“ฟู่……เป็นพวกที่น่ารำคาญทุกครั้งเลย”
“ยากลำบากหน่อยนะคะฝ่าบาท”
ในคืนนั้นฟาร์มาสก็มาที่ห้องของเฮเลนาราวกับเป็นเรื่องธรรมดา หลังจากสั่งให้อเลกเซียออกจากห้องเขาก็ได้ไล่อัศวินคุ้มกันไป
‘มาติดกันสองคืนเนี่ยมันเป็นการทรมานแบบไหนกัน’ เฮเลนาคิดเช่นนั้นในสภาพที่โดนบังคับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาแล้วเพื่อรับการมาเยือนของฟาร์มาส พลางถอนใจแบบไม่ให้ใครได้ยิน
ก็ไม่ใช่ว่ามันรบกวนหรืออะไรหรอก
จากที่ได้ฟังเจตนาของฟาร์มาสเมื่อคืน เขาคงจำเป็นต้องแสร้งว่ากำลังรักใคร่โปรดปรานเฮเลนาอยู่ ดังนั้นการที่เขามาวังหลังก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
แต่เฮเลนาก็อยากนอนคนเดียวบ้างอ่ะ
“ดื่มน้ำชาไหมคะ หรือจะรับเป็นสุราดี?”
“ไม่ ยังไม่คอแห้งน่ะ ทำตัวตามสบายเถอะ”
“รับทราบค่ะ”
หากบอกว่าอยากได้สุราก็ตั้งใจว่าจะเตรียมเฉพาะส่วนของฟาร์มาส
เพราะเฮเลนาสาบานแล้วว่าจะไม่ดื่มสุราต่อหน้าฟาร์มาสอีก
“เอาล่ะ เริ่มเลยแล้วกัน”
“……คะ?”
“อ่า ขอยืมโต๊ะนะ”
ฟาร์มาสคลายห่อของบางอย่างที่ค่อนข้างใหญ่ซึ่งเขาถือติดมือมาด้วย
สิ่งที่อยู่ภายในนั้นคือ—เอกสาร
ดูท่าคงเป็นเอกสารสำคัญเหมือนที่เอามาเมื่อเช้ากระมัง
“……เอ่อ ฝ่าบาทคะ”
“ทำตัวตามสบายก็ได้ นี่มันมีแต่ของที่ให้ผู้คุ้มกันเห็นไม่ได้ทั้งนั้นล่ะนะ……ให้ตายสิ น่ารำคาญได้ทั้งวันเลย เวลาที่เกรเดียไม่อยู่เจ้าพวกนั้นคอยมาขัดเราทุกที”
ฟาร์มาสตรวจดูเอกสารทีละแผ่นพลางใช้พู่กันทำเครื่องหมายตรงจุดที่สนใจ
ส่วนเฮเลนาก็ได้แต่มองฟาร์มาสทำงานอยู่ตรงโซฟาด้านหน้า พลางเอียงศีรษะด้วยความสงสัยเล็กน้อยกับชื่อที่ไม่ได้ยินมานานซึ่งออกมาจากปากของฟาร์มาส
นี่มันการทรมานแบบไหนกัน
“อ้อ จะไปนอนก็ได้นะ เราจะทำงานให้เสร็จ”
“……มีอะไรที่ข้าช่วยได้ไหมคะ”
“ไม่ล่ะ ถ้าไม่ถนัดวิชาคำนวนถึงดูไปก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี อย่าชวนคุยเยอะนัก เดี๋ยวเสียสมาธิ”
งั้นจะให้เฮเลนาทำอะไรดีล่ะ
นึกว่าจะต้องคอยต้อนรับขับสู้ฟาร์มาสเหมือนเมื่อวานซะอีก
ก็จริงอยู่ว่าหากมีเอกสารที่เอาออกมาเบื้องหน้าไม่ได้ก็คงได้แต่เอามาดูในวังหลังซึ่งไม่มีสายตาของคนอื่นเช่นนี้ ถึงกระนั้นการทอดทิ้งเฮเลนาที่นั่งอยู่ต่อหน้าแบบนี้ก็โหดร้ายเกินไป
‘ฮึ่ม’ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย
เห็นแบบนี้เธอก็คิดมากอยู่นะ อย่างเช่น เรื่องที่จูบแกล้งกันเมื่อเช้า หรือเรื่องที่จูบอย่างกะทันหันเมื่อเช้าน่ะ
“ถ้างั้นก็ขออนุญาตนะคะฝ่าบาท”
“อืม”
ถ้าอยู่หรือไม่อยู่ด้วยก็ได้ งั้นเฮเลนาแค่ทำสิ่งที่อยากทำก็พอ
พอคิดได้แบบนั้นเรื่องมันช่างง่ายดาย
อันดับแรกเธอลุกขึ้นจากโซฟาและเดินห่างออกมาเล็กน้อย หากไปทำตรงหน้าเขาอาจจะเสียสมาธิได้ ในกรณีนี้เธออ้อมไปด้านหลังฟาร์มาสน่าจะดีกว่า
เฮเลนาออกจากลานสายตาของฟาร์มาส อ้อมไปยังด้านหลัง และแตะฝ่ามือทั้งสองลงบนพื้น
แน่นอนว่าสิ่งที่จะทำต่อจากนี้ก็คือ
วิดพื้นนั่นเอง
‘ฮึบ ฮึบ’ เธอส่งเสียงแต่เพียงในใจพลางขยับร่างกายของตนอย่างมุ่งมั่น วันนี้ได้แค่ทำโดยมีอเลกเซียขี่หลังในช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายเสียเวลาไปกับงานเลี้ยงน้ำชาและการอาบน้ำแต่งตัวจนหมด
รู้สึกว่าตัวเองขาดการฝึกฝนอยู่เล็กน้อย ดังนั้นชดเชยมันซะตอนนี้เลยก็ได้มั้ง
แม้จะมีปัญหาว่าไม่มีอะไรใช้ถ่วงน้ำหนักบนหลัง แต่แค่นี้ก็ยังนับเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนได้
ความเงียบได้เข้าปกคลุมห้องหนึ่งในวังหลัง
ที่ดังออกมา มีเพียงเสียงฟาร์มาสขยับพู่กันลงบนเอกสาร กับเสียงผ้าเสียดสีกันของเฮเลนา
หากมองจากมุมของบุคคลที่สาม ก็จะเห็นหนึ่งบุรุษที่จ้องมองเอกสารอย่างตั้งอกตั้งใจและวาดพู่กันลงไปเป็นครั้งคราว กับหนึ่งสตรีที่วิดพื้นอยู่ด้านหลังนั้น เป็นสถานการณ์ที่ทำความเข้าใจได้ยากยิ่ง
“อ้อ จริงด้วยสิ เฮเลนาเอ๋ย”
“ค่ะ”
“เราว่าจะมอบของขวัญอะไรให้เจ้าสักอย่าง มีอะไรที่อยากได้ไหม?”
ฟาร์มาสถามเช่นนั้นโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองเฮเลนา
แม้จะกำลังวิดพื้นอยู่ แต่เมื่อไม่มีน้ำหนักแบกรับแบบนี้เธอก็สามารถสนทนาไปด้วยได้โดยไม่มีปัญหา ดังนั้นเฮเลนาจึงคิดอย่างไม่รีบร้อน
สิ่งที่อยากได้
ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะ ถ้าจะให้บอกสักอย่างก็คงอยากจะกลับไปสนามรบ แต่ในสภาพการณ์ปัจจุบันคงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ถึงกระนั้น เธอก็ไม่ได้อยากตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับหรืออะไรทำนองนั้นให้สมกับเป็นบุตรีขุนนาง
จริงสิ
“เช่นนั้น ข้าขอพูดเอาแต่ใจได้ไหมคะ?”
“ลองว่ามาสิ”
“อยากได้ดาบค่ะ”
ตอนนี้เธอวิดพื้น ซิตอัป สควอต กล้ามเนื้อหลังเป็นประจำ
ทว่าในการฝึกฝนร่างกาย ดาบคือพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง ยิ่งได้กวัดแกว่งดาบหนักที่สร้างภาระแบกรับมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการออกกำลังฝึกฝนร่างกายได้มากเท่านั้น
ทว่าหากเป็นแบบนั้นก็คงทำในห้องไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ คงต้องเอาไปใช้ฝึกในสวนล่ะมั้ง
“อืม……”
วังหลังไม่สามารถนำอาวุธเข้ามาได้
ดังนั้นดาบคู่ใจของเฮเลนาจึงถูกทิ้งไว้ที่บ้านตระกูลมาร์ควิสเรลโนต หากไม่มีดาบคู่ใจที่ร่วมฝึกฝนด้วยกันมา ก็มีแต่ต้องหาสิ่งอื่นมาทดแทนเท่านั้น
“รู้หรือไม่ว่าห้ามนำอาวุธเข้าวังหลังน่ะ?”
“รู้ว่าไม่มีมาตรฐานชัดเจนว่าแค่ไหนจึงจะนับเป็นอาวุธค่ะ บรรดาคนคุ้มกันของบุตรีขุนนางก็มีดาบไม้อยู่ ดังนั้นขอแค่นำดาบไปลบคมก็น่าจะสามารถนำเข้ามาได้ไม่ใช่หรือคะ”
“……อืม”
“และหากบอกว่าห้ามนำของมีคมเข้ามา ก็คงไม่สามารถนำมีดทำครัวเข้ามาได้เช่นกัน”
โดยทั่วไปบุตรีขุนนางส่วนใหญ่ก็แหกกฎกันอยู่แล้ว
ไม่เช่นนั้นจะมีสาวใช้อยู่ในห้องตั้งสิบคนได้อย่างไร
ฟาร์มาสเองก็ไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจเรื่องนั้น
“อย่างนี้เอง เข้าใจแล้ว จะเตรียมให้แล้วกัน อยากได้ใหญ่ขนาดไหนล่ะ?”
“ถ้าเป็นไปได้ก็ขอประมาณความสูงของข้าค่ะ”
“……มันจะไม่หนักรึ?”
เฮเลนาเอียงศีรษะด้วยความฉงน ทั้งที่กำลังวิดพื้น
ถึงหนักก็ไม่มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษนี่ ดาบยิ่งหนักหน่วงก็ยิ่งทำให้พลังกล้ามเนื้อเพิ่มพูน นอกจากนี้การฟันด้วยดาบหนักก็ยังทำให้เกิดแรงถ่วงเสริม แม้แต่ข้าศึกที่สวมเกราะก็ยังถูกสังหารได้ในดาบเดียว
“ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ เพราะข้าใช้ดาบหนักต่อสู้อยู่เสมอ”
“……งั้นรึ งั้นจะเตรียมให้ก็แล้วกัน ลบคมออกนะ”
“ค่ะ”
จนถึงตอนนี้ คนหนึ่งกำลังวิดพื้นไปด้วย และทั้งสองคนก็ไม่ได้มองตากันเลย
ถ้าฟาร์มาสหันมาทางเฮเลนาล่ะก็ เขาคงจะอึ้งพลางนึกว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่
ทว่าอาจเป็นเพราะความเชื่อใจ ฟาร์มาสจึงไม่คิดหันไปมองเฮเลนาที่อยู่ด้านหลังของตนเลย
“—!”
ทันใดนั้นเฮเลนาก็ลุกขึ้น
ต้องหยุดวิดพื้นก่อน ทั้งที่ร่างกายอุตส่าห์เริ่มอุ่นเครื่องขึ้นมากำลังดีแล้วแท้ ๆ ไม่นึกเลยว่าจะหยาบคายกันขนาดนี้
เธอมุ่งไปที่ครัวและใช้มือขวาหยิบมีดทำครัวเล่มเล็ก ๆ ขึ้นมา
“ฝ่าบาท”
“หืม?”
“โปรดอย่าถือโทษสิ่งที่จะเกิดต่อจากนี้นะคะ”
จากนั้นเฮเลนาก็หยิบไม้แท่งยาวซึ่งเธอนำเข้ามาด้วยในฐานะสัมภาระส่วนตัว
เธอมัดมีดทำครัวไว้ที่ปลายไม้นั้นอย่างแน่นหนาจนไม่สามารถแน่นไปได้กว่านี้แล้ว
เท่านี้หอกที่ทำเฉพาะหน้าก็เสร็จสมบูรณ์
ฟาร์มาสมองดูการกระทำต่อเนื่องเหล่านั้นแล้วก็หน้าซีด
‘อย่าบอกนะว่า—’ สายตาของเขาฟ้องว่ากำลังคิดเช่นนั้น
ทว่าเฮเลนาก็ยังไม่หยุด
“ฮึ่ม!”
เธอได้แทงหอกออกไป—ยังด้านบนของตนเอง
ฝ้าเพดานของวังหลังนั้นค่อนข้างบาง แม้จะเป็นหอกแบบเฉพาะหน้าก็สามารถแทงทะลุได้โดยง่าย
จากนั้น บนหอกเล่มนั้น
โลหิตสีแดงฉานก็ได้ไหลลงมา
“ห้ะ!?”
“มีผู้บุกรุกอยู่บนฝ้าเพดานค่ะ เกรงว่าคงจะมาสืบพฤติกรรมของฝ่าบาทกระมัง แม้มันจะไม่เปล่งรังสีฆ่าฟันแต่เอกสารเหล่านั้นคือของสำคัญที่ไม่อาจให้ใครเห็น……ข้าจึงต้องกำจัดอย่างไม่มีทางเลือกค่ะ”
เฮเลนาจับสัมผัสและยืนยันตำแหน่งร่างกายจากสายตาของศัตรูอย่างแม่นยำ
จากนั้นจึงขยับร่างกายของตนไปยังจุดที่จะแทงหัวใจของมันได้พอดี
ปลิดชีพด้วยการโจมตีครั้งเดียว
ร่างกายที่อุ่นขึ้นมาถึงระดับหนึ่งมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก
ฟาร์มาสที่ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เธอกำลังวิดพื้นอยู่ ก็คงนึกว่ามันเป็นเหงื่อของความตึงเครียดจากการต้องแสร้งว่าจะทำร้ายตนเองซึ่งเป็นจักรพรรดิ เพราะการกระทำเมื่อครู่มันดูเหมือนเธอกำลังจะปองร้ายจักรพรรดิในวังหลังซึ่งไม่มีทหารคุ้มกัน เป็นโทษถึงตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แต่กระนั้น เพื่อให้ปลิดชีพได้การโจมตีครั้งเดียวเธอจึงจงใจกระทำไปโดยไม่บอกกล่าว หากเธอบอกฟาร์มาสก่อน ผู้บุกรุกก็คงจะหนีไปได้แน่นอน
“……ขอบคุณ ที่ทำเพื่อเรา”
“ไม่เป็นไรมิได้ค่ะ สำหรับศพนั้น ไว้ช่วงกลางวันพรุ่งนี้ค่อยจัดการอย่างเหมาะสมเถิดค่ะ หากจำกัดศพกันกลางดึกเช่นนี้แล้วมีใครมาเห็นเข้าอาจเกิดความเข้าใจผิดที่ไม่ดีได้ อ๊ะ หรือฝ่าบาทอยากให้จับเป็นแล้วบังคับให้คายข้อมูลว่าเป็นใครมาจากไหนมากกว่าหรือคะ?”
ดังนั้นฟาร์มาสจึงคิด
ว่าผู้หญิงคนนี้ ยอดเยี่ยมชะมัด—