ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 102

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

 

“อูย ๆ……”

 

“ไม่เป็นไรนะ?”

 

“อ่า ถ้าแค่นี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

 

หลังจากนั้นเฮเลนากับลิลิธก็แลกหมัดกันต่อไปอีกสักชั่วโมง ก่อนที่จะหยุดพักกันในที่สุด

เธอได้ให้อเลกเซียที่ยืนทำตาเย็นชาเหมือนตายแล้วช่วยชงชาให้ ก่อนที่จะมานั่งเรียงกันกับลูเครเซีย แล้วก็ออกคำสั่งให้ศิษย์ทั้งสามฝึกฝนวิชากระบอง โดยสำหรับมาริเอลที่แสดงการเติบโตมากที่สุดเธอก็ให้ไปฝึกซ้อมต่อสู้กับทิฟฟานี ส่วนสำหรับฟรองซัวส์กับคลาริสซาก็ให้ฝึกฝนกระบวนท่าพื้นฐานซ้ำไปเรื่อย ๆ

และระหว่างที่มองดูการฝึกของทั้งสี่คนนั้น เธอก็ดื่มชาร่วมกับลิลิธไปด้วย

 

“ว่าแต่ว่าก็มีแค่ลิลิธเนี่ยแหละนะ ที่ต่อสู้มือเปล่าแบบเอาจริงกับข้าได้น่ะ”

 

“……แต่สำหรับข้าแล้วก็ไม่สบอารมณ์เลยนะ พี่สาวน่ะไม่ได้มีการต่อสู้มือเปล่าเป็นวิชาเอกด้วยซ้ำแท้ ๆ”

 

“ข้าเองก็ประหลาดใจเจ้าเหมือนกัน ที่ไม่มีประสบการณ์ในสมรภูมิแท้ ๆ แต่กลับแข็งแกร่งขนาดนั้นได้น่ะ”

 

……

‘เปรี๊ยะ ๆ’ ราวกับมีประกายไฟปะทุขึ้นระหว่างสองพี่น้อง

 

“สนามรบไม่ได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างเสียหน่อย หากได้ร่ำเรียนกับอาจารย์ที่เก่งกาจ เรียนรู้วิชายุทธที่เจริญเติบโตมาพร้อมกับประวัติศาสตร์แล้วล่ะก็ ไม่ว่ายังไงก็แข็งแกร่งขึ้นได้แน่นอน สนามรบน่ะมันก็แค่การต่อสู้ตะลุมบอนเท่านั้นแหละ โจมตีส่งเดชไปเดี๋ยวก็โดนใครสักคนเอง”

 

“วิชาการต่อสู้ที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งสนามรบน่ะ ข้าว่ามันก็แค่การเล่นขายของเท่านั้นแหละ ผู้ที่มีพลังต่อสู้แต่กลับไม่ใช้มันในสนามรบ ก็มีแค่พวกกุ๊ยอันธพาลในเมืองหรือไม่ก็พวกขี้ขลาดที่หวาดกลัวสมรภูมิล่ะนะ ต่อให้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ที่เก่งกาจยังไงมันก็แค่การเล่นขำขันที่ดีหน่อยแค่นั้น”

 

“……แต่ข้าว่าพลังที่ขัดเกลามาจากสมรภูมิน่ะ สุดท้ายมันก็แค่ความสามารถในการสังหารคนเท่านั้นแหละ เทียบกันแล้ววิชายุทธนั้นมีคำกล่าวว่ายอดยุทธมิสังหาร มันคือการวัดว่าจะใช้ร่างกายเพียงหนึ่งเดียวของตนควบคุมและทำให้คู่ต่อสู้ยอมจำนนได้แค่ไหน ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้เอาไปเทียบกับความสามารถเหม็นกลิ่นคาวเลือดที่ขัดเกลามาในสมรภูมิเลยนะ”

 

“……การเอาชนะข้าศึกนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องใช้แต่มือเปล่าอย่างเดียวเสมอไป ถ้าตรงนั้นมันมีอาวุธอยู่ การใช้มันซะก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นหากออกไปรบในสมรภูมิก็ต้องมีฝีมือในการใช้อาวุธทุกประเภทต่อสู้ได้อย่างเต็มร้อย มันไม่ใช่สถานที่ซึ่งจะพูดอะไรกระจอก ๆ อย่าง ‘ถ้าไม่ใช้มือเปล่าก็จะไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ’ ได้หรอกนะ”

 

“…………การขัดเกลาวิชาอย่างใดอย่างหนึ่งจนถึงขั้นเอกอุนั้นคือแก่นแท้ของวิชายุทธ นักรบที่ใช้ได้ทั้งดาบ หอก ขวาน และกำปั้นน่ะสุดท้ายแล้วก็จะไม่ได้เชี่ยวชาญอย่างไหนเป็นพิเศษ ผู้ใช้วิชายุทธที่มุ่งไปในเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งจนสุดทางต่างหาก จึงจะกลายเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่ทิ้งนามเอาไว้ในประวัติศาสตร์”

 

“…………เอาล่ะ แต่แม่ของพวกเราผู้ได้ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ก็เชี่ยวชาญวิชาทุกรูปแบบนะ หากเป็นพวกงุ่มง่ามที่ทำได้แค่เชี่ยวชาญวิชาเดียวก็คงจะต้องแก้ตัวแบบนั้นล่ะมั้ง เพราะไม่เคยรู้จักผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไงล่ะ”

 

“………………จะเอาเหรอ?”

 

“………………จะเอารึ?”

 

“หยุดก่อนจ้ะ ทั้งสองคน”

 

เมื่อประกายไฟที่ส่งออกมาจากสายตาที่ประสานกันมันเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ลูเครเซียจึงกล่าวห้ามขึ้นเช่นนั้น

แนวคิด “มือเปล่าคือสุดยอด” ของลิลิธกับแนวคิด “ในสมรภูมิต้องเก่งรอบด้าน” ของเฮเลนามันตรงข้ามกันเหมือนน้ำกับน้ำมัน

อนึ่ง อัลเบราบุตรสาวคนรองนั้นมีแนวคิดว่า “จงฝากชีวิตไว้กับดาบ” ดังนั้นพอสามสาวอยู่พร้อมหน้ากันเมื่อไรก็จะยิ่งทะเลาะกันหนักกว่านี้ซะอีก ความจริงข้อนี้มีแค่แอนตันที่รู้

 

“ตอนนี้กำลังฝึกฝนศิษย์อยู่ ดังนั้นใจเย็นลงก่อนเถอะจ้ะหนูเฮเลนา”

 

“อุ……ขออภัยค่ะท่านลูเครเซีย”

 

“หนูลิลิธเองก็อย่าไปตามคำยั่วยุง่าย ๆ แบบนั้นสิจ๊ะ”

 

“ขออภัยค่ะพระพันปี”

 

เมื่อเจอกับการตำหนิของลูเครเซีย ทั้งเฮเลนาและลิลิธต่างก็ก้มศีรษะ

ในเรื่องนี้ก็ช่างเหมือนกันสมเป็นพี่น้องกันจริง ๆ

 

‘ฟู่ว’ เฮเลนาตัดสินใจจิบชาดำสักคำเพื่อให้ใจเย็นลงก่อน

น้ำชาที่อเลกเซียช่วยชงให้ยังคงอร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

 

“จะว่าไปแล้ว”

 

ตอนนั้นเองเธอก็พูดเรื่องที่รู้สึกคาใจออกมา

แต่เดิมทีแล้ว ลิลิธเป็นภรรยาของเจ้าชายลำดับสองแห่งราชอาณาจักรการ์แลนด์ แปลว่า มีฐานะเป็นบุคคลที่แต่งเข้าอาณาจักรข้างเคียงไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีฐานะเป็นภรรยาของเจ้าชายลำดับสองก็หมายความว่ามีศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์อย่างถูกต้อง

