หลังจากได้ชื่นชมทิวทัศน์จากภูเขาเทโอร็อกกันอยู่ครู่หนึ่งพวกเขาก็เริ่มเดินทางกลับ เพราะนี่ก็คือการเสด็จออกนอกสถานที่ขององค์จักรพรรดิ ดูเหมือนว่ายังไงก็จำเป็นต้องกลับก่อนมืดจริง ๆ จะปล่อยให้เดินทางยามค่ำคืนแล้วถูกโจรดักปล้นเอาก็เห็นทีจะไม่ได้
ถึงแม้ว่าจะมีสองคนที่เกือบจะเรียกได้ว่าแกร่งที่สุดในจักรวรรดิคือเฮเลนากับเกรเดียอยู่ด้วยดังนั้นคงแทบไม่มีโอกาสที่ฟาร์มาสจะได้รับอันตรายเลยก็ตามที
ซิลวาของฟาร์มาสกับฟาลโกของเฮเลนาเดินหน้าไปด้วยกัน
“เฮ้อ……ให้ตายสิ เวลามันผ่านไปเร็วจริง ๆ นะ”
“นั่นสินะคะ”
ขนาดออกมาตอนเช้าตรู่ยังมาถึงตอนเที่ยง ๆ หากคำนึงว่าขากลับก็น่าจะใช้เวลาพอกัน มันก็ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะต้องเริ่มเดินทางกลับกันให้เร็วหน่อย
ทว่าฟาร์มาสก็ยังทำปากบึนเหมือนไม่พอใจ
เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น เฮเลนาก็ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ พลางคิดว่า ‘ยังดูเป็นเด็กอยู่จริง ๆ ด้วยนะ’
“ขากลับก็วิ่งแข่งกันที่ทุ่งหญ้าไหมคะ?”
“นั่นสินะ……ไม่สิ อย่าดีกว่า ค่อย ๆ กลับกันพลางสนทนาไปด้วยเถอะ”
“รับทราบแล้วค่ะ”
ก็จริงของเขา ขากลับมันไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไรหรอก
พวกเขาตัดสินใจค่อย ๆ ควบม้าเดินเคียงกันไปจนถึงนครหลวงด้วยกันสองคน ถึงข้างหลังจะมีเกรเดียคอยตามดูอยู่ก็เถอะ
“อีกหนึ่งเดือนให้หลังเราชวนเจ้าไปเที่ยวอีกได้ไหม?”
“ค่ะ แน่นอนอยู่แล้ว”
“งั้นรึ เช่นนั้นเราก็คงทนหนึ่งเดือนนี้ที่จะไม่พบเจ้าได้ คราวหน้าขอกินหม้อไฟที่เจ้าทำหน่อยก็แล้วกัน”
“ค่ะ ข้าจะเตรียมฝีมือไว้สำหรับตอนนั้นนะคะ”
ขอแค่มีคนช่วยเตรียมวัตถุดิบให้ เธอก็คงทำหม้อไฟที่ถูกปากฟาร์มาสได้ ถึงอย่างไรเขาก็คงไม่สั่งว่าให้ทำอาหารจากวัตถุดิบในป่าเท่านั้นหรอกกระมัง
มันจะจำเป็นต้องล่ากวางหรืออะไรทำนองนั้นด้วยไหมนะ ไว้ถึงตอนนั้นค่อยขอให้ช่วยเตรียมคันศรกับลูกธนูด้วยก็แล้วกัน
“……”
ทว่าระหว่างที่กำลังคิดถึงหม้อไฟอยู่เช่นนั้น แม้จะกินมื้อเที่ยงไปแล้วแท้ ๆ แต่เธอก็ดันรู้สึกหิวขึ้นมาซะได้
การทำหม้อไฟ มันก็แปลว่าจะได้กินตอนที่มันยังร้อน ๆ นั่นเอง และแม้ฟาร์มาสจะพูดว่า “หม้อไฟของเฮเลนาข้าจะกินคนเดียว” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเฮเลนาจะไม่ได้กินด้วยเสียหน่อย
‘ไว้กลับไปแล้ว ให้อเลกเซียช่วยเตรียมอาหารเบา ๆ ให้ดีไหมนะ’ เธอคิด
ทว่ากว่าจะกลับไปถึงก็คงจะใกล้ค่ำแล้วด้วยสิ น่าหนักใจเหมือนกันแฮะ
“……มีอะไรรึ เฮเลนา”
“เปล่าค่ะ……”
“ถ้ามีเรื่องกังวลใจอะไรก็ลองว่ามาเถอะ หากเป็นความต้องการของเจ้า เราก็ยินดีที่จะสนองมันอยู่แล้ว”
“ขอบพระคุณค่ะ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“……งั้นรึ”
จะให้เธอพูดออกไปได้ยังไงว่า “รู้สึกหิวขึ้นมานิดหน่อยค่ะ” เดี๋ยวก็โดนมองว่าเป็นคนตะกละตะกลามกันพอดีน่ะสิ
ทว่าเมื่อเห็นใบหน้ากลัดกลุ้มใจของเฮเลนา ฟาร์มาสก็ทอดถอนใจเบา ๆ
เวลาที่เฮเลนาใช้ความคิดอะไรสักอย่างนั้น โดยพื้นฐานแล้วมักจะเป็นเรื่องไม่มีแก่นสาร ทว่าการที่คนรอบข้างมองแล้วไม่เห็นว่าเป็นเช่นนั้น มันกลับช่วยส่งเสริมความเสียของของเธอให้โดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก
“……อย่าทำหน้าเช่นนั้นเลย”
“เอ๋?”
“ก็จริงอยู่ว่าจุดยืนของเจ้านั้นพิเศษกว่าผู้อื่น ปกติแล้วสนมในวังหลังนั้นย่อมไม่สามารถออกมาภายนอกได้ การที่เจ้ามาเที่ยวทางไกลได้เช่นนี้ก็มีเหตุผลข้อเดียวคือเรารักใคร่โปรดปรานเจ้าอยู่”
“อา……”
จะว่าไปแล้วก็จริงตามนั้น
ทว่าเฮเลนาไม่ได้กำลังกลุ้มใจเรื่องพรรค์นั้นอยู่เสียหน่อย แต่เอาเข้าจริงถ้าเกิดเขาเดาถูกว่า “งั้นรึ กำลังหิวอยู่สินะ” เธอก็คงจะอดนึกว่า ‘เป็นพ่อมดหรือไง’ ขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน
“คนพวกนั้นน่ะว่าไปแล้วก็เหมือนกับถูกขังไว้ในกรงเพียงเพราะความกระหายอำนาจของเหล่าขุนนางล่ะนะ หากสามารถกลายเป็นภรรยาหลวงของเราได้ตระกูลก็จะกลายเป็นเครือญาติของราชวงศ์ ตระกูลที่หลงไหลในตำแหน่งนั้นมีอยู่ไม่น้อยเลย ประชาชนทั่วไปเองก็คงมองเหมือนว่าพวกเธอถูกกักขังไว้เพราะความเห็นแก่ตัวของเราเองด้วยซ้ำ”
“เอ่อ……”
“ทว่าตอนนี้เรายังเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ ทุกอย่างมันมีจังหวะที่เหมาะสมของมันเอง เราต้องขยายรากฐานในราชสำนักและรักษาจุดยืนที่ไม่สั่นคลอนไว้ให้ได้ก่อน การกวาดล้างจึงจะเกิดขึ้นได้ ความทุกข์ใจของเจ้าเราเข้าใจดี แต่ตอนนี้ช่วยอดทนไว้ก่อนเถอะ”
พูดเรื่องอะไรของเขานะ
เอาเป็นว่าเธอไม่รู้สักนิดว่าฟาร์มาสกำลังพูดถึงอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับตัวเขาเอง และในเมื่อมันไม่ได้มีคำสั่งให้เฮเลนาทำอะไรเป็นพิเศษ เธอก็ไม่มีความจำเป็นอันใดต้องไปถามทวนกับเขา
งั้นก่อนอื่นก็พยักหน้ารับแบบกำกวมไปก่อนก็แล้วกัน
“ค่ะ ท่านฟาร์มาส”
“แต่ว่าหลังจากเจ้าเข้าวังมา ได้ยินมาว่าวังหลังก็เปลี่ยนไปมากทีเดียวนะ”
“งั้นหรือคะ?”
“อา ก็แค่ได้ยินมาจากทิฟฟานี รีดอีกทีนะ แต่ว่า ‘สนมฟ้าดารา’ กับ ‘สนมฟ้าจันทรา’ ก็มาร่วมกันปรับปรุงวังหลังด้วยไม่ใช่รึ”
“อ่า……ก็ใช่นะคะ”
ถึงจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ แต่พวกเธอก็อยู่ที่นั่นกันด้วย
มาริเอลก็มุมานะดีอยู่ แต่ชาร์ลอตเตนั้นเฮเลนาจำได้แม่นเป็นพิเศษว่าเธอเอาแต่บ่นไม่พอใจอยู่ตลอด
“การที่เจ้าพวกนั้นร่วมมือกันน่ะ หากเป็นวังหลังก่อนหน้านี้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ……นี่ก็เป็นเพราะเจ้าเข้าวังมาถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีไงล่ะ”
“แต่ว่า……ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษเลยนะคะ”
“ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก หากไม่ใช่เจ้าก็คงทำเช่นนี้ไม่ได้”
แต่เธอไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษจริง ๆ นะ
ตั้งแต่เข้าวังหลังมาจนถึงตอนนี้ เรื่องที่เธอใช้ความพยายามมีแค่ตอนที่เต้นรำในงานราตรีไว้อาลัยครบรอบหนึ่งปี กับตอนที่ร่วมงานเลี้ยงน้ำชาของมาริเอลเมื่อครั้งยังเป็นศัตรูกันอยู่เท่านั้นเองมั้ง นอกเหนือจากนั้นเธอก็แค่ใช้ชีวิตไปตามสไตล์ของเธอเองจนผลลัพธ์มันออกมาในรูปนี้
“เฮเลนา”
“คะ?”
“เราเคยบอกให้เจ้าช่วยอดทนเป็นเวลาหนึ่งปีใช่ไหม”
เคยบอกด้วยเหรอ
น่าจะเคยบอกแหละนะ ฟาร์มาสพูดมาเองแบบนี้ก็น่าจะเคยบอกแหละ ถึงเธอจะจำไม่ได้ก็เหอะ
“นั่นสินะคะ”
“เราจะกวาดล้างพวกกังฉินให้หมดไปจากราชสำนักแล้วก็สร้างระบบการปกครองที่ใสสะอาดขึ้นมาให้ดู ช่วยรอจนถึงตอนนั้นด้วยเถอะ เมื่อถึงตอนนั้นแหละเราจะไปรับตัวเจ้าอย่างเปิดเผยเลย”
ได้ฟังถึงตรงนั้นเธอก็ถึงบางอ้อ
ถ้าจำไม่ผิด เขาน่าจะเคยพูดตอนที่มาเยือนหลังจากเธอเพิ่งเข้าวังมาว่า ‘จะแกล้งเป็นจักรพรรดิผู้โง่เขลาเป็นเวลาหนึ่งปี เพราะงั้นขอให้ช่วยอดทนจนถึงตอนนั้นด้วย’ หมายถึงเรื่องนั้นเอง
รู้สึกโล่งขึ้นมาเหมือนกับก้างที่ติดคอมันหลุดออกไปเลย
“ค่ะ ข้าจะรอนะคะ”
สรุปที่อยากจะบอกก็คือ ขอแค่เธออยู่วังหลังไปอีกหนึ่งปี หลังจากนั้นเขาก็จะให้เธอเป็นอิสระสินะ
แม้หนึ่งปีจะยาวนาน แต่เธอจะทนรอไปพลางฝึกฝนวิชาไปพลางก็แล้วกัน เพื่อที่พอกลับไปสมรภูมิในอีกหนึ่งปีให้หลังจะได้ไม่เป็นตัวถ่วงด้วย
เมื่อได้ฟังคำตอบของเฮเลนาดังนั้น ฟาร์มาสก็ผุดยิ้มออกมา
“งั้นรึ……เจ้าเองก็ตั้งใจจะยอมรับอยู่แล้วหรือเนี่ย”
“คะ?”
“อ่า ความใจเสาะของเรามันเป็นอุปสรรคมากทีเดียวน่ะ จะหัวเราะเยาะว่าเป็นพวกขี้ขลาดก็ได้นะ เรากลุ้มใจมาสักพักแล้วว่าควรจะบอกกับเจ้าตอนไหนดี”
“อ่า……”
พวกขี้ขลาดคืออะไรยังไงนะ
ได้ยินถ้อยคำที่ไม่เข้าใจสักนิด เฮเลนาจึงได้แต่เอียงศีรษะอย่างฉงนใจ แต่เมื่อเห็นฟาร์มาสดูยินดีอย่างมากเธอก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป
“หนึ่งปีให้หลังมันจะต้องเป็นงานใหญ่ระดับประเทศเลยล่ะ ถึงจะน่าหึงหวงที่ต้องให้ชาวประชาได้เห็นรูปโฉมที่งดงามของเจ้า แต่มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
“เอ่อ นั่นมัน……”
“ฮะ ๆๆ แทบอดใจรอไม่ไหวตั้งแต่ตอนนี้แล้วล่ะ”
อะไรกันนะ จะจัดงานเลี้ยงปล่อยตัวออกจากวังหลังรึไงหว่า
ไอ้ที่ว่าจะโชว์ตัวเฮเลนาให้ชาวประชาได้เห็นนั่นก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน
เออ ช่างมันเหอะ
คิดไปก็ไม่เข้าใจเหมือนเดิมอยู่ดี ดังนั้นไม่ต้องคิดอะไรก็แล้วกัน
“เอาล่ะ……ถึงแล้วสินะ”
“ยินดีต้อนรับกลับครับ!”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ รู้ตัวอีกทีก็มาถึงประตูหน้าของนครหลวงแล้ว
ตอนนี้ตะวันเริ่มคล้อย และอีกไม่นานก็คงจะตกดิน นับว่ามาถึงได้เวลาเหมาะเจาะพอดี
หลังจากเดินผ่านถนนใจกลางเมืองมุ่งไปยังราชวัง และนำซิลวากับฟาลโกไปคืนที่คอกม้าแล้ว พวกเขาก็ได้ลงมายืนบนพื้นหลังจากไม่ได้ยืนมาพักใหญ่
ได้ขี่ม้าหลังจากไม่ได้ขี่มานาน ทำให้รู้สึกเจ็บต้นขาด้านในอยู่เล็กน้อย สงสัยเธอจะวอร์มร่างกายไม่เพียงพอกระมัง
“งั้นก็ ลากันจนอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าสินะ”
“อีกหนึ่งเดือนให้หลัง ข้าจะรอให้ท่านมาเยือนนะคะ”
ปากทางเข้าวังหลัง
ฟาร์มาสมาด้วยกันกับเฮเลนาจนถึงตรงนั้น หลังจากนั้นก็แลกจุมพิตเหมือนว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว
ทำกี่ครั้งก็ยังไม่ชินสักที คงไม่มีวันที่เธอจะชินได้กระมัง
“เอาล่ะ คืนนี้พักผ่อนให้สบายเถิด เฮเลนาของข้า”
“ค่ะ”
จากนั้น เมื่อมองส่งแผ่นหลังของฟาร์มาสจนลับตาไป เฮเลนาเองก็กลับเข้าไปยังวังหลัง
ถึงจะสนุกดี แต่ก็เหนื่อยเล็กน้อย เอาไว้หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จเธอฝึกฝนเบา ๆ สักหน่อยแล้วก็เอนตัวเข้านอนให้เร็วกว่าปกตินิดนึงดีกว่า
แต่ก่อนหน้านั้น ต้องไปเล่าเรื่องวันนี้กับอเลกเซียก่อน
ไปพร้อมกับงูตัวใหญ่ที่ยังดิ้นพล่านอยู่ในถุงกระสอบนี่ล่ะนะ