“ฮัดเช้ย!”
“—!? ม มีอะไรหรือครับ แม่ทัพเบอร์การ์ซาร์ด!”
“เปล่าน่ะ ไม่มีอะไร”
แนวหน้าการรบกับจักรวรรดิอัลเมดา—ป้อมปราการแกรม
แม้จะมีการปะทะกันบ้างเล็กน้อยในแต่ละวัน แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็เรียกได้ว่ากำลังทรงตัว แม้จะยังมีการส่งหน่วยลาดตระเวนไปสอดแนมอยู่ไม่ขาด แต่การรบขนาดใหญ่ก็ไม่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือนแล้ว ดังนั้นบรรยากาศในหมู่ทหารจึงเหมือนผ่อนคลายลงอยู่บ้าง
ท่ามกลางทหารเหล่านั้น หนึ่งในแปดยอดขุนศึกแห่งจักรวรรดิกันเกรฟ “ขุนศึกหมีน้ำเงิน” บาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ดกำลังก้าวเดินไป
เขาเป็นบุรุษผู้มีร่างกายที่ใหญ่โตกำยำเหมือนคนยักษ์ ใบหน้าดุดันขนาดที่ว่าหากนำหมี สุกร หมูป่า และสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่เพียงในจินตนาการอย่างยักษ์ปิศาจมามัดรวมกันแล้วหารเฉลี่ยด้วยความเป็นมนุษย์ มันก็คงจะออกมาหน้าตาประมาณนี้ ด้วยแรงกดดันที่เขามี เพียงแค่เหลือบตามองชายวัยฉกรรจ์ก็อาจถึงกับปัสสาวะราดเลยทีเดียว เป็นตัวตนที่ราวกับเกิดมาเพื่อมีชีวิตอยู่ในสมรภูมิ ดังนั้นแม้ตอนนี้จะอายุเกือบสี่สิบแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ตบแต่งภรรยาเลย
เมื่อถึงเวลาต่อสู้ เขามักจะนำทัพอยู่หน้าสุดยิ่งกว่าใครเพื่อคอยเด็ดศีรษะของแม่ทัพศัตรู และด้วยการที่มีบาร์โตโลเมนำหน้าอยู่เช่นนั้น ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารที่ติดตามมาก็ย่อมทะยานสูงลิบ ดังนั้นแผนการบุกโจมตีที่มีบาร์โตโลเมนำหน้านั้นจึงเป็นที่ภาคภูมิใจในฐานะรูปแบบซึ่งมีพลังบุกทะลวงสูงที่สุดในกองกำลังอัศวินทั้งหมด
บาร์โตโลเมคนนั้น ตอนนี้ไม่ได้กำลังอยู่ในฐานที่มั่นของกองกำลังอัศวินหมีน้ำเงินซึ่งตนเองบัญชาการ แต่เขากำลังมาเยือนที่กระโจมของกองกำลังอัศวินพยัคฆ์แดง
โดยปกติแล้วควรจะแค่ส่งคนนำสารมาแจ้งข่าวก็พอ แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ตอนนี้ไม่มีการสู้รบซึ่งเรียกว่าเป็นการสู้รบได้เลย จนเขารู้สึกว่างงานมาก อีกอย่างหนึ่ง หากบาร์โตโลเมไม่อยู่ พวกเสนาธิการของกองกำลังอัศวินหมีน้ำเงินก็คงจะได้พักผ่อนกันด้วย ด้วยความคิดเช่นนั้นเขาจึงมาเยี่ยม “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” วิกเตอร์ ครีก ซึ่งพักหลังนี้ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเท่าไร
ทว่าแค่ปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกายอย่างการจามก็ยังทำให้คนอื่นตกใจได้ซะงั้น
“โทษที ข้ามีธุระกับวิกเตอร์น่ะ ขอผ่านไปได้ไหม”
“ค ครับ! เชิญครับ!”
เขากล่าวเช่นนั้นกับทหารที่เฝ้ายามอยู่นอกกระโจมก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
ภายในนั้นคือใบหน้าที่คุ้นเคยดี—“ขุนศึกพยัคฆ์แดง” วิกเตอร์ กับทหารชั้นเสนาธิการและทหารคุ้มกันของวิกเตอร์อีกหลายนาย พวกเขากำลังหันหน้าคุยกันอยู่
“ขอมารบกวนหน่อยนะ”
“โอ้ ว่าไง บาร์ต”
“ประชุมอยู่รึ? ถ้ายุ่งงั้นเดี๋ยวข้าค่อยมาใหม่”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ยังไงซะตอนนี้อัลเมดามันก็สงบเสงี่ยมอยู่ ไม่มีเรื่องด่วนขนาดต้องตัดสินใจทันทีตอนนี้หรอก”
วิกเตอร์กล่าวด้วยสำเนียงหยาบ ๆ เป็นกันเอง เชิญให้บาร์โตโลเมนั่งลง
วิกเตอร์อายุสามสิบกว่า ส่วนบาร์โตโลเมใกล้จะสี่สิบแล้ว การที่แม้จะมีความต่างของอายุแต่ก็ยังสนิทสนมกันเช่นนี้ ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นเพราะวิกเตอร์และบาร์โตโลเมต่างก็เป็นแปดยอดขุนศึกเช่นเดียวกัน
อันที่จริงแล้วบาร์โตโลเมเป็นฝ่ายพูดเองด้วยซ้ำ ว่าเพราะตำแหน่งทัดเทียมกัน จึงอยากให้ปฏิบัติต่อกันโดยไม่ต้องสนใจความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องหรือความอาวุโส
และวิกเตอร์เองก็ทำตามคำขอนั้นอย่างซื่อตรง ปฏิบัติต่อบาร์โตโลเมเหมือนเป็นสหายกันเช่นนี้
“แล้วไง มีความเคลื่อนไหวอะไรงั้นรึ?”
เมื่อบาร์โตโลเมนั่งลง วิกเตอร์ก็กล่าวเช่นนั้นพลางมองเขาด้วยสายตาแหลมคม
แววตานั้นดูมีความคาดหวังเจือปนอยู่เล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็กึ่งถอดใจไปแล้วด้วยเหมือนกัน
ซึ่งบาร์โตโลเมก็ถอนใจพลางแจ้งข่าวเหมือนเดิมกับทุกที
“มีคนนำสารจากนครหลวงมา”
“แล้ว?”
“บอกว่าให้ใช้นโยบายเน้นป้องกันต่อไปน่ะ ส่วนตำแหน่งจัดวางทัพก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
“—ให้ตายสิวะ ไอ้จักรพรรดิปัญญานิ่มนั่น!”
วิกเตอร์สบถด่าทอออกมาอย่างหยาบคาย
นั่นก็สมควรแล้ว เพราะเขาได้แจ้งไปทางนครหลวงไม่รู้กี่ครั้ง ว่าด้วยกำลังพลในปัจจุบันกองกำลังอัศวินของพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มกำลัง
ป้อมปราการแกรมที่แนวชายแดนกับอัลเมดานั้นจำเป็นต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้ก็จริง แต่กองกำลังอัศวินเองก็มีการแบ่งเป็นสองประเภท คือกองกำลังอัศวินที่มีความถนัดในศึกตั้งรับ กับกองกำลังอัศวินที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น
หากเป็นศึกตั้งรับ
กองกำลังอัศวินอสรพิษม่วงของ “ขุนศึกอสรพิษม่วง” อเลกซานเดอร์ รอยเอนธาล
กองกำลังอัศวินหมาป่าเงินของ “ขุนศึกหมาป่าเงิน” ทิฟฟานี รีด
กองกำลังอัศวินอาชาขาวของ “ขุนศึกอาชาขาว” ลุดวิก เออร์เนมันน์
หากเป็นศึกบุกจู่โจม
กองกำลังอัศวินหมีน้ำเงินของ “ขุนศึกหมีน้ำเงิน” บาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ด
กองกำลังอัศวินแรดทองคำของ “ขุนศึกแรดทองคำ” วังแดร์เลย์ ชแวร์ท
กองกำลังอัศวินกุมภีล์หยกของ “ขุนศึกกุมภีล์หยก” อัลเฟรด กันดอล์ฟ
ส่วนที่กองกำลังที่สามารถทำทั้งสองอย่างได้อย่างคล่องแคล่วก็จะเป็น กองกำลังอัศวินพยัคฆ์แดงของ “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” วิกเตอร์ครีก กับกองกำลังอัศวินวิหคดำของ “ขุนศึกวิหคดำ” ริกฮาร์ด เรลโนต
ดังนั้นวิกเตอร์จึงได้ส่งคำร้องไปยังนครหลวงหลายต่อหลายครั้ง ว่าให้สลับตำแหน่งวางทัพของกองกำลังอัศวินหมีน้ำเงินกับกองกำลังอัศวินอสรพิษม่วง แล้วให้กองกำลังอัศวินหมีน้ำเงินของบาร์โตโลเมกับกองกำลังอัศวินแรดทองคำของวังแดร์เลย์ร่วมกันตีราชรัฐดาเลียซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สุดของพันธมิตรสามอาณาจักรให้แตกพ่าย เคยบอกไปแบบนั้นนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
ส่วนป้อมปราการแกรม หากวิกเตอร์กับอเลกซานเดอร์รวมพลังกันก็คงไม่ยากที่จะปกป้องป้อมปราการนี้จากจักรวรรดิอัลเมดา และในระหว่างที่ปกป้องอยู่ก็ควรรีบใช้การบุกสายฟ้าแลบของสองกองกำลังอัศวินข้างต้นตีดาเลียให้แตกพ่ายไปเสีย
ทั้งที่ส่งคำร้องไปแบบนั้นตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วแท้ ๆ
“จะให้ทำยังไงวะแม่งเอ้ย!”
สถานการณ์ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
แม้จะมีหัวลูกศรที่ชื่อว่ากองกำลังอัศวินหมีน้ำเงินซึ่งสามารถเจาะทะลวงการป้องกันของชาติข้าศึกได้อยู่ แต่มันกลับไม่ได้ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์อะไรเลย
“อย่าหัวเสียไปนักเลย วิกเตอร์”
“เหอะ! ให้ตายสิ……ไอ้พวกนั้นมันก็ดีแต่สั่งเอา ๆ อยู่ข้างบน……แต่คนที่ตายน่ะมันคือพวกเราน่ะเว้ย”
“เรื่องนั้นน่ะก็รู้กันดีอยู่แล้ว ยังไงก็เถอะ คำสั่งที่ข้าได้รับมามันก็มีแค่นั้นแหละ ความจริงแล้วใช้ให้คนนำสารมาบอกอาจจะดีกว่าก็ได้สินะ”
“อ่า……นั่นสินะ ถ้าแกไม่อยู่ข้าอาจจะบ่นได้ถนัดกว่านี้แหละ”
บาร์โตโลเมย์เป็นทหารที่ซื่อตรงมาก
แม้จะได้รับการขนานนามว่าแกร่งที่สุดในกันเกรฟแต่เขาก็ไม่เคยหลงตัวเอง เพียงตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตนไปอย่างซื่อสัตย์เท่านั้น ดังนั้นนอกจากจะมีผลงานเป็นที่ประจักษ์แล้ว เขาก็ยังไม่เคยโดนลดขั้นหรือหักเงินเดือนเนื่องจากฝ่าฝืนกฎของกองทัพเลย
ทว่าเขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจอารมณ์ละเอียดอ่อนของผู้คน ยังมีความเข้าอกเข้าใจเรื่องที่ว่าหากมีผู้อาวุโสกว่าอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา เรื่องที่อยากจะบ่นก็ไม่สามารถบ่นได้ถนัดนัก
“จริง ๆ เล้ย จักรพรรดิปัญญานิ่มออกมาแต่คำสั่งห่วย ๆ ได้ทุกที แถมยังไม่มีการสู้รบเป็นเรื่องเป็นราว รู้สึกหงุดหงิดชะมัดเลยแฮะ……ให้ตายสิ ถ้าเฮเลนารีบกลับมาก็คงดีแท้ ๆ”
“หืม?”
“แค่มียัยนั่นอยู่อีกคนกองกำลังอัศวินก็แน่นปึ้กขึ้นเยอะ ยังไงก็ไม่มีทางยอมให้ขึ้นเป็นแปดยอดขุนศึกได้จริง ๆ ด้วยนั่นแหละ ให้อยู่เป็นรองผู้บังคับบัญชาของข้าจนเป็นยายแก่เลยไปเลยดีมั้ยนะ”
เมื่อได้ยินวิกเตอร์พึมพำเช่นนั้น บาร์โตโลเมก็ขมวดคิ้ว
ผู้บังคับบัญชาของเฮเลนาก็คือวิกเตอร์
วิกเตอร์ที่เป็นหัวหน้าทำไมถึงได้ไม่รู้เรื่องนั้นกันนะ หรือว่าแค่กำลังแสดงละครว่าไม่รู้อยู่กันแน่ แต่ลองคิดดูแล้วก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องแสดงละครแบบนั้นเลยนี่
ถ้างั้น—แล้วทำไมผู้บังคับบัญชาโดยตรงถึงได้ไม่รู้เรื่องกัน
“วิกเตอร์”
“หือ?”
“แก……ไม่รู้เรื่องคุณหนูเฮเลนางั้นรึ?”
“หา?”
วิกเตอร์ตอบกลับมาด้วยท่าทางเหมือนไม่เข้าใจว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
บาร์โตโลเมเองก็แค่ได้รู้มาจากน้องสาวต่างมารดาอีกทีเหมือนกัน แต่ไม่นึกเลยว่าแม้แต่ผู้บังคับบัญชาโดยตรงเองก็ยังไม่รู้ด้วยแบบนี้
อนึ่ง เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดก็คือ การที่เฮเลนาได้พูดว่า “เดี๋ยวข้าจะส่งจดหมายไปบอกเอง” แอนตันเลยคิดว่าให้วิกเตอร์รู้ข่าวจากเฮเลนาโดยตรงน่าจะดีกว่า จึงไม่ได้แจ้งข่าว ส่วนเฮเลนาก็ดันลืมส่งจดหมายไปซะสนิท เมื่อสองข้อนี้มารวมกัน ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นว่าวิกเตอร์ไม่ได้รู้ข่าวเลยนั่นเอง
“……คุณหนูเฮเลนาเขาไม่กลับมาแล้วนะ”
“หา? พูดอะไรน่ะบาร์ต”
“ข้าเองก็แค่รู้มาจากจดหมายของน้องสาวต่างแม่น่ะ……แต่ดูเหมือนคุณหนูเฮเลนาจะเข้าวังหลังไปแล้ว”
“ห้ะ!?”
วิกเตอร์ตะโกนดังลั่นและลุกขึ้นยืน
วังหลัง
นั่นคือสถานที่ซึ่งจักรพรรดิได้รวบรวมโฉมงามจำนวนมากเอาไว้เพื่อทำเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ นั่นเอง เคยได้ยินข่าวลือมาเหมือนกันว่าแม้จะกำลังอยู่ระหว่างศึกสงครามเช่นนี้ แต่กลับมีการรวบรวมโฉมงามจำนวนมากไปที่นั่น
ดังนั้นจึงมีคนมากมายที่ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ตัวตนที่ชื่อว่าจักรพรรดินั่นเข้าไปใหญ่
“ไหงเฮเลนาถึง!?”
“มาถามข้าก็ไม่รู้จะตอบยังไงนะ……คุณหนูเฮเลนาน่ะเป็นบุตรสาวของที่ปรึกษาหลวงเรลโนตใช่ไหมล่ะ บางทีอาจจะต้องเข้าไปเพราะเป็นลูกสาวขุนนางก็ได้มั้ง?”
“หา……หา……!”
“ยิ่งไปกว่านั้น รองผู้บังคับบัญชาของแกก็โดนเปลี่ยนเป็นริชาร์ดตั้งแต่วันก่อนแล้วไม่ใช่รึ เอกสารปรับเปลี่ยนตำแหน่งนั่นก็น่าจะส่งมาถึงแล้ว แกไม่ได้รับมันรึ? เฮ้ย วิกเตอร์?”
การเปลี่ยนแปลงรองผู้บังคับบัญชาจากเฮเลนาเป็นริชาร์ดน่าจะได้รับการรายงานไปแล้วเมื่อหลายวันก่อนนี่นา และในปัจจุบันภายในกระโจมนี้ก็ยังมีริชาร์ดที่เป็นผู้บังคับบัญชากับทหารเสนาธิการฝ่ายธุรการคนอื่น ๆ อีกหลายนาย แล้วก็ทหารคุ้มกันอีกนิดหน่อยอยู่ด้วย
เรียกได้ว่านี่คือทหารชั้นเสนาธิการทั้งหมดของกองกำลังอัศวินพยัคฆ์แดงแล้ว
“……ริชาร์ด”
“ครับ ท่านแม่ทัพ”
“ทหารที่พร้อมเคลื่อนพลทันทีตอนนี้มีกี่นาย”
“ถ้าทันทีตอนนี้เลยก็ประมาณสามพันครับ แต่หากรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าก็จะมีเพิ่มอีกสองพัน”
“พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทาง ไปเตรียมตัวไว้ซะ ทั้งกองทัพเลย”
“……เฮ้ย วิกเตอร์ เป็นอะไรไปน่ะ”
วิกเตอร์สั่งการออกมาด้วยท่าทางโงนเงนไร้ชีวิตชีวาชอบกล
ส่วนริชาร์ดก็รับคำสั่งนั้นไปโดยไม่มีการตรวจสอบยืนยันมูลเหตุอะไรแม้แต่น้อย
สัญญาณเตือนภัยในหัวของบาร์โตโลเมได้ดังลั่นขึ้นมา
“ของมันแน่อยู่แล้วไม่ใช่รึ บาร์ต……ข้าศึกอยู่ที่นครหลวง!”
“คิดอะไรของแกอยู่น่ะ!?”
“ใครจะไปไว้หน้าไอ้จักรพรรดิปัญญานิ่มที่มันบังอาจแย่งเฮเลนาไปเล่า! กบฏ แบบนี้มันต้องกบฏ!”
“พูดอะไรของแกน่ะ! เฮ้ย ริชาร์ด แกเองก็ช่วยห้ามด้วยสิ!”
“พวกเราจะขอติดตามท่านแม่ทัพไปครับ!”
“ไหงงั้น!?”
การแปรพักตร์กะทันหันของ “ขุนศึกพยัคฆ์แดง” หนึ่งในแปดยอดขุนศึกแห่งจักรวรรดิกันเกรฟ และรองผู้บังคับบัญชาที่ไม่คิดจะห้ามแต่ดันไปเห็นดีเห็นงามด้วยซะงั้น
บาร์โตโลเมไม่เข้าใจสักนิดว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่
“เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้วสิครับ แม่ทัพเบอร์การ์ซาร์ด ท่านเฮเลนาน่ะคือตัวตนที่เป็นเหมือนพระเทวีของพวกเรา”
“พวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่คือสมาชิกชั้นเสนาธิการของ ‘สมาคมผู้ตามหลังท่านเฮเลนา’ ครับ”
“กองกำลังอัศวินพยัคฆ์แดงที่ไม่มีท่านเฮเลนา ไม่สิ จักรวรรดิกันเกรฟที่ไม่มีท่านเฮเลนาน่ะ ไม่มีคุณค่าให้สังกัดอยู่แม้แต่น้อย”
“พูดเรื่องบ้าอะไรกันอยู่เนี่ย!?”
ไม่รู้ทำไมเหล่าทหารเสนาธิการคนอื่น ๆ ถึงพากันมากล่าวเสริมเช่นนั้น บาร์โตโลเมจึงได้แต่ตะโกนออกมา
“นำท่านเฮเลนากลับคืนมาสู่พวกเรา!”
“เพื่อเดินตามหลังของท่านเฮเลนา!”
“เพื่อต่อสู้ร่วมกับท่านเฮเลนา!”
“เฮเลนา! รอก่อนนะเว้ย—!”
“หยู้ดดดด—!”
หากผู้ที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่บาร์โตโลเม บางทีประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิกันเกรฟอาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็เป็นได้
ทว่าโชคดีที่ผู้ที่อยู่ตรงนี้คือแม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดบาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ด และเป็นมนุษย์ที่มีสามัญสำนึกดีพอจะห้ามปรามสหายที่กำลังจะก่อกบฏ
ไม่อย่างนั้นล่ะก็
นครหลวงอาจถูกถล่มโดยเหล่าสมาชิกของ “สมาคมผู้ตามหลังท่านเฮเลนา” แฟนคลับอย่างไม่เป็นทางการของเฮเลนาไปแล้ว