ราชอาณาจักรการ์แลนด์กับจักรวรรดิกันเกรฟนั้นอย่างน้อยตอนนี้ก็น่าจะยังรักษาสัมพันธไมตรีกันอยู่ ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าราชนิกุลของจักรวรรดิกันเกรฟจะมีสิทธิ์ไปออกคำสั่งอะไรกับเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรอื่นได้ ทว่าลิลิธกลับยอมรับคำสั่งจากลูเครเซียและมาถึงที่นี่

ลิลิธบอกว่าเธอแค่ถือโอกาสแวะมาพร้อมกับธุระเรื่องอื่น เช่นนั้นแล้วเป้าหมายที่แท้จริงซึ่งทูตพิเศษจากการ์แลนด์เดินทางมาทำมันคืออะไรกันแน่นะ

 

“ทำไมลิลิธถึงได้มาที่นี่ล่ะ?”

 

“หมายความว่าไงเหรอ?”

 

“ตอนนี้เจ้าเองก็เป็นเชื้อพระวงศ์ของราชอาณาจักรการ์แลนด์แล้วไม่ใช่รึ? ต่อให้ท่านลูเครเซียเป็นถึงพระพันปี เจ้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำตามนี่นา”

 

“อ้อ……อ่า ถึงจะมานครหลวงเพราะธุระอื่น แต่ที่มาถึงที่นี่ก็เพราะพระพันปีทรงบอกล่ะนะ”

 

ลิลิธกล่าวเช่นนั้นพลางเกาแก้มอย่างใช้ความคิด

 

“ก่อนอื่น สามีกับข้ามาในฐานะทูตพิเศษของการ์แลนด์นั่นแหละ เรื่องนั้นฝ่าบาทจักรพรรดิเองก็น่าจะรู้ ดังนั้นก็เลยมีการช่วยเตรียมเรือนรับรองสำหรับแขกของประเทศเอาไว้ให้สามีกับข้าแล้วน่ะ”

 

“โฮ่”

 

“แล้วก็ ข้อมูลที่ว่าเรือนรับรองกำลังถูกใช้โดยใครอยู่บ้าง มันเป็นข้อมูลที่ราชนิกุลหรือข้าราชการระดับสูงในจักรวรรดิกันเกรฟย่อมรับรู้ได้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ตอนนั้นเองพระพันปีก็เลยได้รู้ว่าข้ากับสามีกำลังนอนค้างอยู่ที่เรือนรับรอง ดังนั้นจึงส่งสารขอร้องมายังข้าว่าหากเป็นไปได้ก็อยากให้มาด้วยกัน แล้วก็เพราะมาพร้อมกับพระพันปีจึงสามารถเข้ามายังส่วนลึกของวังหลังได้แบบนี้ไงล่ะ”

 

“…………งั้นรึ”

 

“พี่สาว ไม่เข้าใจใช่ไหม”

 

เฮเลนาหลบตาเมื่อโดนลิลิธชี้เป้า

มันก็ไม่เชิงว่าไม่เข้าใจหรอก ไม่เชิงว่าไม่เข้าใจจริง ๆ นะ ก็แค่ พอฟังไปได้ครึ่งทางมันก็รู้สึกขี้เกียจคิดแล้วเท่านั้นเองอ่ะ

 

“อะแฮ่ม……เอ่อ ราชอาณาจักรการ์แลนด์ทำไมถึงได้ส่งทูตพิเศษมารึ?”

 

“หืม? ในฉากหน้าก็แค่เพื่อสานสัมพันธไมตรีกับจักรวรรดิกันเกรฟให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นแค่นั้นแหละ”

 

“……เช่นนั้นรึ?”

