้ง่ายกว่าค่ะ”

 

“โฮ่ แต่อาณาจักรพวกนั้นเมื่อถึงเวลาจวนตัวก็จะรวมพลังทั้งหมดของสามประเทศโต้กลับมานะ แถมยังมีแม่ทัพคาลปาคที่โดดเด่นเรื่องศึกตั้งรับกำลังปกป้องป้อมปราการชายแดนอยู่ด้วย”

 

“แต่ก็ยังแตกต่างจากจักรวรรดิอัลเมดาตรงที่เป็นการรวมกันของสามอาณาจักรค่ะ ในด้านข้อมูลก็ย่อมมีความคลาดเคลื่อนกันไม่มากก็น้อย และแน่นอนว่าหากเราต่อสู้กับราชรัฐดาเลียที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ มูลธารซึ่งอยู่ตรงกลางอาจจะส่งกำลังเสริมมาได้ทันเวลา แต่กำลังเสริมจากเอสตีซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือต้องมาไม่ทันแน่นอน ที่ชายแดนของเอสตีมีแม่ทัพคาลปาคซึ่งโดดเด่นในศึกตั้งรับอยู่ตามที่ทรงกล่าวมา แต่ที่ชายแดนของดาเลียนั้นไม่มีใครที่โด่งดังจนข้าเคยได้ยินชื่อเลย”

 

“อย่างนี้นี่เอง ต้องตีให้แตกในระยะเวลาอันสั้นสินะ แล้วพอจะมีแนวทางอะไรเพื่อการนั้นไหม?”

 

“สับเปลี่ยนกองกำลังอัศวินหมีน้ำเงินกับกองกำลังอัศวินอสรพิษม่วงน่าจะดีที่สุดค่ะ แม้ ‘ขุนศึกอสรพิษม่วง’ ท่านอเลกซานเดอร์ รอยเอนธาลจะอายุน้อยที่สุดในแปดขุนพล แต่ก็ได้ยินมาว่าโดดเด่นในศึกตั้งรับเป็นอย่างมาก หากให้เขาร่วมมือกับ ‘ขุนศึกพยัคฆ์แดง’ ก็คงมากพอที่จะป้องกันป้อมปราการแกรมเอาไว้ได้”

 

โดนพื้นฐานแล้วเฮเลนาหัวไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่มีความสามารถในเรื่องแผนการรบ

ถึงจะขึ้นชื่อว่าเอาแต่บุกทะลวง แต่นั้นก็เป็นเพราะเฮเลนามีสัญชาติญาณซึ่งเกิดจากประสบการณ์ มีความสามารถในการมองออกได้ว่าจุดไหนที่อ่อนแอ หากวิกเตอร์เป็นขุนศึกที่โดดเด่นในด้านสติปัญญา เฮเลนาก็เป็นขุนศึกชั้นเยี่ยมที่สามารถมองเห็นจุดอ่อนของศัตรูได้โดยสัญชาติญาณ

เพราะฉะนั้นจึงสามารถมองสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันแล้วค้นหาจุดอ่อนตามสัญชาติญาณได้ ซึ่งนั่นก็คือชายแดนที่ติดกับดาเลียนั่นเอง

 

“อืม ถ้างั้นด้วยกองกำลังอัศวินหมีน้ำเงินกับกองกำลังอัศวินแรดทองคำ เราจะสามารถตีดาเลียให้แตกพ่ายได้ไหม?”

