เมื่อได้ฟังอิซาเบลว่าดังนั้น เฮเลนาก็ได้นำพาอเลกเซียติดสอยห้อยตาม เร่งกลับไปที่ห้องของตน
ทุกทีฟาร์มาสจะมาหาเธอหลังจากจบช่วงเวลาของสำรับเย็นไปแล้ว การที่มาหาในช่วงกลางวันเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
เกิดเรื่องเดือดร้อนอันใดขึ้นหรือเปล่านะ—เมื่อเฮเลนาคิดได้ถึงตรงนั้น เธอก็นึกออกถึงบางสิ่งขึ้นมาราวกับมีเทวดามาดลใจ
สาเหตุที่ฟาร์มาสแสดงท่าทีว่ารักใคร่โปรดปรานและปฏิบัติต่อเฮเลนาในฐานะชายาเอก
ก็เพื่อให้เธอเป็นพลังที่จะคอยยับยั้งเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงในสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศกำลังรับศึกสามด้านนั่นเอง
แรกเริ่มเดิมที การที่เฮเลนากลับมายังนครหลวงและเข้ามาอยู่ในวังหลังเช่นนี้ ก็เป็นผลมาจากการรุกรานของรีฟาล ในตอนนี้เพราะกาเซต การิบัลดีซึ่งเคยเป็นผู้ควบคุมกำลังทหารได้สิ้นชีพในการต่อสู้ ทำให้ฝ่ายนั้นต้องถอนทัพกลับไป ได้ยินมาว่าทุกอย่างกำลังอยู่ในสภาวะทรงตัว ไม่แน่ว่าบางทีรีฟาลอาจบุกมาอีกครั้งแล้วก็เป็นได้
แม้เธอคงจะต้องบัญชาทัพต้องห้ามซึ่งมีแต่ทหารอ่อนแอ แต่ก็อดไม่ได้ที่ใจจะรู้สึกลิงโลด
กลับสู่สนามรบอีกครั้ง
โอกาสที่จะได้แสดงพลังที่ฝึกฝนขัดเกลามาถึงแล้ว—
“ท่านฟาร์มาสคะ!”
“โอ้ เฮเลนา คิดถึงจริง ๆ”
เมื่อเปิดประตูและเข้าห้องไป ที่นั่นก็มีฟาร์มาสซึ่งนั่งทำตัวตามสบายอยู่ที่โซฟาราวกับว่านี่เป็นห้องของตัวเอง
และที่ด้านหลังของเขาก็มีเกรเดียยืนอารักขาอยู่เหมือนเช่นทุกครั้ง
‘ดูเขาผิวคล้ำขึ้นเล็กน้อยหรือเปล่านะ’ เฮเลนาคิด
เห็นว่าหนึ่งเดือนมานี้ออกไปข้างนอก แล้วก็มีวันที่แดดจ้าอยู่บ่อย ๆ เพราะแบบนั้นถึงได้คล้ำแดดเช่นนี้กระมัง
ถึงกระนั้น ความรูปงามของฟาร์มาสแค่โดนแดดเผานิดหน่อยมันก็ไม่ได้เสื่อมถอยเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงมันเหมือนกับเสน่ห์ของหนุ่มรูปงามหน้าขาว ได้เปลี่ยนบรรยากาศไปเป็นหนุ่มสดใสร่าเริงเสียมากกว่า คนหน้าตาดีเนี่ยไม่ว่าจะแบบไหนก็คงหน้าตาดีอยู่ดีกระมัง
“ขอโทษด้วยนะที่มาตอนกลางวันแบบนี้”
“ไม่เป็นไรมิได้ค่ะ ที่แห่งนี้คือวังหลังของฝ่าบาทอยู่แล้ว”
“คนที่ผลักไสเราออกไปตั้งหนึ่งเดือนคือเจ้าเองมิใช่รึไง”
“อุ เรื่องนั้น……”
แค่ตอบคำไปตามธรรมเนียมแท้ ๆ ดันโดนสวนกลับมาเข้าให้
มันก็จริงว่าคนที่บอกให้ห้ามมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนคือเฮเลนาเอง พอโดนว่าแบบนั้นก็ไม่มีคำพูดอะไรจะเถียงได้เลย
ทว่าเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของเฮเลนา ฟาร์มาสก็หัวเราะหึ ๆ
“ล้อเล่นน่า เอาเถอะ นั่งลงสิ ที่นี่คือห้องของเจ้าอยู่แล้วนี่”
“ค ค่ะ……เช่นนั้นก็ขออนุญาติ”
“เอาล่ะ เกรเดีย ขอบคุณมาก เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“รับทราบพะยะค่ะ”
เมื่อได้ยินฟาร์มาสดังนั้น เกรเดียก็โค้งคำนับและถอนตัวจากไป
ในเวลาเดียวกัน อเลกเซียเองก็กล่าวอำลาคำสองคำ แล้วก็ออกประตูไปเช่นเดียวกัน
ผู้ที่เหลืออยู่ในห้อง ก็แน่นอนว่ามีเพียงเฮเลนากับฟาร์มาสสองคน
“สบายดีรึไม่?”
“ค ค่ะ……”
นี่มันอะไรกันหว่า
เหตุการณ์ดำเนินไปผิดจากที่เฮเลนาคาดการณ์ไว้ลิบลับ ทำให้เธออดหวั่นวิตกขึ้นมาไม่ได้
นึกว่ารีฟาลได้บุกมาแล้ว หรือไม่ก็มีประเทศอื่นที่ไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือไว้มาจุดชนวนสงคราม คิดว่ามีธุระอะไรทำนองนั้นเสียอีก ทว่าแววตาของฟาร์มาสนั้นสงบสบายใจอย่างมาก ไม่ว่ายังไงก็คิดว่าชาติกำลังมีภัยอยู่ไม่ได้เลย
“ท่านฟาร์มาสคะ……ด้วยเหตุอันใด จึงมาในตอนกลางวันเช่นนี้ ?”
“หืม? เราเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ได้เมื่อสักครู่นี้เอง พอนึกว่าในที่สุดก็จะได้พบเจ้าเสียที มันก็เลยอดทนไม่ไหวน่ะ งานราชการอื่น ๆ เอาไว้ทำพรุ่งนี้ก็ไม่มีปัญหาหรอก วันนี้เราคิดว่าอยากจะคุยกับเจ้าแบบสบาย ๆ”
“เป็นเช่นนั้นเองหรือคะ……”
ความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังทำให้เฮเลนามีสีหน้ามืดหม่นลงโดยไม่ตั้งใจ
ไอ้เราก็อุตส่าห์นึกว่าจะได้กลับไปที่สนามรบอีกครั้งแล้วเสียอีก
“แองเจลิกาคงไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าใช่ไหม?”
“อ่า……ไม่หรอกค่ะ”
หากถามว่าสร้างความเดือดร้อนไหม ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
ในทางกลับกัน การที่มีคนพยศต่อต้านแบบนั้นสักคนนึง มันทำให้การฝึกทหารใหม่ดำเนินไปได้ดีขึ้นด้วยซ้ำ จะบอกว่าเป็นเพราะแองเจลิกาทั้งห้าคนถึงสามัคคีกันมากขึ้นเลยก็ว่าได้
ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะค้นพบความถนัดอย่างการสู้มือเปล่า กระบอง ธนู และม้าได้ในทันที แต่ศิลปะการขว้างปาของแองเจลิกานั้นเฮเลนาเองก็ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะสังเกตเห็น ซึ่งเรื่องนี้ก็สืบเนื่องมาจากสายตาในการมองความถนัดของเฮเลนาคับแคบเอง เป็นหัวข้อให้คบคิดว่าแม้แต่ผู้รับหน้าที่จัดการฝึกทหารใหม่เองก็ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกมาก
“ข้าได้จัดการฝึกให้องค์หญิงแองเจลิกาและคนอื่น ๆ รวมเป็นห้าคน……ดูเหมือนพวกเธอจะสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าที่คาดไว้เสียอีกค่ะ”
“โอ้ งั้นรึ……แองเจลิกาเองก็ไม่มีสหายรุ่นราวคราวเดียวกันมาก่อน หากสนิทสนมกันได้เช่นนั้นก็น่าดีใจนะ แต่ว่า……ห้าคนรึ ?”