 

เฮเลนาเอียงศีรษะอย่างฉงน

เฮเลนาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดีนัก แต่ปกติแล้วแค่จะแสดงความเป็นมิตรแค่นั้นมันถึงกับต้องส่งทูตพิเศษอะไรนั่นมาเชียวรึ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข้อที่ว่าเจ้าชายลำดับสองซึ่งเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์เป็นผู้มาเองเลยด้วย

 

“ก็แค่ฉากหน้าล่ะนะ อันที่จริงแล้วยังมีเป้าหมายอื่นอยู่อีก”

 

“หืม”

 

“จักรวรรดิกันเกรฟกับราชอาณาจักรการ์แลนด์นั้นปัจจุบันมีความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกัน และจากนี้ไปก็น่าจะคงความสัมพันธ์พันธมิตรเอาไว้ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะราชอาณาจักรการ์แลนด์นั้นมีชายแดนชนกับทิศตะวันตกของจักรวรรดิกันเกรฟ และในปัจจุบันนี้ก็กำลังมีการทำศึกสามด้านกับริฟาล อัลเมดา และพันธมิตรสามอาณาจักรอยู่ด้วย ดังนั้นคิดว่ายังไงกันเกรฟก็คงไม่เป็นฝ่ายทำลายความสัมพันธ์พันธมิตรนี้เองอยู่แล้วล่ะ”

 

“นั่นสินะ”

 

หากเป็นเรื่องทำนองนั้นเฮเลนาเองก็พอจะเข้าใจ

โดยปกติแล้วแผนสู้ศึกสามด้านนั้น ต่อให้เป็นประเทศใหญ่ไหน ๆ มันก็เกินความสามารถ แม้ในปัจจุบันริฟาลจะสงบเสงี่ยม ส่วนแนวชายแดนพันธมิตรสามอาณาจักรกับอัลเมดาก็เริ่มจะสงบนิ่งลงระดับหนึ่งแล้ว แต่ถ้ามีแนวรับตรงไหนแตกไป สถานการณ์มันก็จะเปลี่ยนไปในทันที

หากในสภาพแบบนั้นแล้วยังมีการ์แลนด์ซึ่งอยู่ทางตะวันตกมาผสมโรงด้วย จักรวรรดิกันเกรฟคงตกที่นั่งลำบากแน่นอน

 

“และ ราชวงศ์การ์แลนด์ก็ไม่ได้โง่เขลาขนาดที่จะคิดถือโอกาสนี้ตั้งตนเป็นศัตรูกับจักรวรรดิกันเกรฟเหมือนกับอัลเมดาหรอก”

 

“ซึ่ง ก็แปลว่าจะทำให้พันธมิตรเข้มแข็งขึ้นแทนสินะ”

 

“เรื่องการทำให้พันธมิตรแน่นแฟ้นขึ้นมันก็ใช่ และตอนนี้ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านของการ์แลนด์เองก็กำลังอยู่ในความสงบ ดังนั้นก็เลยอยากจะใช้โอกาสนี้สร้างบุญคุณกับกันเกรฟเอาไว้ก่อนด้วย เพื่อหวังผลในอนาคตไงล่ะ”

 

“อืม”

 

อย่างน้อยที่สุดการที่การ์แลนด์จะไม่กลายมาเป็นศัตรูก็ทำให้โล่งใจไปได้อย่างหนึ่งแล้ว

แต่ว่า ไอ้ที่บอกว่าจะสร้างบุญคุณด้วยเนี่ยมันหมายความว่าไงกัน

 

“การ์แลนด์จะส่งแม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดกับกำลังทหารติดตามอีกหมื่นนายไปยังชายแดนที่ติดกับพันธมิตรสามอาณาจักร”

 

“โฮ่”

 

“ไปที่แนวชายแดนของราชรัฐดาเลียซึ่งตอนนี้ ‘ขุนศึกแรดทองคำ’ กับ ‘ขุนศึกอสรพิษม่วง’ กำลังป้องกันอยู่น่ะ หากสามารถตีอาณาจักรนั้นให้แตกพ่ายได้ในเวลาอันสั้น เราก็จะชิงความได้เปรียบในการรบกับพันธมิตรสามอาณาจักรมาได้ในทีเดียวเลย แม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของการ์แลนด์ ‘ราชสีห์สีชาด’ แม่ทัพก็อตฟรีต เลออนฮาร์ตกับทหารหาญใต้บังคับบัญชาอีกหมื่นนาย หากรวมพลังของทัพนี้เข้ากับสองกองอัศวินใหญ่แห่งกันเกรฟ จะต้องสามารถบุกตีดาเลียให้แตกได้แน่นอน”

 

ชื่อที่ลิลิธกล่าวออกมา คือชื่อของแม่ทัพที่โด่งดังจนแม้แต่เฮเลนาก็เคยได้ยิน

แม่ทัพไร้พ่ายผู้ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในการ์แลนด์— ‘ราชสีห์สีชาด’ ก็อตฟรีด เลออนฮาร์ต

หากมีทหารกล้าที่ชายผู้นั้นบัญชามาเป็นพันธมิตรของจักรวรรดิกันเกรฟ ก็นับว่าไม่มีขุมกำลังได้จะพึ่งพาได้ไปยิ่งกว่านี้แล้ว

 

“ทำไมล่ะ?”

 

ทว่า

เรื่องนั้น—มันต่างไปจากแนวทางของฟาร์มาสที่คิดจะยืดเยื้อสถานการณ์ปัจจุบันนี้ออกไปเรื่อย ๆ

 

“ทำไมน่ะรึ……ก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่รึไงพี่สาว”

 

“หา?”

 

“ในพิธีไว้อาลัยครบรอบหนึ่งปีของจักรพรรดิองค์ก่อน พี่สาวได้รับการปฏิบัติเสมือนเป็นพระชายาเอกใช่ไหมล่ะ? เสียใจด้วยนะแต่ชื่อเสียงในฝีมือยุทธของ ‘ธิดาล้างสังหาร’ เฮเลนา เรลโนตน่ะมันดังมาถึงการ์แลนด์อยู่แล้ว มีคำขอมาจากฝ่ายกองทัพมากเป็นพิเศษเลยล่ะว่าหากขุนศึกหญิงนั่นจะมาเป็นพระชายาเอก การ์แลนด์ก็ยิ่งแข็งข้อไม่ได้เด็ดขาด ซึ่งก็แปลว่าราชอาณาจักรการ์แลนด์ได้ยอมจำนนต่อพี่สาวไงล่ะ”

 

“เอ๋……”

 

“แต่ก็นะ แต่เดิมทีก็เป็นอาณาจักรสัตว์ประหลาดที่ทำอะไรบ้าบออย่างสู้ศึกสามด้านแล้วยังไม่โดนตีแตกเลยสักด้านอยู่แล้วนี่นา ต่อให้พี่สาวไม่ได้เป็นพระชายาเอกการ์แลนด์ก็อาจจะสวามิภักดิ์อยู่ดีนั่นแหละ”

 

เพราะชื่อเสียงในด้านยุทธของเฮเลนาโด่งดังเกินไป จนส่งผลกับความสัมพันธระหว่างประเทศเนี่ยนะ

ฟังไปแล้วก็เคอะเขินยังไงไม่รู้แฮะ

 

และในเวลาเดียวกัน การที่การ์แลนด์มาเข้าร่วมกับกันเกรฟเช่นนี้ก็มีโอกาสที่มันจะทำแผนการใหญ่ของฟาร์มาสเสียไปด้วย

ถึงกระนั้นเฮเลนาก็ไม่สามารถไปปรึกษาใครได้

 

“ฮืม……”

 

“หากมองจากมุมของจักรวรรดิกันเกรฟแล้วมันคงเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์มากเกินไปเลยล่ะ เพราะจะเหมือนกับได้อาณาจักรทางทิศตะวันตกเกือบทั้งหมดมาเข้าพวกแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ไปคุยกับฝ่าบาทจักรพรรดิหรอกนะ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกัน”

 

นอกจากนี้เฮเลนาเองก็ไม่มีความรู้ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภายนอก อีกทั้งยังไม่เคยคิดถึงมันเลยด้วยซ้ำไป

ดังนั้นก็สรุปว่า

 

“……อืม นั่นสินะ”

 

ไม่ค่อยเข้าใจอ่ะ แต่ตอนนี้พยักหน้าไปก่อนแล้วกัน

 

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท