อันดับแรกหลังจากเคลียร์ปัญหาการสื่อสารคลาดเคลื่อนและความเข้าใจผิดกับฟรองซัวส์ได้แล้ว ฟรองซัวส์ก็ได้จากไปเพื่อกลับไปทานอาหารกลางวันที่ห้องของตนเองเช่นกัน
สรุปแล้ว เรื่องที่ฟรองซัวส์ต้องการปิดบังคือเรื่องของเฮเลนาในการสนทนาระหว่างฟาร์มาสกับฟรองซัวส์เมื่อคืน ซึ่งเธอบอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถบอกได้ มันเพราะอะไรกันหว่า
แอบนินทาเธอหรือไงกันนะ เฮเลนาเอียงคอด้วยความฉงน
จากนั้นเฮเลนาก็ได้ทานอาหารเที่ยงอันเย็นชืดที่อเลกเซียนำมา และแม้จะไม่ได้เหงื่อออกมากมายอะไร แต่อเลกเซียก็บอกว่า “จะต้องพบกับฝ่าบาทพระพันปีนะคะ!” แล้วก็ถูกบังคับให้อาบน้ำ จนในที่สุดถึงค่อยได้นั่งลงบนโซฟา
ที่เหลือก็แค่รอการมาถึงของลูเครเซีย—
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเคาะ
“ค่ะ”
“หัวหน้านางกำนัลอิซาเบลค่ะ พระสนมฟ้าสุริยาอยู่หรือไม่?”
“ค่ะ อยู่ค่ะ”
“เช่นนั้นก็ขออนุญาต”
เมื่อมีการกล่าวขานตอบกับอเลกเซียเช่นนั้นแล้ว ประตูก็ถูกเปิดออก
ผู้ที่อยู่ตรงนั้นก็คือหัวหน้านางกำนัลรับใช้อิซาเบล แล้วก็—พระพันปีลูเครเซีย
“ขอมารบกวนนะจ๊ะ หนูเฮเลนา”
“ยินดีต้อนรับค่ะ ท่านลูเครเซีย”
“โทษทีที่มาสองวันติดแบบนี้นะ เอาล่ะ……อ่า อเลกเซีย ใช่ไหมนะ? เธอออกไปก่อนเถอะ ส่วนอิซาเบลอยู่นี่แหละ”
“รับทราบแล้วเพคะ ฝ่าบาทพระพันปี”
“เพคะ ฝ่าบาท”
เมื่อได้ฟังคำของลูเครเซีย อเลกเซียก็โค้งคำนับและออกไปจากห้อง สำหรับเฮเลนาแล้วแค่มีอเลกเซียอยู่ก็อุ่นใจ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้อยู่ด้วย แต่คงพูดจาเอาแต่ใจแบบนั้นไม่ได้สินะ
และนอกจากลูเครเซียแล้วยังมีอีกคนที่เข้ามาพร้อมกันด้วย
“ขออนุญาตนะคะ ท่านเฮเลนา”
“……ทิฟฟานี?”
นั่นก็คือ “ขุนศึกหมาป่าเงิน” ทิฟฟานี รีด
เธอเป็นแฟนคลับผู้ศรัทธาในเฮเลนาอย่างแรงกล้าและยังเป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยวังหลังด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่คนที่สมควรมาอยู่ร่วมในที่สนทนาระหว่างพระพันปีลูเครเซียกับเฮเลนาผู้เป็น “สนมฟ้าสุริยา” เช่นนี้นี่นา
หากเธอไม่มีสามัญสำนึกในเรื่องทำนองนั้น งั้นเฮเลนาควรจะเป็นฝ่ายพูดอะไรสักคำดีไหมนะ—เฮเลนาคิดพลางคิ้วขมวดเล็กน้อย
“อ่า ไม่เป็นไรหรอกจ้ะหนูเฮเลนา ฉันเป็นคนบอกให้ทิฟฟานีมาร่วมด้วยเอง”
“เป็นเช่นนั้นเองหรือคะ”
“ใช่จ้ะ ช่วงเช้าวันนี้ฉันให้ทิฟฟานีช่วยชี้แนะหลาย ๆ เรื่องน่ะ ดูเหมือนฉันจะขาดการออกกำลังกายจริงด้วยสิ เหนื่อยพอสมควรเลยล่ะ”
“ท่านก็เคลื่อนไหวได้เหลือเฟืออยู่นะเพคะ ฝ่าบาทพระพันปี”
“อุ๊ยแหม จริงรึ? แปลว่าฉันก็ยังพอไหวสินะจ๊ะเนี่ย”
‘หุหุ’ ลูเครเซียยิ้ม
จะว่าไปรูปร่างของเธอก็ผอมบางจนไม่นึกว่าคลอดลูกมาแล้วสองคน ยิ่งไปกว่านั้นยังดูอ่อนเยาว์จนไม่น่าเชื่อว่าเธออายุมากกวาเฮเลนาแล้ว บางทีเธอคงดูแลใส่ใจเรื่องความสวยความงามอยู่เสมอสินะ
แต่อันที่จริง หากมองจากมุมของลูเครเซียแล้ว คนที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องความงามเป็นพิเศษแต่กลับคงความสวยไว้ทั้งที่อายุยี่สิบแปด แถมยังรักษารูปร่างในอุดมคติไว้ได้แม้จะมีกล้ามเนื้อเยอะไปหน่อยก็ตาม แบบเฮเลนาต่างหากที่แปลกประหลาดมากกว่า
“เอ่อ……ท่านลูเครเซีย วันนี้มาด้วยธุระอันใดหรือคะ?”