“ค่ะ”
จะว่าไปแล้วเธอยังไม่ได้บอกฟาร์มาสนี่นะ
แต่เดิมทีเธอก็แค่โดนบอกว่าอยากให้ช่วยฝึกแองเจลิกา ไม่ได้มีเงื่อนไขอื่นใดอีก ดังนั้นเฮเลนาก็เลยจัดเป็นการฝึกรวมกับมาริเอล ชาร์ลอตเต ฟรองซัวส์ คลาริสซาไปด้วยเลย
บางทีฟาร์มาสอาจคิดว่าเฮเลนาฝึกแองเจลิกาแบบตัวต่อตัวอยู่กระมัง
“มีฟรองซัวส์กับคลาริสซา แล้วก็มาริเอลกับชาร์ลอตเตมาร่วมฝึกด้วยค่ะ”
“……ช้าก่อน ‘สนมฟ้าจันทรา’ กับ ‘สนมฟ้าดารา’ น่ะรึ ?”
“ค่ะ”
ฟาร์มาสทำตาโตอย่างเห็นได้ชัดว่ากำลังตกใจ
ก็จริงอยู่ว่าสองคนนั้นไม่ค่อยลงรอยกัน หากจะตกใจแบบนั้นก็คงไม่แปลก ถึงแม้ว่าในตอนนี้หลังจากผ่านการฝึกอบรมหนึ่งเดือนมา แม้ปากจะยังพูดนู่นพูดนี่กันอยู่บ้างแต่ก็รู้สึกได้ว่าระหว่างสองคนนั้นไม่มีทิฏิมานะต่อกันอีกแล้วก็ตามที
ทว่า เมื่อได้ฟังเฮเลนาตอบคำดังนั้น ฟาร์มาสก็เอามือแนบคางอย่างใช้ความคิด
“……หากเป็นไปตามที่เจ้าเคยบอกไว้ ก็พอเข้าใจได้ที่ ‘สนมฟ้าดารา’ จะมาเข้ารับการฝึกด้วย แต่ว่า……ทำไม ‘สนมฟ้าจันทรา’ ถึงมาด้วยล่ะ ?”
“เรื่องนั้น……”
สาเหตุที่เธอรวมชาร์ลอตเตเข้าไปในการฝึกอบรมด้วย มันไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
ก็แค่ ไม่รู้ว่าทำไมชาร์ลอตเตถึงถือกระบองมาแล้วขอให้ช่วยสอน เฮเลนาก็เลยคิดเอาเองตามใจชอบว่างั้นให้เธอเข้าร่วมบู้ตแคมป์ไปด้วยเลยแล้วกัน โดยที่ไม่ได้เป็นความตั้งใจของเจ้าตัวเลยสักนิด
ถึงกระนั้น ชาร์ลอตเตก็ยังอดทนต่อการฝึกฝนอันเข้มงวดตลอดหนึ่งเดือนมาได้
มาลองคิดดูแล้วมันก็น่าแปลกดีเดียว
“เอ่อ……สำหรับชาร์ลอตเตนั้น ก่อนที่ข้าจะจัดการฝึกอบรมไม่นานนัก……คือว่า…..เธอเคยกล่าวว่าอยากให้ข้าช่วยสอนศิลปะการใช้กระบองให้น่ะค่ะ”
“……เรื่องนั้นมัน เพราะอะไรล่ะ ?”
“ไม่ค่ะ ข้าเองก็มิทราบถึงสาเหตุ…..”
หากมองจากมุมของเฮเลนา เธอก็คิดแค่ว่า ‘ถ้ามีความตั้งใจอยากฝึกงั้นก็จะช่วยฝึกให้’ เท่านั้นเอง
ส่วนเพราะอะไรถึงได้อยากฝึก มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธออยู่แล้ว ขอแค่เจ้าตัวมีความตั้งใจเสียอย่าง
ทว่า เมื่อได้ฟังถ้อยคำเช่นนั้นของเฮเลนา ฟาร์มาสก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่
“เจ้าเนี่ย ใจดีจริง ๆ นะ”
“เอ๊ะ ?”
“เปล่าหรอก เราเองก็พอจะสังเกตเห็นสีหน้าราง ๆ……ก็เลยสงสัยอยู่ว่าทำไมเจ้าถึงได้ดูหดหู่ถึงขนาดนั้นกันน่ะ แต่ว่า ‘สนมฟ้าจันทรา’ งั้นรึ”
“……เอ่อ”
“ก็จริงว่าเราอาจพูดแรงเกินไปหน่อย สำหรับเจ้าแล้วสนมฟ้าจันทราคงเป็นนักเรียนที่ดีกระมัง แต่สำหรับเรา เรากลับรับรู้เพียงว่าเธอเป็นเครือญาติของโนลด์ลุนด์เท่านั้นเอง หากมองจากมุมของเจ้า คงรู้สึกปวดใจที่เห็นเราเอาแต่ระแวงสงสัยเพียงเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดสินะ……ขอโทษด้วย”
“……”
พูดอะไรของเค้าอยู่นะ
ที่เธอหดหู่ใจอยู่ มันก็เป็นเพราะนึกว่าจะได้ไปสนามรบอีกครั้งแต่เอาเข้าจริงดันไม่มีวี่แววเลยต่างหาก ทำไมเรื่องนั้นมันโยงไปหาประโยคที่ว่าเฮเลนาเป็นคนใจดีได้กัน
การสนทนากับฟาร์มาสเนี่ย มีหลายครั้งเลยที่มันกลายเป็นเรื่องที่เฮเลนาไม่เข้าใจไปเสียแบบนี้
ถึงกระนั้น จะให้บอกว่า ‘ไม่เข้าใจอ่ะ อธิบายหน่อยดิ้’ มันก็มิบังควร
เอาเป็นว่า ดูเหมือนเขาจะกำลังชมเฮเลนาอยู่ เพราะงั้นก็ปล่อยเลยตามเลยละกัน
“แต่ว่าก็ตกใจในฝีมือของเจ้าจริง ๆ นะ”
“ฝีมือ……ของข้าหรือคะ ?”
“เจ้าเข้าวังหลังมาได้ยังไม่ถึงสองเดือนดีเลย รู้ตัวอีกทีก็ทำให้ทั้งสนมฟ้าจันทราและสนมฟ้าดารามาศิโรราบได้แล้ว ทั้งที่ต่อให้ย้อนดูในประวัติศาสตร์ก็แทบไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่สามสนมฟ้าจะญาติดีกันทั้งหมดน่ะ”
“ข้าว่าข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมากมายนะคะ…..”
“ให้ตายสิ ถล่มตนตลอดเลยนะ แต่เรื่องนั้นก็คงต้องนับว่าเป็นข้อดีของเจ้าด้วยเช่นกันกระมัง”
“……”
ฟาร์มาสเห็นเฮเลนาเป็นยอดมนุษย์สมบูรณ์แบบขนาดไหนอยู่กันนะ
จริง ๆ แล้วเธอไม่ได้ทำอะไรเลย แค่รู้ตัวอีกทีก็เอาชาร์ลอตเตมาเข้าร่วมด้วยแล้ว ทำไมมันถึงกลายเป็นความดีความชอบของเฮเลนาไปเสียหมดได้ก็ไม่รู้
อ่า ช่างมันเถอะ
หัวสมองที่น่าเสียดาย คราวนี้ก็โยนการใช้ความคิดทิ้งไปอีกเช่นเคย
“เฮเลนา”
“ค่ะ”
“ขอจับหน่อยได้หรือไม่?”
“จ จับ……?”
“ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ได้จะจับที่แปลก ๆ หรอก”
ฟาร์มาสกล่าว ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมา สัมผัสเฮเลนาที่แก้ม
ฝ่ามือที่เย็นและนุ่มนวล มันทำให้แก้มที่ร้อนผ่าวของเธอรู้สึกดี
ฟาร์มาสลูบไล้แก้มของเฮเลนาไปเช่นนั้น
“ขอโทษนะ……เราน่ะ พูดอวดเก่งไปเสียแล้ว”
“เอ๊ะ?”
“เคยบอกว่าแค่หนึ่งเดือนไม่ใช่เรื่องใหญ่……แต่หนึ่งเดือนมานี้ที่ไม่ได้พบเจ้าราวกับใจมันเอาแต่ถวิลหา หากเรายังอยู่ที่นครหลวง สงสัยคงผิดสัญญาต่อเจ้าว่าอย่ามาหาหนึ่งเดือน แล้วก็ตรงมาหาเจ้าไปแล้วก็เป็นได้”
“ร เรื่องนั้น……!”
ฟังคำของฟาร์มาส เฮเลนาก็ได้แต่หลบตา
ไม่ว่าครั้งไหน ฟาร์มาสก็ชอบทำให้เฮเลนาสับสนใจเช่นนี้เสมอ ทว่าในเวลาเดียวกันมันก็รู้สึกดีจนแทบทนไม่ได้
“อย่าพูดว่าห้ามมาที่นี่อีกเลยนะ……เฮเลนา”
“ท่านฟาร์มาสคะ……”
ด้วยเหตุนั้น เธอจึงไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลย—ทั้งฝ่ามือนั้น
ทั้งริมฝีปากนั้น