“อ้าวอ้าว”
ถ้าให้พูดตามตรง เฮเลนาก็คาดเดาได้อยู่แล้วว่ามาริเอลอาจจะเอาน้ำชามาสาดเธอ
ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำในชั่วอึดใจนั้นของมาริเอล เฮเลนาเองก็สามารถตอบสนองได้ทัน หากเฮเลนาต้องการ เธอจะหลบหลีกไม่ให้น้ำชาโดนตัวแม้แต่หยดเดียวเลยก็คงทำได้
ทว่า เฮเลนาจงใจไม่ทำเช่นนั้น
หยดน้ำไหลผ่านร่างกายที่เปียกโชก การถูกสาดน้ำชาในงานเลี้ยงน้ำชาถือว่าเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามขั้นสูงสุดในฐานะบุตรีขุนนาง และมาริเอลก็ได้มอบมันให้กับเฮเลนาแล้ว
คงไม่ต้องบอกอีกต่อไปว่าจุดยืนของใครเหนือกว่าอย่างเทียบไม่ได้ในขณะนี้
“ท่านมาริเอล รู้ตัวหรือไม่คะว่าทำอะไรลงไป?”
“อึ่ก……!”
โดยปกติแล้ว บุตรีขุนนางที่โดนรังแกแบบนี้เข้าไปก็คงจะขยาดกลัวไปบ้าง ทว่าเฮเลนาไม่ได้ใจบางขนาดที่จะมาฝ่อกับเรื่องแค่นี้
เธอจ้องมองมาริเอลอย่างไม่วางตาโดยที่ยังไม่สูญเสียรอยยิ้มอันเหนือกว่าไป
“ข้ากำลังได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากฝ่าบาทอยู่ และหากฟังจากที่ท่านมาริเอลได้กล่าวไว้เองแล้ว แม้ในวังหลังนี้ที่รวมโฉมงามไว้มากกว่าห้าสิบคน ก็มีเพียงข้าผู้เดียวเท่านั้น”
“……”
“กระทำเรื่องเช่นนี้กับเจ้าหญิงผู้ได้รับความโปรดปรานของมังกรเช่นข้า……ท่านกล่าวว่าตระกูลบารอนรีเวียร์เป็นขุนนางหน้าใหม่ แต่ดูท่าจะไม่อยากหลงเหลือชื่อตระกูลเอาไว้แล้วสินะคะ ไม่เข้าใจหรือคะว่าการกระทำของตนอาจทำให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเสื่อมเสียน่ะ?”
โอย ไม่ไหวแล้วอ่ะ
แม้จะตะโกนอยู่แบบนั้นในใจ แต่เฮเลนาก็ยังกล่าวประชดประชันต่อไป
อเลกเซียได้บอกไว้ว่าให้แสดงพลังอำนาจ หากเป็นพลังกล้ามเนื้อก็คงแสดงออกมาได้โดยง่าย ทว่าพลังที่อเลกเซียพูดถึงมันคือคนละอย่างกัน
พลังที่เฮเลนาสามารถแสดงออกมาได้ก็คือ จุดยืนของตัวเองที่เป็นบุตรีมาร์ควิส, สิทธิพิเศษในฐานะเจ้าหญิงผู้เป็นที่รักของมังกรเพียงหนึ่งเดียว และตำแหน่ง “สนมฟ้าสุริยา”
หากต้องการทำให้มาริเอลยอมจำนน ก็จำเป็นจะต้องใช้สิ่งเหล่านั้น
“ก็คงจะไม่เข้าใจสินะคะ เพราะดูเหมือนท่านจะเปลือยกายรอคอยฝ่าบาทอยู่ทุกค่ำคืนเสียด้วย ผู้ที่ไม่มีสามัญสำนึกในฐานะขุนนางเช่นนั้นน่ะ คงจะไม่เข้าใจปัญหาง่าย ๆ แค่นี้หรอกกระมัง”
“—!”
“ท ท่านมาริเอลคะ? หมายความว่าอย่างไร!?”
เฮเลนาเองก็ไม่มีทางมีไอ้สามัญสำนึกในฐานะขุนนางอะไรนั่นเหมือนกัน
ทว่าในตอนนี้ แค่ตอนนี้เท่านั้น เธอจำเป็นต้องวางท่าเหมือนเป็นกุลสตรีขุนนางผู้สูงศักดิ์
“อ้าว ท่านเป็นคนกล่าวไว้เองไม่ใช่หรือคะ? พระสนมฟ้าดารา”
“……นี่เธอรู้ทั้งหมดตั้งแต่แรก!”
“ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงอะไรอยู่……แต่เมื่อวานตอนที่ข้ามาเยี่ยมพระสนมฟ้าดารา ท่านได้กล่าวไว้ไม่ใช่หรือ ว่าหากจะรอคอยฝ่าบาทต้องแต่งกายให้วาบหวิวที่สุด และตัวท่านเองก็เปลือยกายรอฝ่าบาทอยู่ทุกคืนน่ะ?”
‘หึหึ’ เฮเลนาพยายามยิ้มมุมปากให้ดูชั่วร้ายเท่าที่จะทำได้
ทว่า ไม่รู้ควรจะพูดว่าน่าเสียดายดีหรือไม่ แต่ไม่ว่าเฮเลนาจะพยายามยิ้มให้ดูชั่วร้ายอีกแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย เพราะความจริงแค่เธอยิ้มธรรมดาเฉย ๆ มันก็ดูเหมือนเฮเลนากำลังคิดเรื่องชั่วร้ายอะไรสักอย่างอยู่แล้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนวิกเตอร์บอกว่า “ต้มตุ๋นกันชัด ๆ” มากี่ครั้งแล้ว
เพราะทั้งที่กำลังยิ้มเหมือนมีเล่ห์เหลี่ยมล้ำลึก แต่ความจริงในหัวสมองนั้นไม่ได้คิดอะไรอยู่เลย
“เมื่อครู่ ท่านกล่าวว่าข้าเป็นหญิงแพศยา……แต่คนที่เปลือยกายรอบุรุษที่เพิ่งจะเคยพบครั้งแรกเนี่ย ไม่ใช่ว่าแพศยาที่สุดแล้วหรือคะ?”
“ห หุบปาก!”
“โฮ่ ออกคำสั่งกับข้างั้นหรือ ดูท่าว่าจะยังไม่สำนึกถึงฐานะของตนเองสินะคะ”
‘หึ’ เฮเลนาส่ายหน้าเบา ๆ ทั้งที่ศีรษะยังเปียกโชก
เพียงเท่านั้นก็ทำให้หยดน้ำมันกระจายไปรอบ ๆ รู้สึกสบายหัวขึ้นเยอะ
“นังเรลโนต……!”
“ไม่แม้แต่จะเรียกว่า ‘สนมฟ้าสุริยา’ แล้วงั้นหรือ ดูเหมือนข้าจะถูกเกลียดมากพอดูเลยนะคะเนี่ย”
“ดิฉันตั้งใจจะสั่งสอนให้เธอรู้สำนึกค่ะ! ว่าการที่ฝ่าบาททรงเสด็จมาหาเธอมันก็เป็นแค่อารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น สั่งสอนว่านางหญิงสูงอายุอย่ามาทำหน้าใหญ่ในวังหลังแห่งนี้ค่ะ!”
“นั่นตั้งใจจะปิดบังแล้วหรือคะ? ถึงจะรู้มาตั้งแต่แรกแล้วก็เถอะ”
หากสายตากับสายตาปะทะกันแล้วเกิดเป็นประกายไฟได้ ห้องนี้ทั้งห้องก็คงจะระเบิดไปแล้วล่ะมั้ง
มาริเอลจ้องเขม่นเฮเลนาด้วยแววตาที่มีความเกลียดชังถึงขนาดนั้น
“ดิฉันน่ะจะต้องได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากฝ่าบาทให้ได้! เพื่อการนั้นแล้วหญิงสูงอายุที่มีดีแค่เป็นบุตรีมาร์ควิสอย่างเธอมันก็แค่ตัวเกะกะค่ะ!”
“ต่อให้ได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากฝ่าบาทแล้ว คิดว่าตระกูลบารอนหน้าใหม่จะเป็นอะไรได้มากกว่านั้นหรือคะ?”
“—! จะดูถูกคนอื่นไปถึงไหน……!”
ทุกคนนอกจากมาริเอลต่างก็กำลังตื่นตระหนก ดูท่าว่าจะเพิ่งเคยได้เห็น “สนมฟ้าดารา” ในรูปแบบนี้กระมัง
ถ้ายอมอารมณ์ขึ้นอย่างง่ายดายขนาดนี้ ก็รับมือได้ง่ายเกินไปแล้ว
ทว่า
ตอนนั้นเอง มาริเอลก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ท่าทางจะรู้ตัวแล้วสินะว่าตนเองอารมณ์ขึ้นเกินไปหน่อย ดูเหมือนเธอจะไม่ได้โง่เขลาขนาดที่จะพ่นคำด่าทอต่อไปได้มากกว่านี้
ทว่ามาริเอลก็คงไม่คิดจะถอยแค่นี้แน่
และเฮเลนาก็จำเป็นจะต้องทำให้เธอยอมจำนนในที่ตรงนี้ให้ได้
“หึ……วางท่าเหมือนเหนือกว่าน่าดูเลยนะคะ ท่านน่ะรู้หรือไม่ว่าฝักฝ่ายอำนาจภายในวังหลังนี้มันเป็นเช่นไร?”
“หา?”
“ในวังหลังมีการแบ่งออกเป็นสามฝ่ายใหญ่ ฝ่าย ‘สนมฟ้าจันทรา’, ฝ่าย ‘สนมฟ้าดารา’ ……แล้วก็ฝ่ายที่เป็นกลาง และนางสนมทุกท่านที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็เป็นฝ่าย ‘สนมฟ้าดารา’ แปลว่าพวกเธอมีดิฉันเป็นศูนย์กลางยังไงล่ะค่ะ”
“งั้นหรือคะ”
ไม่เข้าใจความหมายเลยแฮะ
หรือพูดให้ชัดกว่านั้น เฮเลนาใช้ชีวิตมาโดยไม่เคยไปแตะต้องไอ้ความสัมพันธ์แบบฝักฝ่ายอะไรแบบนั้นมาก่อน จะสังคมชั้นสูงหรือฝักฝ่ายอะไรมันก็ดูยุ่งยากจะตายไป จึงเป็นความจริงที่เธอเลยไม่เคยคิดจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลย
ดังนั้นเลยได้แต่คิดว่า มีฝักฝ่ายแล้วมันยังไงฟะ
“พระสนมฟ้าสุริยาน่ะมีพรรคพวกหรือเปล่าคะ?”
“นางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านหลังก็คอยสนับสนุนข้าอยู่นะคะ”
“หึ……แค่นั้นน่ะไม่นับเป็นอะไรได้หรอกค่ะ คนที่บอกว่าเคยอยู่กองทัพมาอย่างพระสนมฟ้าสุริยาก็คงเข้าใจสินะคะว่าพลังของจำนวนนั้นน่ากลัวแค่ไหน”
ก็จริงอยู่ว่าทหารน้อยย่อมไม่อาจเอาชนะกองทัพใหญ่
ทว่านั่นมันคือเรื่องของสงคราม เป็นการต่อสู้ที่ดำเนินไปเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก
ส่วนการต่อสู้ในวังหลัง มันคือการทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งความรักใคร่โปรดปรานของจักรพรรดิ
ในที่แบบนั้นพลังของจำนวนมันจะมาเกี่ยวอะไรด้วย
“ในวังหลังก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเหมือนกันนะคะ อย่าหลงนึกว่าจะรับความรักใคร่โปรดปรานของฝ่าบาทได้อย่างปลอดภัยเล่า”
“โฮ่ อุบัติเหตุงั้นหรือคะ น่ากลัวจังนะ”
“หึ……ทำเป็นไขสือไปเถอะ!”
อุบัติเหตุที่ว่าเนี่ยมันอะไรหว่า
จะมีเสาอะไรล้มลงมารึไง ไม่สิ ที่นี่มันไม่ใช่อาคารที่สร้างมาไม่ได้คุณภาพแบบนั้นหรอกมั้ง ถ้างั้นแล้วมันอะไรกันหนอ
“อ้อ”
คิดได้ถึงตรงนั้น ในที่สุดก็เข้าใจว่ามาริเอลอยากจะพูดว่าอะไร
เธอกำลังข่มขู่เฮเลนาอยู่นี่เอง
เพราะสำนวนถ้อยคำมันน่ารักเกินไปก็เลยไม่ทันได้นึกว่านี่กำลังข่มขู่กันอยู่ หรือก็คือ เธอกำลังพูดว่า ‘การจะฆ่าเธอโดยทำให้เป็นเหมือนอุบัติเหตุน่ะมันง่ายนิดเดียว’ อยู่นี่เอง โดยใช้พลังของจำนวน
โธ่เอ้ย
งั้นเรื่องมันก็ง่ายเลยไม่ใช่รึไงกัน
“งั้นหรือคะพระสนมฟ้าดารา แม้จะเรียกว่าเป็นฝ่าย แต่คิดว่าแค่หกคนจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้?”
“ฝ่ายของดิฉันรวมกันมีทั้งหมดสิบห้าคนค่ะ จะเป็นเช่นไรก็ไม่รู้ด้วยนะคะ”
“……สิบห้าคนหรือคะ”
เฮเลนาลุกขึ้น
และในชั่วพริบตาเดียวนั้น
เธอก็ได้อ้อมไปยังด้านหลังของมาริเอลกับเลทีเซีย และวางมือไปที่ลำคอนั้น
“หากอยากจะทำสงครามกับข้า คิดว่าน่าจะต้องเอามาสักหนึ่งกองพันนะคะ”
มาริเอลเลือกคนที่จะข่มขู่ผิดไปแล้ว
เพราะที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่เจ้าหญิงผู้เป็นเหมือนกระต่ายในกรงที่ชื่อว่าวังหลัง
แต่เป็นเจ้าหญิงแห่งยุทธ ผู้เป็นดั่งพยัคฆ์ร้ายพุ่งทะยานกลางสนามรบต่างหาก—