“อ่า จริงด้วยสิ ลืมไปเลย ก็เมื่อวานน่ะดันเอาแต่คุยเรื่องแม่ทัพเรย์ลาจนไม่ได้สอนอะไรเลยใช่ไหมล่ะ? ฉันมาที่นี่ก็เพื่อสอนมารยาทในฐานะชายาเอกให้หนูเฮเลนาแต่ดันลืมไปซะได้ วันนี้ก็เลยมาอีกครั้งไงล่ะจ๊ะ”
“ขอบพระคุณค่ะ”
เฮเลนากล่าวขอบคุณเช่นนั้น
เป็นอย่างที่คิดไว้ ว่ามาเพื่อสอนมารยาทในฐานะชายาเอกให้จริงด้วย ถึงเมื่อวานจะพูดว่ามันไม่ได้มีอะไรให้สอนมากมายนักก็เถอะ
ทว่า—คำพูดถัดมาก็เพียงพอที่จะทำให้เฮเลนาถึงกับแข็งค้างไป
“หนูเฮเลนาน่ะ เต้นรำเป็นหรือเปล่า?”
“……”
เฮเลนาเป็นนักรบ
เธอเป็นสตรีผู้ใช้ชีวิตอยู่ในสมรภูมิมาเป็นเวลาสิบสามปีตั้งแต่อายุสิบห้า ด้วยความแข็งแกร่งชนิดหาตัวจับยากกับความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ เธอจึงสามารถขึ้นเป็นรองผู้บังคับบัญชาของแปดยอดขุนศึกก่อนอายุสามสิบ และมีฝีมือถึงขั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้มีสิทธิ์ได้เป็นแม่ทัพรุ่นต่อไป
หากเป็นวิธีใช้ชีวิตในสนามรบเธอย่อมรู้ดี อย่างเช่นสัมผัสที่บอกว่าต้องแทงหอกอย่างไรจึงจะสังหารศัตรูได้ เธอได้เรียนรู้มันภายในเวลาหนึ่งปีนับจากเข้าสังกัดในกองอัศวินแล้ว
และเธอยังถนัดการทำอาหารอย่างผิดคาด ถึงมันจะเป็นแค่อาหารที่ทำในแคมป์กลางสนามรบก็เถอะ นอกจากนี้ยังเชี่ยวชาญการปรุงวัตถุดิบที่หาได้ในพื้นที่ อย่างเช่น สามารถกะปริมาณอันละเอียดอ่อนของเกลือที่ควรใส่เวลาย่างงูกินได้อย่างดีเยี่ยม
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังทำถนัดพวกงานผูก ๆ ถัก ๆ ทว่ามันก็ไม่ใช่การถักผ้าแบบคนทั่วไป แต่เป็นการผูกเชือกสองเส้นเข้าด้วยกัน หรือการทำให้มันสั้นลงเพื่อพกพาได้สะดวก ซึ่งจนถึงเมื่อไม่นานมานี้เธอก็ชอบพกเชือกติดตัวไว้ด้วยเสมอเมื่อออกรบในสมรภูมิที่ค่อนข้างพิเศษ เพื่อให้สามารถใช้งานมันได้ในเวลาจำเป็นเร่งด่วน
แม้จะมีความคลาดเคลื่อนในสามัญสำนึกเล็กน้อย แต่เฮเลนานั้นมีสกิลของผู้หญิงสูงผิดคาด ในความคิดของเธอเองอ่ะนะ
ทว่าการเต้นรำนั้นอยู่นอกเหนือความเชี่ยวชาญของเธอโดยสิ้นเชิง
โดยปกติสำหรับบุตรีขุนนางแล้วการเต้นรำนั้นนับว่าเป็นความรู้พื้นฐาน ด้วยฐานะทางสังคมบุตรีขุนนางจึงมีโอกาสร่วมงานราตรีต่าง ๆ บ่อยมาก ดังนั้นการเต้นรำจึงเป็นวิชาบังคับนั่นเอง
ทว่าเฮเลนานั้นไม่เคยมีความจำเป็นต้องเต้นรำเลย
ยังไงในสมรภูมิมันก็ไม่มีให้โอกาสเต้นรำอยู่แล้ว เวลาดื่มสุรากับพวกคนในกองทัพ ส่วนใหญ่แล้วจะดื่มกันในร้านเหล้าในเมืองหรือไม่ก็ตั้งวงกันเองในแคมป์กลางแจ้ง ซึ่งมันก็ไม่ได้มีความหรูหราเหมือนงานราตรี เธอจึงไม่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้การเต้นรำสักนิด
“……ข ขออภัย ค่ะ”
“ไม่ถนัดการเต้นรำจริง ๆ ด้วยสินะ?”
“ม ไม่เคยทำมาก่อนเลยค่ะ……”
“อื้ม ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เพราะนึกอยู่แล้วว่าน่าจะเป็นแบบนั้น วันนี้ก็เลยพาทิฟฟานีมาด้วยไงล่ะ”
‘โอ้’ เฮเลนาเงยหน้าขึ้น
การเต้นรำนั้นโดยพื้นฐานแล้วจะจับคู่เต้นกันสองคนชายหญิง แม้ดูเหมือนในบางท้องที่หรือประเทศจะมีการยืนเรียงแถวกันเป็นวงกลมเพื่อเต้นรำอยู่ด้วย แต่โดยพื้นฐานแล้วมันคือสิ่งที่ทำกันสองคน
ดังนั้นหากจะเต้นรำก็แน่นอนว่าจำเป็นต้องมีคู่เต้น
“อาจเป็นการเกินตัวไปบ้าง แต่ทิฟฟานี รีดผู้นี้จะขอเป็นคู่เต้นให้ท่านเฮเลนานะคะ”
“ขอบใจนะ ทิฟฟานี”
“งั้นก็เริ่มสอนกันเลยนะจ๊ะ แต่ทิฟฟานีต้องรับบทเป็นผู้ชาย ดังนั้นอาจจะรู้สึกขัด ๆ อยู่บ้าง”
“มิต้องกังวลเลยเพคะฝ่าบาทพระพันปี ในงานราตรีของกองอัศวินหมาป่าเงิน อัศวินหญิงก็รับบทผู้ชายกันเป็นธรรมดาอยู่แล้วเพคะ”
คำพูดของทิฟฟานีทำให้เฮเลนารู้สึกว่าเธอสามารถเชื่อมั่นพึ่งพาได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ที่เป็นปริศนากว่านั้นก็คือวลี ‘งานราตรีของกองอัศวินหมาป่าเงิน’ ต่างหาก กองอัศวินหมาป่าเงินมันต้องจัดงานราตรีเนื่องในโอกาสอะไรกันแน่
อย่างน้อยที่สุดนั่นก็ไม่ใช่ประเพณีที่อยากให้นำเข้ามาในกองอัศวินพยัคฆ์แดงเลยล่ะ ให้ผู้ชายจับคู่เต้นรำกันเองเนี่ย มันคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากภาพเสียสายตา
“เอาล่ะ อันดับแรกจับมือกันก่อน”
“เพคะ ท่านเฮเลนา ขอมือหน่อยค่ะ”
“โปรดช่วยชี้แนะด้วยนะคะ”
“จ้ะ งั้นมาเริ่มจากสเต็ปพื้นฐานก่อนนะ”
เฮเลนาทำตามคำชี้แนะของลูเครเซีย และเริ่มฝึกซ้อมสเต็ปพื้นฐาน
เพราะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่คุ้นเคย ในตอนแรกเฮเลนาจึงเอาแต่ก้มมองเท้าพลางเต้นอย่างระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีก้าวเท้าพลาดอยู่ดี
เธอก็ฝึกฝนมันซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งพลางรู้สึกหงุดหงิดกับร่างกายที่เคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจ
“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือบุคลิกท่าทางนะจ๊ะ จะเอาแต่ก้มมองเท้าอยู่แบบนั้นไม่ได้”
“ต แต่ว่า ท่านลูเครเซียคะ ข้าอาจเผลอเหยียบเท้าทิฟฟานีได้……”
“ต้องเคลื่อนไหวอย่างไหลลื่นไปพร้อมกันเพื่อไม่ให้เหยียบเท้าไงล่ะ หากหนูเฮเลนาเคลื่อนไหวตามจังหวะก็ไม่มีทางเหยียบเท้ากันแน่ ดังนั้นวางใจเถอะจ้ะ ที่สำคัญกว่านั้นคือถ้าหลังงอมันจะดูไม่งามนะ”
“อุ……”
‘เอ้า’ ลูเครเซียเริ่มปรบมือ แล้วเฮเลนาก็ขยับเท้าให้เข้าจังหวะนั้น
พยายามยืดหลังให้ตรงเข้าไว้ แล้วก็ทำบุคลิกท่าทางให้ถูกต้องเข้าไว้
ไอ้แบบนี้ ให้ไปฝึกร่างกายยังสบายกว่าตั้งไม่รู้เท่าไหร่—เธอคิดเช่นนั้นพลางฝึกฝนสเต็ปพื้นฐานไปเรื่อย ๆ
สุดท้าย กว่าจะเริ่มจับทางได้ก็รู้สึกอ่อนล้าไปทั้งตัวแล้ว
“เอาล่ะ เหนื่อยหน่อยนะจ๊ะ”
“ข……ขออภัยด้วยค่ะ……”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ มันไม่ใช่อะไรที่เรียนรู้ได้ในวันเดียวคืนเดียวอยู่แล้ว วันนี้อย่างน้อยก็พยายามจำสเต็ปพื้นฐานให้ได้แล้วกันนะ”
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
อย่างน้อยที่สุดเธอก็มั่นใจว่าจดจำสเต็ปพื้นฐานได้แล้ว
ทว่า หากไม่ทบทวนก็คงลืมมันไปในเวลาไม่นาน แบบนี้เธออาจต้องแบ่งเวลาที่ใช้ฝึกฝนร่างกายมาใช้ทบทวนสเต็ปการเต้นนี้ด้วย
‘หนึ่ง สอง สาม สี่’ เธอนับในใจพลางขยับเท้าไปด้วยทั้งที่นั่งอยู่
“อิซาเบล ช่วยชงชามาทีสิ”
“รับทราบค่ะ ฝ่าบาทพระพันปี”
“หนูเฮเลนา เราพักกันสักหน่อยเถอะ ฉันก็อยากถามเรื่องเมื่อคืนซะด้วยสิ”
‘หุหุ’ ลูเครเซียยิ้มแย้มพลางนั่งลงเบื้องหน้าของเฮเลนา
เมื่อได้ยินลูเครเซียกล่าวเช่นนั้น เฮเลนาจึงเอียงศีรษะเล็กน้อย
“……เรื่องเมื่อคืน หรือคะ?”
“ใช่จ้ะ ได้ยินว่าฟาร์มาสมาเยือนวังหลังเมื่อคืนนี่นา”
“อ๋อ ค่ะ”
เรื่องที่ว่าฟาร์มาสมาเยือนวังหลังมันก็ไม่ผิดไปจากความเป็นจริง
ทว่าคนที่เขามาหาไม่ใช่เฮเลนา แต่เป็นฟรองซัวส์ต่างหาก
เกรงว่าคงเกี่ยวข้องกับเรื่องทาบทามสู่ขอบาร์โตโลเมนั่นแหละมั้ง แต่ลูเครเซียนั้นคิดว่าเมื่อคืนฟาร์มาสมาเยือนห้องของเฮเลนาอยู่สินะ
“ก็จริงอยู่ที่ดูเหมือนเมื่อคืนฝ่าบาทได้มาเยือนวังหลังค่ะ”
“……ดูเหมือน?”
“ค่ะ แต่ดูเหมือนเขาจะไปหาพระสนมคนอื่น ไม่ใช่ข้าน่ะค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำของเฮเลนา ลูเครเซียก็เบิกตากว้าง
และจากนั้น—ก็ได้มีความโกรธผุดขึ้นมาบนสีหน้าอย่างชัดเจน