 

“เป็นไปได้ค่ะ ‘ขุนศึกแรดทองคำ’ ท่านวังแดร์เลย์ ชแวร์ทเองก็เป็นแม่ทัพชั้นยอดไม่แพ้ท่านบาร์โตโลเม หากมีพลังบุกทะลวงของทั้งสองท่านนั้นคงสามารถเก็บกวาดได้เรียบร้อยก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึงค่ะ”

 

“แต่ได้ยินมาว่า ‘ขุนศึกแรดทองคำ’ ทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากบุกตรง ๆ นี่นา”

 

“นั่นคือเรื่องโกหกค่ะ เป็นข่าวลือที่ ‘ขุนศึกแรดทองคำ’ ปล่อยออกไปด้วยตนเองเพื่อให้เวลารบกับประเทศอื่นอีกฝ่ายจะได้ประมาท ซึ่งก็ดูจะได้ผลเพราะเหมือนดาเลียจะกำลังดูถูก ‘ขุนศึกแรดทองคำ’ อยู่เหมือนกันค่ะ”

 

‘อืมอืม’ ฟาร์มาสมองดูแผนที่พลางพยักหน้า

นี่พวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรอยู่กันแน่นะ ฟาร์มาสก็แปลกที่ถามเรื่องพวกนี้ออกมา แต่เฮเลนาที่ตอบเองก็แปลกพอ ๆ กัน

แต่ยังไงซะสำหรับเฮเลนาแล้ว การคุยแบบนี้มันก็ง่ายกว่าการกระซิบรักกันหรืออะไรทำนองนั้นหลายเท่าชัวร์

 

“อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้นก็จัดการตามนั้นแล้วกัน แต่ว่าการให้ขยับทั้งกองกำลังอัศวินเนี่ยก็ยากนะ มีโอกาสที่การป้องกันจะเบาบางลงเพราะการเคลื่อนย้ายกำลังเหมือนกัน”

 

“ขอแค่ฝ่าบาทออกคำสั่งไปคนหน้างานก็จะตัดสินใจเองได้ค่ะ อย่างในกรณีนี้ก็ได้โปรดให้ช่วงเวลาผ่อนผันสักหนึ่งเดือน เมื่อเป็นแบบนั้นก็จะค่อย ๆ โยกย้ายกำลังพลทีละน้อยโดยที่ไม่ถูกประเทศอื่นล่วงรู้ได้ค่ะ”

 

“งั้นรึ งั้นเอาแบบนั้นก็แล้วกัน”

 

ฟาร์มาสพยักหน้าอืมอืมอย่างพึงพอใจ ก่อนจะม้วนแผนที่เก็บไป

ดูท่าว่าเขาจะตัดสินใจแผนหลังจากนี้ได้แล้วล่ะมั้ง เฮเลนาก็รู้สึกภูมิใจเล็ก ๆ ที่ได้มีส่วนช่วยในการนั้น

แม้แต่ตัวเองที่ถูกหาว่าสมองกล้ามอยู่เป็นประจำก็สามารถทำประโยชน์ให้กับจักรพรรดิได้แบบนี้

 

“เอาล่ะ……งั้นเรามาคุยเรื่องอื่นบ้างดีกว่า”

 

“……ค่ะ”

 

เฮเลนาขมวดคิ้วด้วยความกังวลเล็กน้อย

อย่าบอกนะว่าหลังจากนี้จะได้เวลาที่ฝ่าบาทจะเกี้ยวพาราสีเฮเลนาแล้วน่ะ พูดกันตามตรงเฮเลนาก็ไม่ได้คิดอยากได้รับความรักใคร่โปรดปรานของจักรพรรดิหรืออยากถูกโอบกอดเลย

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าจะปฏิเสธตอนนี้ก็คงเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก เธอจึงลองคิดดูสักนิดว่าควรจะทำเช่นไรดี แต่คิดได้สักพักก็เหนื่อยแล้วก็เลิกคิด นอกจากเรื่องการสงครามแล้วหัวสมองของเฮเลนาก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่

 

“อะไรกัน ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอก มันไม่ใช่ว่าเรากำลังจะเกี้ยวพาราสีเจ้าหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ”

 

“……งั้นหรือคะ?”

 

“ถ้าให้พูดจากใจจริงแล้วก็อยากจะตั้งใจเกี้ยวอยู่สักหน่อยเหมือนกันนะ แต่ว่าน่าเสียดายที่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนั้น จนกว่าความวุ่นวายในประเทศนี้จะสงบลงเราก็ยังไม่คิดที่จะเลือกชายาเอกหรอก”

 

ก่อนอื่นก็ทำเป็นไม่ได้ยินประโยคครึ่งแรกไป แล้วก็มาสนใจครึ่งหลังก่อนแล้วกัน

โดยทางการแล้วเฮเลนาคือ ‘สนมฟ้าสุริยา’ ซึ่งเป็นว่าที่ชายาเอก เช่นเดียวกับ ‘สนมฟ้าจันทรา’ และ ‘สนมฟ้าดารา’ ทั้งหมดถือว่าเป็นตำแหน่งซึ่งใหญ่โตที่สุดในวังหลัง

และตราบใดที่ฟาร์มาสยังไม่ได้เลือกชายาเอกตัวจริง ผู้ที่มีศักดิ์เทียบเท่ากับชายาเอกในตอนนี้ก็คือพวกเธอ ‘สามสนมฟ้า’ นั่นเอง

 

“หมายความว่ายังไงหรือคะ?”

 

“บิดาของเรา—จักรพรรดิองค์ก่อนน่ะ ได้ฝากฝังไว้ก่อนตายว่าให้แอนตันเป็นอัครมหาเสนาบดีไปอีกสิบปี เราก็ไม่คิดจะฝ่าฝืนคำสั่งนั้นหรอก เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ไม่มีคนที่ยอดเยี่ยมพอที่จะฝากฝังราชสำนักไว้ได้เท่ากับเขาอีกแล้ว”

 

ดูเหมือนจะประเมินค่าพ่อเธอเอาไว้สูงผิดคาด

แต่ตามที่แอนตันเคยบอกไว้ ฟาร์มาสเป็นคนที่รับฟังแต่คำพูดรื่นหูและเกลียดคำติเตียนนี่นา

 

“สิ่งที่เราจะทำ ก็คือการกวาดล้าง”

 

“กวาดล้างงั้นหรือคะ?”

 

“ใช่ จักรพรรดิองค์ก่อนเสด็จสวรรคตเร็วเกินไป จากไปก่อนที่เราจะเรียนรู้การเป็นจักรพรรดิเสร็จด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่มีความภักดีต่อเราอยู่อีกมากมาย”

 

ฟาร์มาสแสยะยิ้ม ‘หึหึ’ ราวกับกำลังวางแผนชั่วร้ายอะไรสักอย่างอยู่

กวาดล้าง—ความรู้สึกที่สื่อออกมาจากคำพูดนั้น ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็ต้องเป็นเรื่องที่มีกลิ่นคาวเลือดแน่ ๆ

 

“เราได้สร้างตำแหน่งใหม่ที่ชื่อว่าอำมาตย์แผ่นดินขึ้น ให้เป็นตำแหน่งทางการเมืองสูงสุดของแผ่นดินนี้เทียบเท่ากับอัครมหาเสนาบดี”

 

“……ทำไมจึงสร้างตำแหน่งเช่นนั้นขึ้นมาล่ะคะ?”

 

“แน่นอนว่าเพื่อล่อให้ออกมาน่ะสิ แอนตันน่ะทิ้งความละโมภส่วนตัวไปแล้ว เขาเพียงแค่ทำงานเพื่อชาติเพื่อประชาชนโดยไม่คิดหาประโยชน์ส่วนตัว ทว่าผู้ที่อยู่ใต้บัญชาของเราย่อมไม่ได้มีใจใสสะอาดเช่นแอนตันกันหมดทุกคน”

 

ก็คงจะจริงตามนั้น

ราชสำนักคือรังของมารร้ายอันเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลโกง ภายในนั้นมีแม้กระทั่งผู้ที่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อขายตำแหน่งกัน เพราะอำนาจบารมีมันเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ต้องการนั่นเอง

เพราะอย่างนั้น—ไอ้ที่บอกว่าจะล่อให้คนเหล่านั้นออกมาน่ะ

ฟาร์มาสกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

 

“จะทำงานเพื่อเรา จะทำงานเพื่อชาติ หรือจะทำงานเพื่อประชาชน”

 

“……เอ๋?”

 

“ถ้าเป็นข้อสองก็ยังดี ถือว่าผ่านแบบคาบเส้น ถ้าเป็นข้อสามเราก็ขอมอบรางวัลให้กับการทำงานนั้น แต่ถ้าเป็นข้อแรกล่ะก็ มันควรจะคอขาดไปซะ”

 

“ม หมายความว่าอย่างไรหรือคะ?”

 

“ถ้าทำงานเพื่อเรา นั่นก็แปลว่าทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น ข้าราชการโง่เขลาที่เอาแต่ประจบประแจงเรามันก็เป็นได้แค่เชื้อร้ายเท่านั้นแหละ แต่ว่าเราก็ยังไม่มีเหตุผลที่จะใช้กำจัดพวกมัน”

 

เกริ่นเรื่องมาได้ถึงตรงนั้นก็หยุดไปครู่หนึ่งราวกับจะบอกต่อว่า ‘เพราะฉะนั้น’

และฟาร์มาสก็จับจ้องไปยังที่ห่างไกลด้วยแววตาที่ดุดันแหลมคม

 

“จากนี้ไปเป็นเวลาหนึ่งปี เราจะทำให้ราชสำนักตกอยู่ในความวุ่นวาย”

 

“—!?”

 

“ระหว่างนั้นก็คงจะถูกต่างชาติเข้ามารุกราน หรืออาจจะมีการลอบโจมตีที่ไม่คาดคิดเหมือนเมื่อวันก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็จะไม่หยุด กลับกันเลย เราจะสนับสนุนให้มันเกิดขึ้นด้วยซ้ำ แม้ตอนนี้จะกำลังรับศึกสองด้านจากพันธมิตรสามอาณาจักรกับจักรวรรดิอัลเมดา แต่เราก็จะทำให้สภาพนี้มันยืดเยื้อต่อไปอีก ยืดมันออกไปเรื่อย ๆ โดยให้เกิดความเสียหายต่อกองกำลังอัศวินน้อยที่สุด ในระหว่างนั้นเมืองหลวงก็อาจจะถูกบุกโจมตีเหมือนในการลอบโจมตีของริฟาลเมื่อวันก่อนก็ได้”

 

อย่าบอกนะว่า

ในที่สุดเฮเลนาก็เข้าใจความตั้งใจของฟาร์มาสเสียที

การที่ตนเองซึ่งเป็นทหารหญิงอายุยี่สิบแปด รองผู้บังคับบัญชาของ “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” ถูกส่งเข้ามาในวังหลังด้วยวิธีการที่เรียกได้ว่าแทบจะฝืนบังคับกันแบบนี้

เหตุผลข้อที่ใหญ่ที่สุดนั้นก็คือ

 

“เมื่อถึงเวลาคับขัน ราชวงศ์ก็อาจจะต้องนำทัพเอง และการทำเช่นนั้นก็คงช่วยยกขวัญกำลังใจของทหารได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าสมมุติว่าผู้นำนั่นเป็นตัวตนที่ใกล้เคียงกับชายาเอกที่สุดก็ยิ่งดีใหญ่”

 

หน้าที่ของเฮเลนานั้น

คือเมื่อราชสำนักวุ่นวายไปเรื่อย ๆ และเผยช่องโหว่ให้ต่างชาติเห็นอยู่เช่นนี้ หากถึงเวลาคับขันเธอก็จะต้องปกป้องเมืองหลวง—เป็นหน้าที่ในฐานะแม่ทัพเช่นนั้นเอง

 

“ในเมื่อใช้งานแปดยอดขุนศึกเพื่อการนี้ไม่ได้ ก็เป็นธรรมดาใช่ไหมล่ะ……ที่เราจะเอาผู้ที่โด่งดังในฐานะ ‘แปดยอดขุนศึกคนต่อไป’ เข้ามาน่ะ?”

 

‘หึ ๆ’ ฟาร์มาสหัวเราะเหมือนกับว่ากำลังสนุกอยู่

 

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท