ชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับหัวเราะขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าวว่า ”ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมชมแดนพระพุทธศาสนาที่สว่างเรืองรอง”
บุตรแห่งราชานรกพยายามดิ้นหนี ขาของเขาถีบไปมาอย่างบ้าคลั่งขณะตะโกนว่า ”เดี๋ยวๆๆ เจ้าไม่ต้องขอคำแนะนำจากอรหันต์หงส์เพลิงของเจ้าก่อนหรือ ไปโดยไม่มีนางเช่นนี้คงไม่ถูกต้องกระมัง ยิ่งเป็นที่ที่ไกลถึงเพียงนั้นด้วยแล้ว!”
ชายหนุ่มหันกลับไปมองรถม้าที่อยู่ด้านหลัง และเอ่ยเบาๆ ว่า ”นางยังหลับอยู่” จากนั้นเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนสายตาลงมองคนตัวเล็กกว่าที่อยู่ในมือ แล้วจึงพูดต่อ ”ถ้าเจ้าทำนางตื่น เจ้าก็ไม่ต้องไปแดนพระพุทธศาสนา เพราะข้าจะย่างสดเจ้าเสียเดี๋ยวนี้ ว่ากันว่าเนื้อของบุตรแห่งราชานรกรสชาติดีทีเดียว”
”หงส์เพลิงของเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าอยากกินร่างข้าจนน้ำลายไหล!” บุตรแห่งราชานรกจ้องหน้าเขาด้วยความเดือดดาล แล้วแผดเสียงขึ้นว่า ”ข้ายอมตามเจ้าไปที่แดนพระพุทธศาสนาก็ได้ แต่มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วเป็นสัญญาณบอกให้เขาพูดต่อ
บุตรแห่งราชานรกพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ”หลังจากกลับจากแดนพระพุทธศาสนา เจ้าต้องไปที่ปรโลกและสู้กับท่านพ่อของข้า สู้ให้นานจนเขาไม่มีเวลามาสนใจว่าข้าจะอยู่ที่ไหน”
”ท่านพ่อของเจ้าจะต้องกักบริเวณเจ้าอีกแน่ๆ ถ้าเขามาได้ยินสิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดออกมา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองบุตรแห่งราชานรกในมือที่ทำให้เขานึกถึงเด็กตัวเล็กๆ การมีลูกชายช่างน่ารำคาญเหลือเกิน เขาอยากจับเจ้าเด็กนี่ขว้างทิ้งเสียเดี๋ยวนี้!
บุตรแห่งราชานรกไม่สนใจแม้แต่นิดเดียวว่าท่านพ่อของเขาที่อยู่ในปรโลกจะคิดอย่างไร เขาต้องไปโลกมนุษย์ในยุคปัจจุบันให้ได้ ดังนั้นการเดินทางไปยังแดนพระพุทธศาสนาเพื่อเก็บวิญญาณจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด ตราบใดที่มันสามารถทำให้เขาไล่ตามคนรักของตัวเองได้
ยิ่งกว่านั้น เขาก็ไม่เคยขโมยดวงวิญญาณจากพระพุทธศาสนามาก่อน พอลองมาคิดดูอีกทีแล้วมันก็น่าตื่นเต้นดีทีเดียว
บุตรแห่งราชานรกแลบลิ้นเลียริมฝีปาก เมื่อดวงตาสีแดงเลือดของเขาเปิดขึ้นอีกครั้ง ภาพทิวทัศน์ของแดนพระพุทธศาสนาที่มีดอกบัวบานสะพรั่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ล้อมรอบไปด้วยเมฆดูเงียบสงบ ทั้งยังมีเสียงสวดมนต์อยู่ทุกหนแห่ง
บรรดาสามเณรเดินอยู่บนบันไดสู่สวรรค์ซึ่งทอดยาวออกไป ในจำนวนทั้งสามภพ สิ่งก่อสร้างเดียวที่ถูกสร้างขึ้นกลางอากาศมีเพียงวัดเหลยอิน นอกจากภูเขาซวีหมี สถานที่แห่งนี้ต่างก็ห้อมล้อมไปด้วยก้อนเมฆและดอกไม้สีแดงที่ขึ้นปกคลุมไปทั่วพื้น
สามเณรนึกไม่ถึงว่าจะมีคนปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ก่อนจะเคลื่อนสายตาลงมองที่บุตรแห่งราชานรก ”ท่าน… ท่านมาจากภพชั้นต่ำลำดับสาม!”
”เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าภพชั้นต่ำลำดับสาม ข้าล่ะเกลียดคนที่แบ่งแยกภพทั้งหกเป็นภพชั้นสูงชั้นต่ำโดยไร้เหตุผลอย่างเจ้ายิ่งนัก” ดวงตาของบุตรแห่งราชานรกกลายเป็นสีแดงเข้ม
สามเณรกำกำปั้นเข้าหากันแน่น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า ”โอหัง! เจ้าสัตว์ประหลาดโง่เขลา เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใดก่อนจะบุกรุกเข้ามา!”
บุตรแห่งราชานรกเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แล้วจึงเยาะขึ้นด้วยท่าทางยียวนและชั่วร้ายว่า ”ข้าคิดว่าคนที่ไม่รู้ว่าข้าคือใครคือเจ้าต่างหาก จริงไหม”
ระหว่างที่พูดเช่นนั้น ตัวอักษรสีทองของคำว่า ’ราชา’ ก็พลันปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขาอย่างชัดเจน
ทันทีที่เห็นดังนั้น สามเณรก็ก้าวถอยหลังไปก้าวใหญ่จนแทบตกขั้นบันไดหินขณะพึมพำกับตัวเองว่า ”นรก… นรก…”
”เขายังไม่ได้เป็นราชานรกตัวจริง” พระอรหันต์เดินออกมาจากอารามพร้อมกับยื่นมือออกไปดึงสามเณรไว้ เขาเหลือบมองบุตรแห่งราชานรกอย่างไม่สะทกสะท้าน และจึงกล่าวว่า ”เจ้าเป็นแค่บุตรแห่งราชานรก กล้าดีอย่างไรถึงขึ้นมาก่อความวุ่นวายที่แดนพระพุทธศาสนาทั้งที่ไร้ฝีมือ ไม่มีใครบอกหรือว่าเจ้าต้องส่งคำร้องให้กับภพสวรรค์ก่อน ถึงจะสามารถเข้ามาในแดนพระพุทธศาสนาได้ ทุกวันนี้คนในภพชั้นต่ำลำดับสามโง่เขลาเบาปัญญาจนละเลยกฎเกณฑ์กันหมดแล้วหรือ หือ?”
บุตรแห่งราชานรกเกลียดคนที่ดุด่าตัวเองเป็นที่สุด โดยเฉพาะคนที่พูดเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงดูถูกผู้อื่นอย่างมากเช่นนี้
เขาไม่สามารถทำอะไรอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้
แต่เขาสามารถขยี้วิญญาณของอรหันต์ที่ตายแล้วให้เป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ และทำให้มั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางได้เกิดใหม่อีก
”ราชาปีศาจ คนอื่นจะเป็นอย่างไรข้าไม่สน แต่หลังจากที่เจ้าฆ่าอรหันต์ผู้นี้แล้ว เจ้าต้องเก็บเขาเอาไว้ให้ข้า ข้าจะให้เขาได้รู้ซึ้งว่าใครกันแน่ที่ละเลยกฎเกณฑ์ต่างๆ ไป” บุตรแห่งราชานรกพูด ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงราวกับทับทิมและเต็มไปด้วยเส้นเลือด
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา อรหันต์คนนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมา แล้วเยาะอย่างดูถูกว่า ”เจ้ากำลังสั่งให้ปีศาจฆ่าพระอรหันต์หรือ ช่างน่าขันเสียจริง! ข้าจะเตือนเจ้าเอาไว้ก็แล้วกัน รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด อรหันต์เป็นคนมีเมตตา ดังนั้นถ้าข้าทำได้ ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า ดังนั้นอย่าให้ข้าได้แสดงฝีมือเลย ข้ารู้ว่าเจ้าก็ดีแต่พึ่งพาชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของผู้เป็นบิดาเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าฝ่าฝืนกฎด้วยการบุกรุกเข้ามาในแดนพระพุทธศาสนา ดังนั้นท่านพ่อของเจ้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำถ้าข้าฆ่าเจ้าที่นี่ และถ้าเป็นเช่นนั้น…”
อรหันต์กำลังจะพูดต่อ แต่จู่ๆ ชายหนุ่มในชุดสีดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็เคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน
ลำคอของเขาตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา!
ดวงตาของอรหันต์เบิกกว้างในทันใดขณะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างไปจากเขาเพียงไม่กี่นิ้วนั้น น้ำเสียงของเขาสั่นเครือขณะพึมพำออกมาว่า ”เจ้า เจ้า…”
คนคนนี้เป็นใครกันแน่
ทำไมเขาถึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
บนโลกนี้ จะมีผู้ใดเคลื่อนไหวเร็วกว่าพระอรหันต์ได้อย่างไร
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกยิ้มอย่างชั่วร้าย แต่เขาก็ไม่ได้ตอบกลับไป เขาก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าวทั้งที่ยังคว้าคอของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วโยนเขาออกไปด้วยมือข้างเดียว
โครม!
อรหันต์รู้สึกได้ถึงกระดูกซี่โครงที่หักเป็นชิ้นๆ จากแรงกระแทกนั้น และกำลังคิดที่จะใช้แสงแห่งพระพุทธคุณรักษาตัวเอง
แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถใช้แสงแห่งพระพุทธคุณกับส่วนที่ถูกชายหนุ่มจับเมื่อครู่นี้ได้
”เจ้า… อั๊ก!” อรหันต์กระอักเลือดสดๆ ออกมา ทิ้งรอยเลือดไว้บนบันไดสีขาวอย่างชัดเจน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินหน้าต่อโดยไม่สนใจคนที่เหลือ รองเท้าสีดำของเขาย่ำลงบนดอกไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น ภูเขาซวีหมีสั่นสะเทือนเล็กน้อยทุกครั้งที่เขาก้าวเท้าราวกับมีของหนักตกลงบนพื้นดิน
สามเณรทุกคนรีบวิ่งออกมาจากที่ที่ตัวเองอยู่ แล้วมองไปที่ชายหนุ่ม
จากนั้น เสียงดังสนั่นก็พลันก้องอยู่ในอากาศ
ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังของชายหนุ่ม จากนั้นพวกมันก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่เมฆ พร้อมกวัดแกว่งกรงเล็บทำให้เมฆอันเงียบสงบกลายเป็นสีดำ พลังปีศาจอันรุนแรงกระจายไปทั่วบรรยากาศ
ฝูงปีศาจรวมตัวกันที่ยอดเขาซวีหมีอันมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง แล้วกระแทกร่างเข้าใส่ประตูแห่งพระอรหันต์
ภาพนี้…
มันเคยเกิดขึ้นเพียงแค่สองครั้งในพระพุทธศาสนา
ครั้งแรกคือตอนที่ตี้จวินของภพสวรรค์ชำระล้างทะเลเลือด และพาปีศาจฝูงใหญ่มาร่วมงานเลี้ยงของพระพุทธศาสนา
ครั้งที่สองก็ยังเป็นเพราะตี้จวิน ตอนนั้นเขาพรากร่างอรหันต์ไปจากสมเด็จ และยังทำลายโล่วัชระของพระพุทธศาสนาอีกด้วย
อรหันต์ที่นอนอยู่บนพื้นเคยได้ยินเรื่องเล่านั้นมาก่อน แม้ว่าเขาจะได้เป็นพระอรหันต์ช้ากว่าคนอื่นก็ตาม
ตามความเห็นของพระพุทธศาสนา การกระทำนั้นย่อมเป็นการดูหมิ่นอันสูงสุดสำหรับพวกเขา และยังเป็นบาปที่ไม่อาจให้อภัยได้!
ครืน!
เสียงฟ้าผ่าดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ภาพภาพนี้ควรเป็นสิ่งที่พบเห็นได้เพียงแค่ในนรกเท่านั้น แต่ตอนนี้มันกลับปรากฏขึ้นเหนือดินแดนพระพุทธศาสนา
อรหันต์ที่มีลำดับในพระพุทธศาสนาปรากฏตัวขึ้นจากก้อนเมฆของตัวเอง พวกเขามองเห็นหน้าตาของชายหนุ่มที่อยู่บนบันไดหินได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้มีเพียงแค่พลังปีศาจอันมหาศาลเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่ามีปีศาจยักษ์จากภูเขาปู้โจวบุกเข้ามา พวกเขายกมือขึ้นในแนวตั้งแล้วพึมพำว่า ’อมิตาพุทธ’ แล้วจึงเอ่ยว่า ”เจ้าปีศาจเอ๋ย ที่แห่งนี้คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะสามารถก่อความวุ่นวายได้! ในเมื่อเจ้าปฏิเสธที่จะรับฟังคำแนะนำของพวกเรา เช่นนั้นเราจะลงโทษเจ้าและส่งเจ้าไปที่ภพเดรัจฉาน เจ้าจะไม่มีวันได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์อีก”
ทันทีที่อรหันต์เหล่านั้นพูดจบ พวกเขาก็เริ่มรวบรวมแสงแห่งพระพุทธคุณเพื่อขับไล่เขาไปยังดินแดนที่พวกตนต้องการตามอำเภอใจ
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ขยับตัว ชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่บนบันไดหินก็เงยหน้าขึ้น พลังอันดำมืดของเขาดูปั่นป่วนอย่างมากขณะที่เขาเอ่ยขึ้นเหมือนเตือนว่า ”เจ้าคิดจะส่งข้าไปที่ภพเดรัจฉานหรือ ฝีมืออย่างเจ้าน่ะรึ”
อรหันต์ต่างตกใจ เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปในทันที!