เลทีเซีย เชอวาลีเย คือบุตรสาวคนรองของตระกูลบารอนเชอวาลีเย หนึ่งในขุนนางของจักรวรรดิกันเกรฟ
แม้จะกล่าวเช่นนั้น ตระกูลบารอนเชอวาลีเยก็ไม่ใช่ตระกูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอันใด แต่เป็นเพราะเจ้าตระกูลรุ่นก่อนได้บริจาคทรัพย์สินให้แก่ราชสำนักจนได้รับบรรดาศักดิ์มา เรียกได้ว่าเป็นขุนนางรุ่นใหม่นั่นเอง จากนั้นเมื่อบิดาของเธอสืบทอดบรรดาศักดิ์มา เขาก็มีความคิดว่าอยากจะได้บรรดาศักดิ์ที่สูงยิ่งขึ้นไป อยากจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่มีอำนาจในการขับเคลื่อนจักรวรรดิกันเกรฟอันยิ่งใหญ่บ้าง
เพราะฉะนั้น แม้กฎหมายจะบัญญัติไว้ให้เฉพาะขุนนางตั้งแต่ระดับเคานต์ขึ้นไปเท่านั้นที่ต้องส่งบุตรสาวเข้าวังหลัง แต่เลทีเซียก็ยังเข้ามาในวังหลังของจักรพรรดิหนุ่มฟาร์มาสเช่นนี้
ถึงกระนั้น ตัวเลทีเซียเองก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจแม้แต่นิดเดียว
แรกเริ่มเดิมทีตระกูลเชอวาลีเยก็ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมาย อดนึกไม่ได้ว่าจักรพรรดิจะรู้จักหรือเปล่าด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ บริษัทการค้าที่ตระกูลของเธอบริหารจัดการ—บริษัทการค้าเชอวาลีเย หากเปรียบเทียบกับบริษัทใหญ่ยักษ์อย่างแอน-มาโลว์ หรือผู้นำพันธมิตรบริษัทการค้าของจักรวรรดิกันเกรฟอย่างเลซีแล้ว บริษัทของตระกูลเธอก็แทบไม่เป็นที่รู้จักเลย
หากบอกว่าเป็นเพียงหนึ่งในบริษัทการค้าที่มีอยู่มากมายซึ่งแข่งขันกันเป็นที่สามรองจากแอน-มาโลว์กับเลซี ก็น่าจะเห็นภาพได้ง่าย
ดังนั้นเลทีเซียจึงตัดสินใจเข้าไปประจบสอพลอผู้ที่เป็นบุตรสาวของบริษัทการค้าแอน-มาโลว์ และยังเป็นหนึ่งในสามสนมฟ้าซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดในวังหลัง “สนมฟ้าดารา” มาริเอล รีเวียร์
หากมาริเอลได้รับความรักใคร่โปรดปรานของจักรพรรดิก็ดี หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น การตีสนิทกับแอน-มาโลว์ไว้ก็ไม่เสียหายอะไร ด้วยความสามารถในการคิดคำนวณที่ติดตัวมาเพราะเกิดในกระกูลค้าขายเช่นนี้เอง เลทีเซียได้จึงเข้ามาอยู่ใต้ร่มเงาของมาริเอล
ผลลัพธ์ก็คือ เธอได้กลายมาเป็นตัวตนที่แทบจะเรียกได้ว่าแกนกลางหลักของฝ่าย “สนมฟ้าดารา” หนึ่งในฝักฝ่ายของการแย่งชิงอำนาจ
“……วันนี้ก็ไม่ได้เหรอ?”
‘เฮ้อ’ เลทีเซียถอนหายใจเล็กน้อย พลางเขม่นใส่สาวใช้ที่โผล่หน้าออกมาจากห้อง “สนมฟ้าดารา” มาริเอล
ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เธอไม่ได้พบกับมาริเอลเลย ไม่รู้ว่าทำไมหนึ่งเดือนมานี้ ที่โถงทางเดินซึ่งเชื่อมไปยังห้องของสามสนมฟ้าถึงได้มีอัศวินหญิงจากกองอัศวินหมาป่าเงินมาปิดกั้นเอาไว้ ทำให้เธอไม่สามารถผ่านเข้าไปได้
ซึ่งในที่สุดการปิดกั้นนั้นก็ได้คลายออกแล้วในวันนี้ เลทีเซียจึงว่าจะมาดูลาดเลาเสียหน่อย และมาที่ห้องของมาริเอลอยู่เช่นนี้ทว่าน่าเสียดายที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่อยู่ในห้อง
‘เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ’ เลทีเซียเป็นห่วงอยู่เล็กน้อย
พักหลังมานี้มาริเอลเอาแต่หลงใหลซาบซึ้งในตัว “สนมฟ้าสุริยา” เฮเลนา เรลโนต พอเปิดปากพูดทีไร ถ้อยคำสักแปดในสิบส่วนก็จะเป็นท่านพี่หญิงท่านพี่หญิงท่านพี่หญิง มีแต่เรื่องท่านพี่หญิงจนพูดตามตรงเลทีเซียเองก็เบื่อหน่ายจะฟังแล้วเหมือนกัน
ทั้งที่ถูกข่มขวัญในงานเลี้ยงน้ำชาไปเสียขนาดนั้น ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนมันถึงโยงไปหาความรู้สึกแบบนั้นได้ ช่างน่าฉงนใจอย่างถึงที่สุดจริง ๆ
“ข ขออภัยด้วยค่ะ……”
“อา ช่างเถอะ โมโหเธอไปก็ไม่ได้อะไร ฝากไปบอกด้วยล่ะ”
“รับทราบค่ะ ท่านเลทีเซีย”
“งั้นวันนี้ก็กลับก่อนแล้วกัน”
เลทีเซียหันหลังให้สาวใช้ผู้นั้น ก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปทางห้องของตนเอง
เธอตั้งใจจะมาบอกว่าช่วงหลังมานี้ไม่ได้จัดงานเลี้ยงน้ำชาของฝักฝ่ายเลย มันควรถึงเวลาที่มาริเอลจะมาแสดงตัวบ้างได้แล้วไม่ใช่รึ เจ้าตัวจะหลงใหลได้ปลื้มในตัว “สนมฟ้าสุริยา” ขนาดไหนก็ไม่เป็นไรหรอก แต่มาริเอลนั้นควรจะสำนึกตัวไว้บ้างว่าเธออยู่ในจุดสูงสุดของฝ่าย “สนมฟ้าดารา”
และฝ่าย “สนมฟ้าดารา” เองก็ไม่ใช่ว่าเป็นกลุ่มก้อนเดียว มีคนจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะย้ายข้างได้เสมอตามแต่สถานการณ์
สำหรับคนพวกนั้น มาริเอลควรจะแสดงอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอ—แสดงอำนาจทางการเงินให้เห็นเสียบ้าง ไม่ใช่นั้นแล้วฝ่าย “สนมฟ้าดารา” อาจถึงคราวล่มสลาย
ในปัจจุบันฝ่าย “สนมฟ้าดารา” กับฝ่าย “สนมฟ้าจันทรา” นั้นทัดเทียมกันอยู่
หากสมดุลเอนเอียงไปทางฝ่าย “สนมฟ้าจันทรา” แม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ว่ายัย “ผู้งามสง่า” คนนั้นจะเหลิงตัวไปถึงไหนต่อไหน—
“……หือ”
“……อุ๊ยตาย”
ผู้ที่เลทีเซียบังเอิญมาปะหน้ากันระหว่างทางกลับห้องพอดีนั้น
ก็คือคนที่เธอเพิ่งจะด่าทอแค่เพียงในใจอยู่เมื่อสักครู่นี้—“ผู้งามสง่า” แคทลียา แลมเบิร์ต
เธอไม่แตกต่างไปจากที่ได้เห็นคราวก่อน เส้นผมสีแดงชาดเป็นทรงรวบขึ้นสูงอยู่กลางกระหม่อม เป็นสตรีผู้งดงามคนหนึ่ง แม้ว่าแววตาของเธอก็ราวกับจะลบล้างความงามนั้นไป เพราะมันเป็นสายตาเย็นชาที่กำลังมองเลทีเซียอยู่อย่างดูแคลนนั้นเอง
สตรีผู้นี้ เป็นเช่นนี้เสมอ—
“นี่มันนี่มัน……บุตรีบารอนเชอเวลต์……เอ่อ เคยบอกว่าชื่ออะไรนะคะ?”
“น่าเสียดาย แต่ดิฉันคือบุตรีบารอนเชอวาลีเย นามว่าเลทีเซียค่ะ ยินดีที่ได้พบนะคะ”
“อุ๊ยตาย ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ดิฉันไม่รู้จักตระกูลเล็กจ้อยที่ใช้เงินซื้อบรรดาศักดิ์มาแบบนั้น”
“เป็นเช่นนั้นหรือคะ ดูเหมือนว่านอกจากไม่มีอะไรให้ภาคภูมิได้นอกจากชาติตระกูลแล้วความจำเองก็ยังไม่ค่อยดีด้วยนะคะเนี่ย ลองถือสมุดพกเดินไปเดินมาเป็นไงคะ?”
“มิได้มิได้ ถ้าเป็นคนที่มีคุณค่าพอให้จำดิฉันก็จำได้แหละค่ะ ไม่คิดว่าจำเป็นต้องจดจำคนระดับอย่างเธอหรอก”
“อ้อ ขุนนางยาจกที่มีดีแต่ชื่อไม่มีเงินซื้อสมุดพกนี่เองสินะคะ ขออภัยที่ดันลืมไปเสียได้”
‘แปล้บแปล้บ’ ทั้งสองส่งสายตาแลกเปลี่ยน แสดงเจตนาเป็นศัตรูกันอย่างชัดแจ้ง
แคทลียาคือบุตรสาวของตระกูลเคานต์แลมเบิร์ต และเป็นเครือญาติของอำมาตย์แผ่นดินอับราฮัม โนลด์ลุนด์ผู้นั้น ถึงกระนั้นหากเทียบกับ “สนมฟ้าจันทรา” ชาร์ลอตเต เอียนส์เวิร์ธแล้วก็เป็นเพียงญาติห่าง ๆ แถมอายุอานามก็สูงกว่าจักรพรรดิฟาร์มาสอยู่เล็กน้อย จึงได้มาอยู่ในตำแหน่งของหนึ่งในเก้าสนมเอก “ผู้งามสง่า” ในที่สุด
ทว่า เพราะเช่นนั้นแคทลียาจึงถือเป็นอันดับสองของฝ่าย “สนมฟ้าจันทรา”
กล่าวได้ว่าเป็นสตรีที่เป็นคู่ปรับกับเลทีเซียซึ่งเป็นอันดับสองของฝ่าย “สนมฟ้าดารา” นั่นเอง—
“หึ……ช่างเห่าหอนเก่งนะคะ เอาเถอะค่ะ ดิฉันเป็นคนใจกว้างอยู่แล้ว”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ดิฉันเองก็มิได้มีธุระอะไรกับท่านเป็นพิเศษ ขอกลับห้องเสียทีได้ไหมคะ?”
“ว่าแต่ว่า เดินไปเดินมาโดยไม่มีสาวใช้ติดตามแม้แต่คนเดียวเนี่ย มีสำนึกในฐานะกุลสตรีบ้างหรือเปล่าคะ? อย่างกับพวกสาวตลาดล่างสกปรกเลยแน่ะ”
“แต่คุณหนูแคทลียาเองก็สวมเครื่องแต่งกายที่ดูมีราคาไม่ต่างจากสาวตลาดล่างสกปรกเลยนะคะ”
“อุ๊ยตาย จำชื่อของดิฉันได้ด้วยหรือคะ? รู้สึกเป็นเกียรติจริง ๆ”
“ส่วนใหญ่เจอหน้ากันสักครั้งอย่างน้อยก็ต้องจำชื่อแซ่ได้บ้าง หากจำไม่ได้ก็คงต้องเรียกว่าหัวสมองไม่ค่อยดีแล้วกระมังคะ”
“คงเป็นความสามารถจากสายเลือดของพ่อค้าชั้นต่ำสินะคะ น่าเสียดาย แต่กับผู้มีสายเลือดสูงส่งแล้วความสามารถพรรค์นั้นไม่จำเป็นหรอกค่ะ”
‘อุหุหุ’ แคทลียายิ้มเยาะ
‘หึ ๆๆ’ เลทีเซียเองก็หัวเราะ
หัวหน้าฝักฝ่ายของพวกเธอ “สนมฟ้าจันทรา” กับ “สนมฟ้าดารา” —ทั้งสองคนนั้นไม่ถูกกันเหมือนขมิ้นกับปูน
และในลักษณะเดียวกัน แคทลียากับเลทีเซียผู้เป็นอันดับสองเองก็เป็นเหมือนขมิ้นกับปูน—
“เอาเถอะค่ะ ดิฉันไม่ได้มีเวลาว่างมากเหมือนท่าน ขอตัวก่อน”
“อุ๊ยตาย ลูกสาวพ่อค้าเนี่ย แม้ในวังหลังก็ยังคิดทำงานหาเงินอีกหรือคะ? หลงไหลเงินตราขนาดไหนกันเนี่ย”
“อย่างน้อยก็ยังดีกว่าชาติตระกูลที่ไม่มีอะไรให้ภูมิใจนอกจากความเก่าเก็บขึ้นรานะคะ—”
ทว่าสิ่งที่มาหยุดยั้งการสนทนาของทั้งสอง ซึ่งเกรงว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปคงได้พูดประชดประชันกันต่อไปไม่รู้จบ
กลับเป็นเสียงผู้นำสูงสุดของฝักฝ่ายของทั้งสองคน
“โอกาสดีเลยเจ้าค่ะ! มาตัดสินให้รู้ดำรู้แดงไปเลย!”
“ได้เสียสิคะ! มาเจอกันหน่อยเป็นไร!”
ที่ตรงนั้นคือในสวนกลางตำหนักซึ่งมองเห็นได้จากโถงทางเดิน
ผู้ที่ยืนอยู่กลางสวนนั้น ก็คือ “สนมฟ้าจันทรา” ชาร์ลอตเต ที่ไม่รู้ทำไมถึงสวมนวมอยู่ กับ “สนมฟ้าดารา” มาริเอล ที่ไม่รู้ทำไมถือกระบองอยู่
ภาพที่ชวนงุนงงนั้น ทำให้ทั้งเลทีเซียและแคทลียาสองคนอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
“ฮ่ะ!!”
“อ่อนหัดค่ะ!”
“หนอย!!”
ชาร์ลอตเตที่พุ่งเข้าไปต่อยด้วยนวม กับมาริเอลที่ใช้กระบองจำหน่ายปัดป้องออก
การเคลื่อนไหวนั้น หากมองจากมุมของเลทีเซีย มันทั้งรวดเร็วและแหลมคม จนแค่ไล่มองตามด้วยตาก็เต็มกลืนแล้ว
ช่างเป็นภาพที่รู้สึกว่าเหนือจริงเหลือเกิน
และทั้งที่ชาร์ลอตเตนั้นมือเปล่า แต่ก็ยังร่นระยะประชิดมาริเอลที่ถือกระบองอยู่อย่างไม่เกรงกลัว
ฝ่ายมาริเอลที่ถือกระบองก็ใช้ประโยชน์จากระยะโจมตีนั้น คอยหลอกล่อสกัดกั้น พลางต่อสู้โดยรักษาระยะห่างเอาไว้
การเคลื่อนไหวของพวกเธอราวกับหมากรุกที่ไล่กินกันไม่รู้จบ สูสีชนิดที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมกันแม้แต่ก้าวเดียว
ทว่า
อย่างน้อยที่สุดมาริเอลที่เลทีเซียรู้จักนั้น น่าจะเป็นเพียงบุตรีขุนนางธรรมดานี่นา
ไม่ได้มีศิลปะการต่อสู้ถึงขั้นที่ราวกับจะสามารถรับมือกับอัศวินนักรบได้เช่นนี้
เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นการต่อสู้ของทั้งสองคน
“……ห้ะ?”
“……ห้ะ?”
เลทีเซียกับแคทลียาจึงได้แต่ยืนนิ่งด้วยความงงงันไปพร้อม ๆ กัน