“ฝ่าบาท!!? เกิดอะไรขึ้นพะยะค่ะ!!”
‘ปัง ๆ’ เสียงประตูโดนเคาะ
เสียงหวีดร้องอย่างกะทันหันของฟาร์มาส ทำให้เกรเดียซึ่งยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกตอบสนอง และตั้งแต่ตอนที่ในห้องเหลือแค่เฮเลนากับฟาร์มาสเพียงลำพัง อเลกเซียก็ได้ล็อกกุญแจไว้แล้ว ทำให้ไม่สามารถเปิดจากด้านนอกเข้ามาได้ ดังนั้นเขาถึงได้เคาะประตูซะรุนแรงแบบนี้กระมัง
‘อา ทำไงดีล่ะเนี่ย’ เฮเลนารู้สึกอยากจะกุมขมับขึ้นมา
“เอ่อ……”
“น น น น!!? นี่มันอะไรกัน!!?”
“ฝ่าบาท!! ฝ่าบาท!!”
ควรทำยังไงดีหว่า
หากมองจากมุมของฟาร์มาส จู่ ๆ ก็มีงูโผล่มา จะตกใจก็ไม่แปลกอะไร และเมื่อฟาร์มาสซึ่งเป็นเป้าคุ้มกันร้องออกมาแบบนั้น ก็เป็นธรรมดาที่เกรเดียจะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนอง
เอาเป็นว่าเธอควรจะจับงูไว้ก่อนสินะ
“ฝ่าบาท!! เปิดประตูด้วยพะยะค่ะ!!”
“น หนวกหูน่าเกรเดีย! ไม่ต้องเป็นห่วง!”
“เกิดอะไรขึ้นพะยะค่ะ!”
“ไม่ต้องมายุ่งน่า! ไม่มีอะไรทั้งนั้น! ไม่ต้องสนใจหรอก!!”
“ร้องซะดังลั่นแบบนั้นมันจะไม่มีอะไรได้ยังไงกันพะยะค่ะ!”
“ช่างเถอะน่า!! เฮเลนา! รีบจับมัน!”
ฟาร์มาสยืนเอาหลังพิงกำแพงอยู่ตรงมุมห้องพลางทำท่าพร้อมต่อสู้
หากได้รู้ว่าคู่ต่อสู้นั้นคืองูตัวหนึ่ง เกรงว่าเกรเดียคงได้หัวเราะลั่นเป็นแน่
เฮเลนาเองก็รู้สึกแย่เล็กน้อย แล้วก็คว้าหมับจับศีรษะของงูซึ่งทำฟาร์มาสหวาดกลัวถึงขนาดนั้นขึ้นมา ยัดเข้าไปในถุงกระสอบทั้งแบบนั้น
แต่อันที่จริงมันก็ดูอ่อนแรงมากอยู่แล้ว ระดับแค่นี้ต่อให้เป็นฟาร์มาสเองก็น่าจะจับได้นี่นา
“ฮ เฮเลนา! รีบมัดปากถุงนั่นเร็ว!”
“ค่ะ ไม่เป็นไรแล้วค่ะ มัดเรียบร้อยแล้ว”
“ม มันคงไม่หลุดออกมาใช่ไหม!? มัดให้แน่น ๆ เลยนะ!”
“โปรดวางใจเถอะค่ะ มัดไว้เป็นอย่างดีแล้ว”
ทำไมถึงได้กลัวขนาดนั้นนะ
บางส่วนอย่างดวงตาหรือลายจุดมันก็ออกจะน่ารักดีแท้ ๆ เชียว แถมเอาไปกินก็อร่อยด้วย
“ฝ่าบาท!”
“วางใจเถอะเกรเดีย! ไม่มีอะไรทั้งนั้น!”
“ทว่าฝ่าบาท!”
“ดื้อรั้นเสียจริง! เลิกตะโกนได้แล้ว!”
เมื่อฟาร์มาสตวาดเช่นนั้น เกรเดียถึงได้เงียบเสียงลง
ลองพูดถึงขนาดนั้นแล้ว เกรเดียเองก็คงไม่สามารถฝืนคัดค้านได้อีก ถึงแม้ในใจของเขาคงจะอยากยืนยันความปลอดภัยของฟาร์มาสเดี๋ยวนี้เลยก็เถอะ
ฟาร์มาสมองถุงกระสอบอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พลางนั่งแหมะลงกับพื้น
“เอ่อ……ต้องขออภัยด้วยนะคะท่านฟาร์มาส”
“ท ทำไมถึงมีงู……”
“อ่า ก็ตัวเดิมจากเมื่อคราวก่อนที่ท่านกรุณาพาข้าไปขี่ม้าท่องเที่ยวยังไงล่ะคะ”
“ยังมีชีวิตอยู่อีกรึ!?”
ว่าไปแล้ว การที่งูซึ่งจับมาเมื่อมากกว่าหนึ่งเดือนก่อนมันยังมีชีวิตอยู่ก็คงน่าแปลกใจจริง ๆ กระมัง
ทว่าสัตว์ชนิดนี้มันมีชีวิตรอดได้นานกว่าที่คาดไว้มากทีเดียว ดังนั้นผู้คนถึงได้มองว่างูเป็นเครื่องชูกำลังที่ดีนั่นเอง
เท่าที่เฮเลนาเคยได้ยินมา มีงูบางตัวที่มีชีวิตอยู่ได้ถึงสามเดือนโดยที่ไม่ต้องให้อาหารมันเลยด้วยซ้ำ
“ค่ะ ข้าลองตั้งชื่อให้มันว่าน้องเอแคเทอรีนาด้วยค่ะ”
“ไปตั้งชื่อมันทำไม!?”
“เปล่าหรอกค่ะ ก็คิดว่ามันจะได้รู้สึกน่าเอ็นดูขึ้นมาบ้างนะค่ะ”
“เจ้าเลี้ยงมันอยู่รึ!?”
“กำลังจะเอามารับประทานเร็ว ๆ นี้ค่ะ”
“จะกินแล้วไปตั้งชื่อให้มันทำไมเล่า!”
‘ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยนะ’ เฮเลนาเอียงศีรษะอย่างฉงนใจ
แล้วทำไมเขาถึงต้องไปนั่งแหมะอยู่ตรงมุมห้องไม่ขยับไปไหนแบบนั้นด้วยนะ เข่าอ่อนแล้วไปหรือไงหว่า
“เอ่อ ท่านฟาร์มาส……?”
“อ อะไร……”
“คือว่า งูโดนจับไปแล้วค่ะ……”
“……”
สิ่งที่ทำให้ฟาร์มาสตกใจก็คือน้องเอแคเทอรีนา ซึ่งตอนนี้ก็โดนจับขังไว้ในถุงกระสอบแล้ว
แต่เดิมทีมันก็ไม่ใช่งูชนิดที่มีพิษอยู่แล้ว แล้วยิ่งโดนจับเข้าถุงเช่นนี้ก็ฟันธงได้เลยว่าไม่มีอันตรายแน่นอน ดังนั้นฟาร์มาสจะกลับมานั่งที่เดิมก็ได้แล้ว
ทว่าฟาร์มาสยังคงนั่งแหมะอยู่กับพื้นเช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อน
“……เอ่อ?”
“บางครั้งบางคราว นั่งสนทนากันบนพื้นเช่นนี้ก็ไม่เลวนัก”
“ไม่สิคะ มาที่โซฟา……”
สำหรับเฮเลนาแล้ว จะให้สนทนากันทั้งที่ฟาร์มาสซึ่งเป็นจักรพรรดินั่งบนพื้นแบบนั้นก็กระไรอยู่
ขืนทำแบบนั้นจะโดนหาว่าหมิ่นเบื้องสูงเอาน่ะสิ
“……”
“……”
ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่เช่นนั้นสักพัก
เห็นได้ว่าใบหน้าของฟาร์มาสค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง
“อย่า…..หัวเราะเยาะเราล่ะ”
“เอ๊ะ?”
“เข่ามันอ่อน……จนลุกไม่ขึ้นน่ะ”
ฟาร์มาสรำพึงเช่นนั้นด้วยแก้มที่แดงเหมือนลูกแอปเปิ้ล
เสียงเขาเบาเหมือนยุง แต่ก็ฟังออกได้ชัดเจนว่าพูดอะไร
ดูเหมือนจะตกใจมากเกินไปที่มีงูโผล่ออกมา ก็เลยแข้งขาอ่อนไปซะแล้ว
“เอ่อ……ขออภัยค่ะ”
“……เป็นผลกรรมที่ไปแตะของของเจ้าตามใจชอบสินะ”
“ไม่นึกว่าจะตกใจถึงขนาดนั้นค่ะ……”
“เราเองก็ขาดความระมัดระวังไปเหมือนกัน จะว่าไปตอนไปขี่ม้าท่องเที่ยวเจ้าก็พกมันไว้สินะ……ถุงกระสอบนั่นน่ะ”
‘อา’ ฟาร์มาสร้องครางพลางกุมขมับ
ไม่รู้ว่าเขากำลังรู้สึกแบบไหนอยู่ แต่ปล่อยไว้แบบนี้ก็ไม่ดีกระมัง
“เช่นนั้น ท่านฟาร์มาสคะ”
“หือ……?”
ก่อนอื่นเธอก็เอาถุงกระสอบไปวางทิ้งไว้ตรงจุดวางรวมสัมภาระซึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
แม้ตั้งใจว่าจะเอามากินในไม่ช้า แต่ประเมินจากการเคลื่อนไหวของงูเมื่อครู่มันก็ไม่ค่อยมีแรงแล้ว หากปล่อยไว้อีกไม่นานอาจตายไปก่อนได้
‘จัดปาร์ตี้หม้อไฟกับมาริเอลหรือฟรองซัวส์อีกครั้งเร็ว ๆ นี้แล้วกัน’ เธอคิดแล้วก็พยักหน้า
จากนั้นก็เข้าไปหาฟาร์มาส
“ขออนุญาตค่ะ”
“ห้ะ……?”
“เอาล่ะ”
“เฮ้ย!?”
‘ฟึบ’ เธอโอบแขนไปที่ด้านหลังคอกับข้อพับขาแล้วอุ้มฟาร์มาสขึ้นมา
ฟาร์มาสตัวเตี้ยและยังร่างบางกว่าเฮเลนาจึงมีน้ำหนักเบา หากประมาณนี้จะให้เธออุ้มไปวิ่งไปด้วยก็ยังได้
อาจเป็นเพราะตกใจที่ตัวลอยขึ้นกะทันหัน ฟาร์มาสจึงเอาแขนมากอดคอของเฮเลนาเอาไว้
การที่เขาตัวสั่นเล็กน้อย คงเป็นเพราะยังมีความตกใจจากงูค้างอยู่กระมัง
“เชิญค่ะ”
เฮเลนาเดินไปเล็กน้อยก่อนจะวางเขาลงบนโซฟา
เมื่อทำเสร็จถึงตรงนั้น ก็เห็นได้ว่าฟาร์มาสกำลังกุมขมับเสียใหญ่โตอยู่
อาการเข่าอ่อนนั้นมักจะมาพร้อมกับความรู้สึกโล่งอกหลังจากที่ความตึงเครียดถึงขีดสุดได้ผ่านพ้นไป ซึ่งมันทำให้ขาไม่มีเรี่ยวแรง ต่อให้ฉุดลุกขึ้นมาประเดี๋ยวก็จะนั่งแหมะลงไปอยู่ดี โดยส่วนมากแล้วทหารใหม่ที่ออกศึกครั้งแรก หลังจากการต่อสู้จบลงก็จะมีอาการเข่าอ่อนกัน
และเมื่อเกิดอาการเข่าอ่อนขึ้นมา ก็มีแต่ต้องรอเวลาให้มันหายเองเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงได้อุ้มเขามาที่โซฟาเช่นนี้
ทว่าฟาร์มาสกลับขมวดคิ้วเหมือนกับไม่พอใจ
“ขึ่ก……”
“เอ่อ ขออภัยด้วยค่ะ ข้าไม่นึกว่าท่านฟาร์มาสจะไม่ชอบงูถึงขนาดนั้น……”
“เรื่องนั้นน่ะ ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไรแล้ว”
“ถ้างั้น……?”
“โดนเจ้าหยอกล้อทั้งในทางที่ดีและไม่ดีเสมอเลยสิน่า ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่ข้าโดนอุ้มด้วย……”
“เอ๋ ไม่ดีงั้นหรือคะ……?”
ในสนามรบนั้น การอุ้มคนที่ได้รับบาดเจ็บที่ขาเป็นเรื่องธรรมดามาก
ทว่าพอมาลองนึกดูดี ๆ การอุ้มจักรพรรดิเดินไปมาก็มองว่าเป็นการเสียมารยาทได้สินะ แต่การปล่อยให้จักรพรรดินั่งแหมะบนพื้นก็เสียมารยาทเหมือนกันนี่ ต้องทำยังไงถึงจะเหมาะสมหว่า
“……ช่างเถอะ ขอเราพักสักหน่อยแล้วกัน”
“ค่ะ……”
“งูนั่นน่ะ……ก็รีบ ๆ จัดการมันเข้าซะนะ”
“รับทราบค่ะ”
“……ขอสุราหน่อยเถอะ คงไม่ดื่มไม่ได้แล้วล่ะ”
ฟาร์มาสกล่าวพลางก้มหน้าสลดอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขาคงไม่ชอบงูน่าดูเลยสินะ ถึงเฮเลนาจะไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรให้ไม่ชอบอะไรขนาดนั้นก็เถอะ
“เข้าใจแล้วค่ะ อ่า……ให้ทำกับแกล้มให้ด้วยไหมคะ?”
“โฮ่……มีอะไรด้วยงั้นรึ?”
“อย่างเช่นน้องเอแคเทอรีนาย่างไฟ”
“ไม่เอา!!”
ได้ยินฟาร์มาสตะโกนเช่นนั้น เฮเลนาก็ได้แต่บึนปาก
มันอร่อยออกแท้ ๆ เชียวน้า