ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 138 การเตรียมใจของ “สนมฟ้าจันทรา”

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

 

นั่นเป็นเพียงความทรงจำเมื่อเยาว์วัย ที่มาถึงตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันเริ่มจะเลือนรางไปแล้ว

ชาร์ลอตเต เอียนส์เวิร์ธ เคยถูกฟิลิป เอียนสเวิร์ธผู้เป็นบิดาพาติดตามไปเข้าร่วมงานราตรีที่จัดขึ้นในราชสำนัก เป็นการไปเปิดตัวชาร์ลอตเตที่แม้จะยังอ่อนเยาว์อายุเพียงเจ็ดปีแต่ก็ได้รับการเรียกขานว่าเป็นธิดาผู้งดงามมาตั้งแต่ตอนนั้น เพื่อให้ขุนนางคนอื่น ๆ ได้เห็นกันเป็นครั้งแรก ในอีกความหมายหนึ่งมันอาจเป็นการเดบิวต์ในสังคมชั้นสูงด้วยวัยที่ออกจะเด็กเกินไปหน่อย แต่ก็มีขุนนางผู้ใหญ่บางคนที่มีรสนิยมแบบยิ่งเด็กยิ่งดีอยู่ด้วยเช่นกัน

ทว่า ชาร์ลอตเตเองก็ไม่ได้เป็นเด็กที่อยู่นิ่งเรียบร้อยเหมือนตุ๊กตา เธอยังมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่มาก เมื่อได้เห็นความเป็นประกายงดงามของราชสำนักซึ่งเธอเพิ่งจะเคยมาเป็นครั้งแรก ก็อดใจไม่ได้ที่จะตีตัวออกห่างจากฟิลิปเพื่อไปสำรวจโดยรอบด้วยตัวคนเดียว แม้มันอาจเป็นเรื่องไม่สมควรสำหรับบุตรีขุนนาง แต่ในตอนนั้นเธอก็เป็นแค่เด็กสาวที่คึกคักซุกซนคนหนึ่ง

 

ถึงกระนั้น เด็กผู้หญิงอายุเจ็ดขวบที่ออกห่างจากพ่อแล้วเดินไปไหนมาไหนคนเดียว มันจะลงเอยยังไงเราก็คงรู้กันอยู่แล้ว

แน่นอนว่าชาร์ลอตเตนั้นได้กลายเป็นเด็กหลง หาทางกลับไม่พบจนติดแหงกอยู่กลางทางนั่นเอง

 

“อ เอ่อ……ที่นี่ที่ไหนนะเจ้าคะ……?”

 

จำไม่ได้เลยสักนิดว่ามาถึงตรงจุดนี้ได้ยังไง และเพราะขุนนางมีชื่อทั้งหมดกำลังไปรวมตัวกันอยู่ที่งานราตรี สถานที่อื่น ๆ ซึ่งอยู่ห่างจากโถงรับรองใหญ่จึงมีการดับไฟที่ให้ความสว่างด้วย

ราวกับเธอได้หลงทางเข้ามายังอีกโลกหนึ่ง ชาร์ลอตเตเกิดความกังวลใจอย่างแรงกล้าจนรู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา

 

“ท ท่านพ่อ……”

 

เธอลองตะโกนไปเช่นนั้น แต่เขาย่อมไม่มีทางโผล่มาที่นี่อยู่แล้ว

ชุดเกราะที่วางประดับไว้มันจะขยับได้ไหม หรือว่ารูปภาพที่แขวนไว้บนกำแพงมันจะมาจับเธอกินรึเปล่า—แม้แต่ความกังวลที่ไม่มีพื้นฐานบนความเป็นจริงเช่นนั้นก็พลอยเข้ามาจู่โจม และยิ่งอยู่ในความมืดความกังวลมันก็ยิ่งขยายตัว ผลลัพธ์ก็คือชาร์ลอตเตไม่สามารถเดินต่อไปจากจุดนั้นได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว

ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ—เธอโทษตัวเองที่เดินมาคนเดียวตามใจชอบ แต่ถึงโทษไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

ใครก็ได้ช่วยด้วย

ชาร์ลอตเตวิงวอน พลางเอาหลังพิงกำแพงและทรุดตัวนั่งลง

 

“ไม่เอา……ไม่นะ……ท่านพ่อเจ้าคะ……”

 

‘ฮือ’ เธอร่ำไห้รำพึงออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบรับ

ไม่รู้ว่าเธออยู่ท่ามกลางความมืดเช่นนั้นไปนานเท่าใด แต่สำหรับชาร์ลอตเตแล้วมันรู้สึกเหมือนนานแสนนานเหลือเกิน เธอได้แต่ก้มหน้าร้องไห้ต่อไปเรื่อย ๆ

และในที่สุด ที่ตรงหน้าของชาร์ลอตเตนั้น—

 

“นี่เจ้า ทำอะไรอยู่น่ะ?”

 

เสียงที่กล่าวออกมานั้น จะว่าเป็นชายหนุ่มก็ออกจะเสียงสูงอยู่เล็กน้อย

พอเผลอเงยหน้ามองดู ที่ตรงนั้นก็มีเด็กผู้ชายซึ่งอายุไม่ห่างจากชาร์ลอตเตมากนักยืนอยู่ เขามีเส้นผมสีเงินที่ลื่นสลวย กับใบหน้าที่แม้จะยังอ่อนเยาว์แต่ก็เห็นได้ไม่ยากว่าหล่อเหลาเอาการ

การแต่งกายไม่เหมือนกับขุนนางชั้นล่าง แต่เป็นของชั้นเลิศที่ชวนให้คิดว่าอย่างน้อยก็คงจะเป็นหนึ่งในขุนนางใหญ่สักตระกูลเป็นแน่ ถึงกระนั้นชาร์ลอตเตที่ยังเล็กก็ไม่ได้เข้าใจถึงเรื่องนั้น เธอแค่รับรู้ได้ว่ามันดูมีราคาแพงเท่านั้นเอง

 

“ด ดิฉันหลงทางเจ้าค่ะ……”

 

“เจ้าคือคนที่มาร่วมงานเลี้ยงวันนี้รึ?”

 

“ช ใช่เจ้าค่ะ มากับท่านพ่อ……”

 

“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว ข้าจะพาไปส่งให้ก็แล้วกัน”

 

‘มาสิ’ เด็กชายยื่นมือมาให้

แตะเนื้อต้องตัวบุรุษแบบนี้เนี่ย—แม้จะลังเลเรื่องนั้นอยู่เล็กน้อย แต่ชาร์ลอตเตก็จับมือนั้นไว้ เพราะเธอนั้นยืนด้วยตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ

เธอถูกเด็กผู้ชายจูงมือ พาเดินไปด้วยกัน

 

“เจ้าชื่ออะไรรึ?”

 

“ช ชาร์ลอตเตเจ้าค่ะ”

 

“งั้นรึ งั้นก็ ลอตเต สินะ?”

 

“อ อื้ม……ท่านพ่อกับท่านพี่ก็เรียกแบบนั้นเจ้าค่ะ”

 

“งั้นข้าก็จะเรียกด้วยแล้วกัน”

 

“จ เจ้าค่ะ……”

 

‘แหะ’ เด็กชายยิ้มอย่างสดใสร่าเริง เห็นดังนั้นชาร์ลอตเตก็เผลอพยักหน้าตอบไป

ปกติเธอคงปฏิเสธไปแล้วว่า ‘อย่ามาเรียกกันอย่างสนิทสนมง่าย ๆ นะเจ้าคะ!’ แต่ตอนนี้ชาร์ลอตเตคงมีความกังวลใจอยู่มากทีเดียว

ระหว่างที่ได้เด็กชายคอยกุมมือไว้ เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

 

“คุณคือ……ใครหรือเจ้าคะ?”

 

“ข้าชื่อฟาร์มาส”

 

“ท่าน…ฟาร์มาส? เพิ่งจะเคยได้ยินครั้งแรกเจ้าค่ะ”

 

“งั้นรึ ข้าก็ไม่ได้มีชื่อเล่นอะไรเป็นพิเศษ จะเรียกว่าฟาร์มาสก็ได้นะ ลอตเต”

 

“จ เจ้าค่ะ……”

 

ระหว่างที่เด็กผู้ชายหรือก็คือฟาร์มาสเดินจูงมือไปเรื่อย ๆ ในที่สุดพวกเธอก็หลุดพ้นจากความมืด มาถึงจุดที่มองเห็นแสงไฟได้เสียที

ที่ตรงนั้นคืองานราตรีซึ่งชาร์ลอตเตเองก็ได้เข้าร่วมอยู่ ในที่สุดเธอก็รู้ว่าได้กลับมาถึงแล้ว

 

“ลอตเต!”

 

“ท่านพ่อ…!”

 

เมื่อได้ยินเสียงของฟิลิปซึ่งก็น่าจะตามหาเธออยู่เช่นกัน ชาร์ลอตเตก็วิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของผู้เป็นบิดา

ในที่สุดก็กลับมาได้เสียที—ความโล่งใจนั้นทำให้ตาของเธอถึงกับมีน้ำตาคลอ

และเมื่อหันหลังกลับไปมองฟาร์มาส

 

“โล่งอกไปทีนะ ลอตเต”

 

“ข ขอบคุณเจ้าค่ะ……”

 

“ไม่เป็นไร ข้าเองอยู่ระหว่างทางกลับมาพอดี แค่นี้แหละ ไว้เจอกันใหม่นะ”

 

ฟาร์มาสกล่าว แล้วก็หันหลังกลับไป

ในเวลาเดียวกันนั้น เธอก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของฟิลิปกำลังสั่นกุกกัก

มีเรื่องอะไรกัน—เธอหันไปมองหน้าของฟิลิป

 

“ฝ ฝ่าบาท!?”

 

“……?”

 

“หืม อะไร? มีธุระอะไรกับข้ารึ?”

 

“ป เปล่าพะยะค่ะ! เป็นพระกรุณาที่ทรงช่วยลูกสาวไว้พะยะค่ะ! ฝ่าบาทฟาร์มาส!”

 

“ไม่เป็นไร ข้ากลับที่ของข้าก่อนละ ไว้พบกันใหม่”

 

ฝ่าบาท—ฟิลิปเรียกเช่นนั้นกับฟาร์มาส

ตอนนั้นเอง ชาร์ลอตเตถึงเข้าใจสถานการณ์ได้เสียที

ในความมืดมิดนั้น ผู้ที่ช่วยชาร์ลอตเตออกมาก็คือ

 

ว่าที่จักรพรรดิรุ่นต่อไปของประเทศนี้—ฟาร์มาส ดีล ลูเครเซีย กันเกรฟ นั่นเอง

 

ฟาร์มาสโบกมือลา พลางมุ่งหน้าไปทางจุดที่เฉพาะราชนิกุลเท่านั้นจึงจะสามารถนั่งได้

หากไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เธอก็คงไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าใกล้เขาด้วยซ้ำ—ชาร์ลอตเตสั่นสะท้านเมื่อคิดได้เช่นนั้น

 

“ท่านฟาร์มาส……”

 

การเดบิวต์ในสังคมชั้นสูงของชาร์ลอตเต

ได้จบลงไป โดยที่หัวใจของเธอถูกย้อมไปด้วยชายที่ชื่อว่าฟาร์มาสเสียแล้ว—

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฮึ่ม!!”

 

“สีข้างเปิดกว้างเลยนะคะ คุณหนู”

 

“ย่ะห์!!”

 

“การโจมตีเรียบง่ายเกินไปค่ะ เพิ่มความต่อเนื่องให้มากกว่านี้”

 

“ย้าก!!”

 

“แบบเมื่อกี้แหละค่ะ อีกครั้งหนึ่ง”

 

“ฮ่ะห์!!”

 

ช่วงบ่าย

ชาร์ลอตเตได้มาฝึกฝนประมือกับสาวใช้เอสเทลที่ห้องของตนเอง

เอสเทลนั้นอายุพ้นสามสิบแล้ว แต่ก็เป็นสาวใช้ที่ทำงานรับใช้ตระกูลเอียนส์เวิรธของชาร์ลอตเตมาเป็นเวลานาน และในเวลาเดียวกับที่ชาร์ลอตเตเข้าวังหลังก็ได้รับการจ้างวานให้ติดตามมาในฐานะหัวหน้าสาวใช้ของชาร์ลอตเต

จะกล่าวไปแล้ว เอสเทลผู้นี้แม้จะเป็นสตรีแต่ก็มีวิชายุทธติดตัว สามารถโค่นล้มบุรุษได้ด้วยมือเปล่า ดังนั้นจึงพ่วงหน้าที่คอยเป็นผู้คุ้มกันชาร์ลอตเตในยามคับขัน

ชาร์ลอตเตซึ่งรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว เมื่อถึงช่วงบ่ายเธอที่ฝึกฝนวิชาในห้องของตัวเอง เธอก็จะขอให้เอสเทลคอยช่วยชี้แนะด้วย

 

“แฮ่ก แฮ่ก……”

 

“พักกันเถอะค่ะ คุณหนู”

 

“เจ้าค่ะ……”

 

ชาร์ลอตเตคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว เอสเทลนั้นกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าเธออีก

ที่สำคัญ ความถนัดของเอสเทลก็คือวิชาการต่อสู้มือเปล่า ซึ่งสำหรับชาร์ลอตเตแล้วก็นับว่าเข้าทางเธอพอดี

แม้ห้องของสามสนมฟ้าจะกว้างขวางพอสมควร แต่ก็ไม่เหมาะจะใช้ฝึกซ้อมศิลปะการใช้กระบองหรือศิลปะการยิงธนูนัก การที่สามารถใช้ช่วงเวลานี้ในการฝึกวิชาถนัดของตัวเองได้ นับว่าเป็นข้อได้เปรียบของชาร์ลอตเตเมื่อเทียบกับบรรดาบุตรีขุนนางคนอื่น

 

“ชาค่ะ คุณหนู”

 

“ฟู่……พักสักหน่อย แล้วมาฝึกกันอีกนะเจ้าคะ”

 

“ฝืนตัวเองเกินไปหรือเปล่าคะ?”

 

“ดิฉันจะพยายามเจ้าค่ะ จะทำให้มาริเอลยอมศิโรราบให้ดูเลยเจ้าค่ะ!”

 

สำหรับชาร์ลอตเตแล้ว คู่แข่งตัวฉกาจที่สุดก็คือมาริเอล

มือเปล่ากับกระบอง แค่ของที่ถนัดมาริเอลก็ได้เปรียบไปแล้ว สิ่งที่ชาร์ลอตเตทำได้ก็มีแค่สั่งสมประสบการณ์ ขัดเกลากระบวนท่ามือเปล่าของเธอเองไปอย่างต่อเนื่อง

แล้วสักวันหนึ่งก็จะทำให้มาริเอลยอมจำนนให้ดู

 

“แต่ว่านะคะ คุณหนู”

 

“อะไรเจ้าคะ”

 

“จะลงมือ……เมื่อใดดีคะ?”

 

“……”

 

คำพูดของเอสเทล ทำให้เธอเงียบเสียงลงโดยไม่ตั้งใจ

เอสเทลกำลังพูดถึงอะไรอยู่นั้น เธอเองก็รู้ดี

จนถึงตอนนี้ เธอได้หว่านเมล็ดพันธุ์มาตลอด ในที่สุดก็คงถึงเวลาที่จะเก็บเกี่ยวผลของมันเสียที

 

“คิดว่าความระแวดระวังน่าจะลดต่ำอย่างถึงที่สุดแล้วค่ะ จนถึงตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน”

 

“……เจ้าค่ะ”

 

นั่นก็คือสิ่งที่ชาร์ลอตเตได้รับมอบมา และอยู่ภายในกระเป๋าของเอสเทลในตอนนี้—ยาพิษนั่นเอง

 

การที่เธอถูกจับเข้าร่วมบู้ตแคมป์เอาเองตามอำเภอใจแล้วก็โดนฝึกอย่างเข้มงวดทุกวัน แต่กลับไม่ต่อต้านแม้แต่น้อยนั้น ทั้งหมดก็คือการวางหมาก

แต่เริ่มเดิมที การฝากตัวเข้าเป็นศิษย์ของเฮเลนานั้นก็คือกับดัก

เพื่อให้เฮเลนาคลายความระแวดระวังที่มีต่อชาร์ลอตเตและทำให้รู้สึกว่าการที่เอสเทลชงชาให้นั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพื่อการนั้นชาร์ลอตเตจึงยอมเข้ารับการฝึกอย่างจริงจัง เพื่อให้เฮเลนาไว้วางใจเธอนั่นเอง

ซึ่งนั่นก็สำเร็จอย่างงดงาม ตอนนี้แม้เธอจะสั่งให้เอสเทลชงชาให้ เฮเลนาก็ไม่มีความระวังเลยแม้แต่น้อย

หากเป็นตอนนี้—การจะผสมยาพิษเข้าไปในชาที่เฮเลนาดื่มมันก็ช่างง่ายดายนัก

 

“……”

 

แต่ว่า

หากสังหารเธอด้วยยาพิษไปแล้ว สถานการณ์มันจะดีขึ้นจริง ๆ น่ะหรือ

 

เฮเลนานั้นเชื่อใจชาร์ลอตเต ถึงได้ดื่มชาลงไปโดยที่ไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่ามันมียาพิษอยู่หรือไม่

และกับอีกสี่คนที่ล้อมวงดื่มชา เธอเองก็ได้ใช้ช่วงเวลาหนึ่งเดือนด้วยกันมา ย่อมมีความรู้สึกของความเป็นพวกพ้องอยู่ไม่น้อย แม้ปากเธอจะพูดนั่นนี่กับมาริเอล แต่มันก็มีความเชื่อใจด้วย

หากชาร์ลอตเตใช้พิษสังหารเฮเลนา ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมลายหายไปหมด

ทั้งที่ตอนนี้มันอุตส่าห์สนุกขึ้นมาแบบนี้แล้วแท้ ๆ—

 

“……อา”

 

ใช่

สนุก ตอนนี้มันสนุกมาก

ตอนที่เข้ามาวังหลัง ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากจัดงานเลี้ยงน้ำชากับแคทลียาและพวกคุณหนูคนอื่น ๆ มันน่าเบื่อจนแทบจะตายเสียให้ได้ ได้แต่จมปลักคร่ำครวญกับการที่ฟาร์มาสไม่มาเยือนไปวัน ๆ โดยไม่รู้จบ

ทว่าในตอนนี้มันกลับรู้สึกเติมเต็มเสียจนน่ากลัว เหนื่อยสายตัวแทบขาดทุกวัน จนนอนหลับเป็นตายเหมือนซากศพ แล้วก็แข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เธอรู้สึกดีใจกับตัวเองที่เป็นแบบนั้น

วันเวลาเช่นนี้ เธอไม่อยากจะทำลายมันลงไปด้วยการเมืองในราชสำนักเบื้องหน้าเลย

 

กับเฮเลนาแล้ว เธอมีความรู้สึกอิจฉาริษยาอยู่ไม่น้อย

การมาเยือนของฟาร์มาสที่ชาร์ลอตเตเคยเฝ้าถวิลหาอย่างสุดหัวใจ—เฮเลนากลับได้รับมันอย่างง่ายดายราวกับเป็นเรื่องธรรมดา จะบอกว่าห้ามอิจฉาเลยมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ทว่า สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้น

คือการที่เฮเลนา—ช่วยให้พรสวรรค์ของชาร์ลอตเตได้เบ่งบาน

 

 

“เอสเทล”

 

“ค่ะคุณหนู”

 

“ยาพิษน่ะ ที่เธอมีอยู่คือทั้งหมดแล้วสินะเจ้าคะ?”

 

“ค่ะ นอกจากข้าแล้วก็ไม่มีผู้อื่นถือไว้อีก”

 

ด้วยเหตุนั้น

 

“ทิ้งไปซะเจ้าค่ะ”

 

ชาร์ลอตเต

จึงได้กล่าวอำลา—ตัดขาดกับความมืดมิดในใจของตนไป

 

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท