ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 139

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

 

เมื่อเฮเลนาฟังฟาร์มาสพูดต่อไปเรื่อย ๆ เธอก็ได้แต่พยักหน้ารับไปอย่างส่งเดช

เนื้อหาที่ออกมาในบทสนทนานั้นเธอไม่เข้าใจกว่าครึ่ง ถึงกระนั้นก็ไม่อาจขอคำอธิบายใด ๆ เพิ่มเติม กลายเป็นช่วงเวลาที่ปล่อยเรื่องราวมันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาและฟังต่อไปเรื่อย ๆ

แต่ทว่า การที่มีชื่อซึ่งเธอรู้จักโผล่ออกมาหลายชื่อก็ทำให้เธอตกใจเหมือนกัน

 

“อเลกซานเดอร์……มีพรสวรรค์ในด้านการเมืองหรือคะ”

 

“ใช่ เจ้าคนนั้นคือชายที่จะเป็นแกนกลางหลักของราชสำนักในภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน ได้ยินมาว่าเป็นแม่ทัพผู้ชาญฉลาด แต่เราคิดว่าเขามีไหวพริบในด้านการเมืองการปกครองที่สูงยิ่งกว่าเสียอีก”

 

“อ่า……”

 

‘มันสุดยอดขนาดนั้นเลยรึ’ เฮเลนาเอียงศีรษะอย่างฉงนใจ

ตอนที่เธอพบอเลกซานเดอร์เป็นครั้งแรก น่าจะเป็นประมาณห้าหรือหกปีก่อน ในตอนนั้นเธอเคยได้ต่อสู้ร่วมกับเขาในปฏิบัติการรบร่วมกันของกองอัศวินพยัคฆ์แดงกับกองอัศวินอสรพิษม่วง

แต่ถึงจะแบบนั้นก็เถอะ ตอนที่เจอหน้ากันครั้งแรก จำได้แค่ว่าไม่รู้ทำไมทางนั้นถึงเข้ามาบอกว่า “ขอความกรุณาด้วยครับ” แล้วก็ก้มหัวให้เสียอย่างนั้น

ต่อจากนั้นก็พูดต่อว่า “ได้โปรดช่วยเหยียบผมด้วย” เล่นเอาเฮเลนากลุ้มใจอย่างจริงจัง ไม่รู้จะทำตัวยังไงดี ก็เลยเอาเป็นว่าเหยียบ ๆ ให้ไปตามคำขอก่อน แต่ทำแบบนั้นมันดีแล้วจริงหรือเปล่านะ

 

“แล้วก็…เร็กซ์หรือคะ”

 

“รู้จักเร็กซ์ด้วยงั้นรึ?”

 

“ค่ะ เมื่อตอนเป็นทหารใหม่เขาเคยสังกัดอยู่ในกองอัศวินพยัคฆ์แดง ข้าเป็นครูฝึกให้เขาเอง ดังนั้นเลยจำได้ดีเลยค่ะ”

 

“โฮ่ มีความเกี่ยวข้องกันเช่นนั้นด้วยรึเนี่ย”

 

เร็กซ์เป็นทหารใหม่ที่เอาจริงเอาจัง

น่าเสียดายที่นอกจากในการฝึกทหารใหม่แล้ว เธอก็ไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ทว่ามีครั้งหนึ่งเคยได้ร่วมประจัญบานในการรบใหญ่ด้วยกัน ในตอนนั้นไม่รู้ว่าทำไมเขากลับพูดว่า “จะได้ตามหลังท่านเฮเลนาหรือเนี่ย!” อย่างซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล มันมีอะไรให้ต้องดีใจถึงขนาดนั้นกันนะ

ตอนนี้เพราะต้องไปเตรียมรับช่วงต่อตระกูลดยุกเลย์แลนด์ก็เลยลาออกจากกองทัพไปแล้ว แต่เฮเลนาก็คิดว่าเขาเป็นชายที่มีแววใช้ได้ทีเดียว การที่เขาได้รับการทาบทามโดยฟาร์มาสเช่นนี้ เฮเลนาเองก็รู้สึกดีใจไปด้วย

 

“แถมยังมี……ซามิวเอล เลซีด้วยหรือคะ……”

 

“รู้จักงั้นรึ?”

 

“เคยรู้จักหน้าค่าตากันหลายครั้งอยู่ค่ะ แต่เมื่อตอนนั้นยังเป็นบริษัทการค้าหน้าใหม่อยู่เลย……”

 

บริษัทการค้าเลซีนั้น ก่อนที่ซามิวเอลจะมารับช่วงต่อมันเป็นเพียงหนึ่งในบริษัทการค้าที่มีอยู่ดาษดื่น

การที่บริษัทการค้าเลซีได้เจริญเติบโตขยายกิจการจนกลายมาเป็นบริษัทการค้าใหญ่ที่เป็นรองเพียงแค่บริษัทการค้าแอน-มาโลว์นั้น ก็ต้องขอบคุณฝีไม้ลายมือของซามิวเอลกระมัง

ตอนที่พบกับเขาครั้งแรกคือสมัยที่เฮเลนาเพิ่งจะผ่านการเป็นทหารใหม่มาได้ไม่นาน ซามิวเอลได้มาเพื่อติดต่อขอค้าขายเสบียงและสิ่งของจำเป็นให้กับกองทัพ วินาทีที่เห็นเฮเลนาในลานฝึกซ้อม จู่ ๆ เขาก็เข้ามาขอร้องว่า “ขอให้ผมได้สร้างรูปสลักของคุณด้วยเถอะ” แม้เฮเลนาจะทำหน้าเบ้พลางนึกว่าไอ้คนนี้มันพูดบ้าอะไรของมันวะ แต่เธอก็ยอมอนุญาตไปก่อน แล้วหลายวันต่อมาก็มีรูปสลักขนาดเล็กของเฮเลนาที่ทำขึ้นมาแบบประณีตละเอียดละออสุด ๆ ส่งมาให้ เล่นเอาตกใจอยู่ไม่น้อย

ทุกวันนี้ก็ยังเป็นปริศนาอยู่ว่าซามิวเอลจะอยากได้ของแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน

 

“ฮืม……เจ้าเนี่ยรู้จักคนกว้างขวางทีเดียวนะ”

 

“ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ……”

 

อย่างอเลกซานเดอร์ก็เป็นหนึ่งในแปดยอดขุนศึกอยู่แล้ว จะเคยพบหน้าค่าตากันก็เป็นเรื่องธรรมดา

แต่สำหรับเร็กซ์กับซามิวเอลนั้น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้จริง ฝ่ายเฮเลนาต่างหากที่กำลังรู้สึกสงสัยอย่างแรงกล้าว่าทำไมฟาร์มาสถึงได้ไปเชิญชวนแต่คนรู้จักของเธอทั้งนั้น

 

“อา จริงสิ……มีของฝากมาให้เจ้าด้วยนะ”

 

“ของฝาก หรือคะ?”

 

“อืม เราแวะไปอาณาจักรแห่งทรายมานิดหน่อยน่ะ ที่นั่นมีของที่ดูจะเหมาะกับเจ้าพอดีเลย”

 

ฟาร์มาสกล่าวดังนั้น ก่อนจะเอาถุงที่ทำจากหนังออกมา

มันคืออะไรกันนะ—เฮเลนาเพ่งมองดู แล้วก็พบว่ามันคือสร้อยคองานฝีมือที่ทำขึ้นมาอย่างประณีตนั่นเอง

 

“อา……”

 

“เจ้าน่ะงามอยู่แล้ว แต่ก็อยากเห็นตอนประดับตบแต่งสักเล็กน้อยบ้าง ทว่าแทนที่จะเป็นของที่ดูหรูหรา เราคิดว่าของเรียบ ๆ แบบนี้น่าจะเหมาะกับเจ้ามากกว่าน่ะ”

 

“ข ขอบพระคุณมากค่ะ”

 

โดนกล่าวชมว่างามแบบนั้นก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี

ทว่าสร้อยคอชิ้นนั้น ในสายตาของเฮเลนาแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นชิ้นงานที่วิเศษไม่น้อย

สายโซ่คล้องนั้นบาง แต่ก็ร้อยเรียงกันด้วยงานฝีมือที่สวยงามลื่นไหล และที่ตรงกึ่งกลางของสายโซ่นั้นก็เป็นอัญมณีสีน้ำเงินที่แวววาว

แม้เฮเลนาจะไม่ชอบเครื่องประดับที่มันเทอะทะ แต่หากเป็นสร้อยคออันนี้ก็คงไม่เกะกะเธอกระมัง

 

“มันน่าจะราคาแพงไม่ใช่หรือคะ?”

 

“ไม่หรอก ได้มาในราคาถูกเกินคาดเลยล่ะ”

 

“แต่ว่า……”

 

ในสายตาของฟาร์มาสมันอาจเป็นของถูกก็จริง แต่สำหรับเฮเลนาแล้วสิ่งนี้มันคือของชั้นสูง

ในตอนนี้ไม่ว่าจะดาบหรือการไปขี่ม้าท่องเที่ยว เธอก็ได้รับสิ่งต่าง ๆ มาจากฟาร์มาสตั้งมากมายอยู่แล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ยังให้มารับเครื่องประดับเพิ่มไปอีก ใจจริงแล้วก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย

ทว่าเมื่อเห็นเฮเลนามีท่าทีเช่นนั้น ฟาร์มาสกลับยิ้มออกมา

 

“มันราคาถูกจริง ๆ นะ เราซื้อมาจากร้านแผงลอย……แต่บังเอิญตอนนั้นมีเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรแห่งทรายผ่านมาพอดีเลย เพราะคนนั้นช่วยพูดให้ พ่อค้าก็เลยลดราคาให้เหลือหนึ่งในสิบทันทีเลยน่ะ”

 

“อา……พบกับเชื้อพระวงศ์หรือคะ?”

 

“ก็แค่บังเอิญน่ะนะ แต่เพราะแบบนั้นก็เลยได้โอกาสแลกเปลี่ยนไมตรีกัน ตั้งใจว่าจะแค่แวะไปเล่น ๆ แต่กลับกลายเป็นโอกาสที่ดีไปได้”

 

อาณาจักรแห่งทราย—ราชอาณาจักรดายน์สเลฟ เป็นอาณาจักรที่เคยมีเรื่องขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ กับจักรวรรดิกันเกรฟมาจนถึงเมื่อหลายปีก่อน

เฮเลนาเองก็เคยเข้าร่วมในสงครามที่รบกับราชอาณาจักรดายน์สเลฟอยู่หลายครั้งหลายหน

ในปัจจุบันได้มีการไกล่เกลี่ยสงบศึกกันแล้ว กล่าวกันว่าแม้ตอนนี้จะไม่ถึงกับเป็นประเทศพันธมิตร แต่ก็คงไม่มีการเปิดศึกสงครามกันอีกกระมัง

และเมื่อพูดถึงราชอาณาจักรดายน์เสลฟ ก็ไม่มีคนรู้จักของเฮเลนาอยู่หรอก

 

ไม่สิ

มีอยู่แค่หนึ่งคน

ทว่ามันคงไม่บังเอิญซ้ำซ้อนกันขนาดนั้นหรอก

 

“อาณาจักรแห่งทรายมีแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุมากมาย หากในอนาคตมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศของเรา มันคงสร้างผลกระทบที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย”

 

“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้วค่ะ”

 

“ไม่นึกเลยว่าจะได้โอกาสสร้างสัมพันธไมตรีกับเจ้าชายลำดับหนึ่งของอาณาจักรนั้นน่ะนะ หากเทพีแห่งโชคลาภมีจริง นางก็คงจะอยู่ในวังหลังของเรากระมัง”

 

‘หึ ๆๆ’ ฟาร์มาสหัวเราะ

ทว่า เฮเลนาฟังถึงตรงนั้นก็ได้ยินเรื่องที่ปล่อยผ่านไปไม่ได้ ไม่สิ ดันไปได้ยินเข้าจนได้

เจ้าชายลำดับหนึ่งของราชอาณาจักรดายน์สเลฟ

นั่นก็คือ—คนที่เฮเลนารู้จัก อาเธอร์ เอล ดายน์สเลฟนั่นเอง

 

“จ เจ้าชายลำดับหนึ่ง……หรือคะ?”

 

“หืม? คนรู้จักอีกแล้วรึ?”

 

“ป เปล่าค่ะ……”

 

ควรจะบอกไปดีไหมเนี่ย

จริงอยู่ว่าเป็นคนที่เธอรู้จัก ทว่าความสัมพันธ์มันค่อนข้างจะซับซ้อนในหลาย ๆ เรื่อง

เพราะแต่เดิมทีที่พบกันครั้งแรก และพบกันครั้งสุดท้าย มันก็คือในสนามรบ

 

“อย่าทำให้ตกใจสิ หากแม้แต่เจ้าชายลำดับหนึ่งของอาณาจักรนั้นยังรู้จักมักคุ้นกับเจ้าด้วยอีกคน เราก็คงรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ”

 

“น นั่นสินะคะ……”

 

บอกไม่ได้อ่ะ

หมายความว่าไม่บอกจะดีกว่าสินะ และขอแค่เฮเลนาไม่บอก ฟาร์มาสก็คงไม่รู้หรอก

เพราะว่า

 

หลายปีก่อน—ในสนามรบที่พบกันครั้งแรก ทั้งที่เป็นศัตรูกันแต่เธอกลับโดนขอแต่งงานซะงั้น

 

เฮเลนาไม่เข้าใจสักนิดว่าทางนั้นต้องการอะไรของเขา แต่อยู่ ๆ ก็มาพูดว่า “ต่อให้ต้องเป็นศัตรูของทั้งโลก ก็อยากจะได้เธอมาครอบครอง” ก็เลยเอาเป็นว่าอัดมันไปสักป้าบก่อน แต่หลังจากนั้นเธอก็ยังโดนขอแต่งงานกลางสนามรบอีกหลายต่อหลายครั้ง

ขนาดขู่ไปว่า “เดี๋ยวปั้ดฆ่าทิ้งซะหรอก” มันก็ดันตอบ “ถ้าจะถูกเธอสังหารก็ยินดี!” แล้วก็เสนอคอมาให้ซะงั้น กลายเป็นว่าฆ่าไม่ลงแทน

หลังจากนั้นถึงค่อยมาได้ยินว่าไอ้คนเพี้ยนนั้นมันคืออาเธอร์เจ้าชายลำดับหนึ่ง

 

“ฟู่ว……ดูเหมือนเราจะพูดมากไป ชักจะคอแห้งเล็กน้อยแล้วล่ะ ช่วยชงชามาให้ทีได้ไหม?”

 

“รับทราบค่ะ”

 

นอกจากในสนามรบแล้วเธอก็ไม่ได้พบกับอาเธอร์อีก ดังนั้นคงไม่ถูกมองว่าเป็นการนอกใจผิดศีลธรรมหรอกกระมัง

ทว่าจะให้บอกออกไปเองมันก็กระไรอยู่ เอาเป็นว่าไปชงชาก่อนก็แล้วกัน

เฮเลนาจุดไฟต้มกาน้ำในครัว

 

“หืม? อะไรน่ะ มีถุงกระสอบตกอยู่ตรงนี้ด้วย”

 

“อ๊ะ นั่นมัน……”

 

‘แย่ล่ะสิ’ เธอร้อนรน

เพราะคิดว่าควรจะให้เหยื่อมันสักหน่อยได้แล้ว ก็เลยดึงมันออกมาวางไว้แถวนี้แล้วลืมวางเอาไว้ทั้งแบบนั้น ส่วนอเลกเซียที่คอยช่วยทำความสะอาดห้องให้ทุกครั้งก็บอกว่า “ไม่อยากจับค่ะ” แล้วก็ไม่ยอมแตะถุงนั่นเลย

 

“หือ หนักอยู่นะ……”

 

ฟาร์มาสหยิบถุงขึ้นมา และในจังหวะเดียวกันนั้น

ร่างยาว ๆ ที่เป็นลายจุดและมีดวงตาเล็ก ๆ น่ารักก็หล่นลงมา

ดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาอยู่บนพื้นอย่างไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง

 

“จ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!?”

 

แล้ววังหลังก็ก้องกังวานไปด้วยเสียงหวีดร้องของเจ้าผู้ครองมัน

 

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท