“เอาล่ะ เช่นนั้นบทเรียนในวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้พะยะค่ะ”
“อื้อ”
เมื่อชายสูงอายุซึ่งเป็นอาจารย์จากวิทยาลัยแห่งชาติโค้งกล่าวขึ้นพลางคำนับ แองเจลิกา ดีล ลูเครเซีย กันเกรฟก็ปิดหนังสือเรียนลง
ช่วงเวลาอิสระซึ่งได้รับอนุญาตจากลูเครเซียมีแค่เฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น ส่วนในช่วงบ่ายเธอจะต้องมารับการสั่งสอนบทเรียนจากบรรดาครูอาจารย์ที่ได้รับเชิญมา
หากมองจากมุมของแองเจลิกาแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งยากน่ารำคาญอย่างถึงที่สุด ทว่าหากไม่ยอมรับช่วงเวลาเช่นนี้ แม้แต่อิสระในช่วงเช้าก็อาจหายไปด้วยก็เป็นได้ ดังนั้นอย่างน้อยเธอก็รับการสอนอย่างตั้งใจอยู่ ถึงจะหนีความจริงไปไม่ได้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่มันไม่ได้เข้าหัวเลยก็ตามที
“องค์หญิง ทรงมีความตั้งใจมากขึ้นนะพะยะค่ะ”
“……เป็นเช่นนั้นรึ?”
“ก่อนหน้านี้ ทรงหนีไปตั้งหลายครั้งไม่ใช่หรือไงกันพะยะค่ะ ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่พระองค์ทรงรับการสอนจนจบโดยไม่ปริปากบ่น”
“……ก็ จริงอยู่นะ”
ลองนึกย้อนดูแล้วก็ไม่เคยมีความทรงจำว่าตัวเองตั้งใจเรียนเลย
แองเจลิกาเพิ่งจะอายุสิบสองปี กำลังอยู่ในวัยอยากเล่นสนุก ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เธอไม่อยากใช้เวลาไปกับการเรียนประวัติศาสตร์ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ ดังนั้นที่ผ่านมาเธอจึงทอดทิ้งการเรียน แล้วหนีออกไปใช้เวลาเรื่อยเปื่อย
ทว่า ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว แม้ใจจริงจะไม่อยากเรียน แต่ก็มีสิ่งที่เธออยากทำมากยิ่งกว่าอยู่
เพื่อสิ่งนั้นแล้ว ให้ทนนิดทนหน่อยก็ต้องยอม
“บทเรียนต่อไปก็โปรดตั้งใจเรียนนะพะยะค่ะ”
“รู้แล้วล่ะน่า”
“โดยเฉพาะ ยิ่งบทเรียนต่อไปเป็นของท่านไดอานาด้วยแล้ว”
“แหงะ”
ได้ยินอาจารย์บอกดังนั้นก็แองเจลิกาก็เผลอทำหน้ายู่
ภริยามาร์ควิสไดอานา สการ์เลต คืออาจารย์ที่สอนบทเรียนเกี่ยวกับมารยาทให้แองเจลิกา แม้จะเรียนกันแค่สัปดาห์ละสองครั้ง แต่ก็บอกได้คำเดียวว่าเข้มงวดสุดฤทธิ์
หากเป็นแองเจลิกาสมัยก่อนก็คงบอกว่า ‘ช่างหัวมารยาทสิ’ แล้วก็แลบลิ้นวิ่งหนีไปทั่ว ซึ่งไดอานาเองก็วิ่งไล่ตามอย่างกับยักษ์ไล่จับคน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว
และแล้วเมื่ออาจารย์สอนประวัติศาสตร์ขอตัวจากไป แองเจลิกาก็ดื่มชาเพื่อพักผ่อนเล็กน้อย
ระหว่างชั่วโมงเรียนแต่ครั้งจะมีช่วงเวลาสั้น ๆ ให้พักผ่อน ซึ่งเธอก็ได้ให้สาวใช้ชงชาให้ดื่มระหว่างนั้นนั่นเอง
“เฮ้อ—……”
แม้จะกำลังรับฟังบทเรียน แต่ที่เธอคิดอยู่ในหัวตลอดก็มีแต่เรื่องพลังต่อสู้ของตนเองเท่านั้น
แองเจลิกาในปัจจุบันมีเพียงการโจมตีด้วยการขว้างก้อนหินอย่างเดียว แน่นอนว่าหากขว้างหินเข้าเป้าก็จะสร้างความเสียหายได้ และต่อให้พลาดเป้าก็มีจำนวนกระสุนไม่จำกัด เทียบกับพลธนูซึ่งพกพาลูกธนูไปได้แค่เท่าที่ใส่ในปลอกธนูได้เท่านั้นแล้ว ถือว่ามีความสามารถในการต่อสู้ได้ยาวนานต่อเนื่องกว่ามาก
ทว่าในเวลาเดียวกัน การโจมตีแต่ละดอกนั้นก็เบาเหลือเกิน แม้การที่แองเจลิกามีพละกำลังไม่พอจะมีส่วนด้วย แต่ก้อนหินมันก็ไม่สามารถเจาะทะลวงเป้าหมายได้เหมือนลูกธนู และเทียบกับการต่อสู้มือเปล่าหรือกระบองแล้วอานุภาพก็ด้อยกว่าอยู่ก้าวหนึ่ง
เพราะฉะนั้น เธอจึงกำลังกลัดกลุ้มครุ่นคิดถึงวิธีที่จะเพิ่มพลังต่อสู้ให้กับตนเองอยู่ตลอดนั่นเอง
เฮเลนาพูดไว้ว่าให้ลองขว้างของที่คล้าย ๆ มีดดูเป็นอย่างไร
แต่ของพวกมีดดาบนั้นโดยทั่วไปแล้วมันค่อนข้างหนัก แม้จะพอขว้างได้อยู่บ้าง แต่ก็คงไม่สามารถขว้างอย่างละเอียดละออแม่นยำ
นอกจากนั้น การจะพกมีดไปไหนมาไหนหลาย ๆ เล่มก็ลำบาก เพราะยิ่งพกมากก็ยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวของเธอทื่อลง
หมายความว่า เงื่อนไขก็คือมันต้องเป็นของที่เบาขนาดที่เล็งเป้าแล้วขว้างได้ แหลมคมพอที่จะทิ่มแทงคู่ต่อสู้ แล้วก็ยังต้องพกเดินไปไหนมาไหนได้เป็นจำนวนมากอีกด้วย
“ไม่มีอะไรบ้างหรือไงน้า”
“……เรื่องอันใดหรือเพคะ?”
“ไม่มีอะไร”
เมื่อทีนา สาวใช้ส่วนตัวของแองเจลิกาซึ่งเฝ้าปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่ถามขึ้นเช่นนั้น เธอก็ปัดมือปฏิเสธไป
ความกลุ้มใจนี้ทีนาไม่เข้าใจหรอก
“อื—ม……”
“องค์หญิง ใกล้จะได้เวลาท่านไดอานามาแล้วนะเพคะ”
“ใกล้แล้วรึ? เฮ้อ……อยากพักอีกสักหน่อยจังน้า”
“ทว่า……”
“รู้แล้วล่ะน่า แค่ลองพูดดูเท่านั้นแหละ รีบไปเรียกเธอมาสิ”
“เพคะ”
เมื่อฟังคำแองเจลิกากล่าว ทีนาก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป
จากนั้นก็กลับมาพร้อมกับสตรีที่เรียกได้ว่าเกือบจะสูงวัย
สตรีผู้นี้ที่กำลังจ้องแองเจลิกาด้วยสายตาแหลมคม—ก็คือภริยามาร์ควิสไดอานา สการ์เลตนั่นเอง เธอเป็นภรรยาของมาร์ควิสสการ์เลตซึ่งนับว่ามีฐานันดรสูงในหมู่ขุนนางของจักรวรรดิกันเกรฟ และยังมีการกล่าวกันว่าเธอคือสตรีผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของตระกูลมาร์ควิสด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนั้นเธอจึงได้รับความไว้วางใจจากลูเครเซีย และได้รับมอบหมายให้มาสอนบทเรียนเกี่ยวกับมารยาททางสังคมแก่แองเจลิกาเช่นนี้เอง
“ดีมาก วันนี้อยู่สินะเพคะ”
“ก็ต้องอยู่สิ เป็นชั่วโมงเรียนนี่นา”
“หากทรงคิดเช่นนั้นได้ตลอด ก็จะช่วยได้มากเลยล่ะเพคะ”
ได้ฟังวาจาที่เหมือนประชดถากถางเช่นนั้น แองเจลิกาก็ไม่ตอบอะไร
มันเป็นความจริงที่แองเจลิกาเคยหนีไป เธอไม่มีความคิดที่จะมากลบเกลื่อนเอาป่านนี้ มีแต่ต้องแสดงด้วยการกระทำหลังจากนี้ไปเท่านั้นแหละ
เมื่อไดอานาเดินมาถึงจุดหนึ่ง เธอก็เริ่มกางสัมภาระที่นำมาด้วย
“เช่นนั้นองค์หญิงเพคะ วันนี้จะเป็นบทเรียนเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารนะเพคะ”
“มารยาทบนโต๊ะสิน้า”
“ในฐานะราชนิกุลพระองค์หนึ่ง องค์หญิงเองก็คงจะมีโอกาสได้รับประทานอาหารร่วมกับบุคคลสำคัญของต่างชาติเช่นกัน ในโอกาสเช่นนั้นหากองค์หญิงทรงไม่เชี่ยวชาญเรื่องมารยาทแล้ว อาจทำให้บุคคลต่างบ้านต่างเมืองดูแคลนจักรวรรดิกันเกรฟได้เพคะ โปรดทรงคำนึงถึงจุดยืนของพระองค์แล้วจดจำไว้ด้วยเพคะ”
“จ้า ๆ”
ไดอานากล่าวไปพลางเอาผ้ากันเปื้อนมาปูและจัดวางจานลงตรงหน้าที่นั่งของแองเจลิกา แน่นอนว่าในจานนั้นว่างเปล่า
และสิ่งที่นำมาเรียงที่ด้านข้างของจานนั้นก็คือเครื่องเงินสำหรับรับประทานอาหาร โดยของที่ใหญ่ที่สุดจะวางอยู่ด้านในถัดจากจาน ส่วนด้านที่ไกลออกไปก็เป็นของที่เล็กลงตามลำดับ หากมองจากมุมของแองเจลิกาด้านซ้ายก็จะเป็นส้อม ส่วนด้านขวาก็จะเป็นมีด เธอมองดูเครื่องเงินเหล่านั้นค่อย ๆ ถูกจัดเรียงกันไปเรื่อย ๆ
ไอ้การกินอาหารแบบเป็นทางการมากพิธีแบบนี้ เธอไม่คิดจะไปร่วมด้วยอยู่แล้วล่ะน่า แองเจลิกาคิดแต่ก็ไม่ได้บ่นออกไป
“อุ๊ยตาย……”
“มีอะไรรึไง”
“ขออภัยด้วยเพคะองค์หญิง ดูเหมือนดิฉันจะลืมช้อนเสียแล้ว จะไปขอหยิบยืมมาจากห้องครัวดังนั้นได้โปรดรอสักครู่นะเพคะ”
“เฮ้อ……เข้าใจแล้วล่ะ รีบไปเอามาให้ครบเถอะ”
ไดอานาคำนับหนึ่งครั้ง แล้วก็ออกจากห้องไป
แค่ได้ยินว่าเป็นบทเรียนมารยาทก็ไม่มีกะใจจะเรียนอยู่แล้ว ดังนั้นแองเจลิกาจึงอยากให้มันจบไปซะโดยเร็ว ยุ่งยากน่ารำคาญอย่างถึงที่สุดจริง ๆ
‘เฮ้อ’ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางมองดูเครื่องเงินที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า
จากนั้นก็เบิกตาโพลง
“นี่มัน……”
เธอหยิบมีดซึ่งถูกวางไว้ขึ้นมาหนึ่งด้าม
มันทำมาจากเงินจึงมีน้ำหนักเบา และถึงแม้ส่วนปลายจะมีความโค้งมนอยู่บ้างแต่ก็ยังบางและแหลมคม
อีกทางด้านหนึ่งก็คือส้อม
ส่วนปลายเป็นเหมือนเข็มสามเล่ม แทงทะลุได้แม้แต่เนื้อแข็ง ๆ
ดุจดังได้รับคำชี้แนะจากเทพเจ้า—ความคิดหนึ่งได้แล่นปราดราวกับสายฟ้าฟาดในสมองของแองเจลิกา
“ไอ้นี่แหละ!!”
“อ องค์หญิงเพคะ!!?”
“ทำไมนึกไม่ถึงมาก่อนนะตัวฉัน! นี่มันอาวุธในอุดมคติเลยไม่ใช่รึไงกัน!”
แองเจลิกาลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจเสียงเรียกของทีนา
ที่นี่คือห้องส่วนตัวของแองเจลิกาเอง และแน่นอนว่าที่บนกำแพงนั้นก็มีเป้าปาลูกดอกซึ่งเธอเล่นเป็นงานอดิเรกมาเป็นเวลานานอยู่ด้วย
แองเจลิกาหันไปทางเป้าซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควรนั้น
แล้วก็ปามีดออกไปโดยไม่มีพูดพร่ำทำเพลง
‘ฉึก’ มีดปักเข้ากลางเป้าปาลูกดอกพอดิบพอดี
“ใช้ได้เลย!”
“อ เอ๋……”
เครื่องเงินนั้นน้ำหนักเบา มีจำนวนมาก ทั้งยังขว้างปาได้ง่ายและมีความแหลมคมที่สามารถทิ่มแทงเป้าหมายได้
ที่สำคัญ ส้อมมีความโค้งงอในตัวอยู่แล้ว หากหันด้านที่แหลมออกไปด้านนอกก็ไม่ต้องกลัวมันแทงเข้ามาโดนตัวเอง ส่วนมีดเองก็มีความโค้งมน ย่อมไม่สามารถทำให้ผู้ใช้เกิดบาดแผลได้โดยง่าย หมายความว่ามันสะดวกต่อการพกพาเดินไปไหนมาไหนนั่นเอง
เครื่องเงิน—คือสิ่งที่สามารถกลายเป็นอาวุธในอุดมคติสำหรับแองเจลิกาได้
แองเจลิกาหยิบส้อมขึ้นมาสามคัน และหนีบเอาไว้ระหว่างนิ้วมือ
มันไม่ได้มีตัวกระบังดาบเกะกะเหมือนมีดดาบปกติ และด้วยความบางเบาจึงน่าจะสามารถใช้งานได้เหมือนกับลูกดอกเลย
แองเจลิกาขว้างทั้งสามคันนั้นไปยังเป้า
ทั้งที่เป้ามีขนาดนิดเดียวแท้ ๆ แต่ในบรรดาส้อมทั้งสามคัน หนึ่งคันนั้นแทงปักเข้าแทบจะตรงกลางเป้าพอดี ส่วนอีกสองคันที่เหลือก็ปักอยู่ใกล้ชิดกับคันแรก
แองเจลิกาตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
“มัวอยู่เฉยแบบนี้ไม่ได้แล้ว! ทีนา! ไปเรียกช่างตัดเสื้อมาเดี๋ยวนี้!”
“ป เป็นอะไรไปเพคะองค์หญิง!”
“ต้องทำให้พกพาเดินไปไหนมาไหนได้หลาย ๆ อัน! ทำเข็มขัดมารัดไว้ที่ต้นขาของฉัน แล้วก็เอาทั้งหมดเสียบไว้ตรงนั้นจะได้หยิบมาใช้ได้ไงล่ะ! แบบนั้นคู่ต่อสู้จะได้ไม่รู้ว่าเหลืออีกกี่อันด้วย! เอ้า! เร็วเข้าสิ!”
“อ เอ๋……”
แองเจลิกาที่กำลังตื่นเต้นยื่นมือไปหาเครื่องเงินอีกครั้ง
และระหว่างทางนั้น มือของเธอก็ได้ถูกอีกมือหนึ่งมาขัดขวางไว้
ซึ่งนั่นก็คือ
สตรีที่มือขวากำลังรั้งมือของแองเจลิกาเอาไว้ ส่วนมือซ้ายถือช้อนอยู่—ไดอานานั่นเอง
“อ๊ะ……”
“องค์หญิง ทรงทราบใช่ไหมเพคะว่าดิฉันจะพูดอะไร”
“อ เอ่อ……”
“เอาเครื่องเงินสำหรับรับประทานอาหารไปปาใส่เป้าแบบนั้นทรงคิดอะไรของพระองค์อยู่เพคะ!!”
พร้อมกับการที่แองเจลิกาได้ค้นพบอาวุธที่เหมาะสมกับตนเอง
ก็ได้มีเสียงดุด่าเช่นนั้นดังขึ้นในราชวังด้วยเช่นกัน