หลงเหยียนรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่พุ่งเข้ามาจากทางด้านหลัง เขาหันหน้ากลับไปมอง พบว่าร่างหนึ่งกำลังเหวี่ยงหมัดมาที่ใบหน้าของตนอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เห็นทำให้เขาตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ออกแรงดึงหลงเหยียนอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาหลบการโจมตีนี้ไปได้อย่างฉิวเฉียด
เขามองคนผู้นั้นชัดๆ พบว่าเป็นเซียวปิงหลานนั่นเอง
เซียวปิงหลานยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเขา เมื่อหันไปเห็นหลงเอ้าอวีที่ร่างกายโชกไปด้วยเลือด เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาทันที
“เจ้าเป็นคนทำให้เขาบาดเจ็บเช่นนี้? เจ้าไม่รู้หรือไรว่าพวกข้าเป็นเพื่อนสนิทกัน?” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาไม่เห็นหลงเหยียนอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
หลงเหยียนไม่ตอบ ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกลับประกายไปด้วยแสงเฉียบคม เขาหันไปมองหญิงสาวพลางพูดขึ้น “เมื่อครู่นี้ขอบคุณ หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าอาจจะได้รับบาดเจ็บไปแล้ว”
หลังจากที่ได้เห็นความสามารถที่หลงเหยียนแสดงออกมา หญิงสาวที่เคยมีท่าทีดูหมิ่นก็กลับเปลี่ยนมาตกตะลึงแทน นางรู้ว่าผู้มาใหม่ไม่ได้มาดีแน่ จึงก็ทำให้นางรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของหลงเหยียนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“เจ้าหนุ่ม ถือว่าตัวเจ้าพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง ก็เลยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นข้าหรือ? ดีมาก แล้วข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าความตายมันเป็นเยี่ยงไร!”
ใบหน้าของเซียวปิงหลานบิดเบี้ยวเพราะความโกรธแค้น การกระทำของหลงเหยียนในวันนี้ทำให้เขารู้สึกฉุนเฉียวอย่างมาก ครั้งก่อน ในโรงสุราชิงเฟิง หากไม่ใช่เพราะหลงเหยียน เขาคงทำสำเร็จไปแล้ว จนตอนนี้เขายังจำหมัดนั้นได้ขึ้นใจ
ดูท่าวันนี้ เขาคงจากไปง่ายๆ ไม่ได้เสียแล้ว เขาไม่อยากมีเรื่องกับชายผู้นี้เลย อย่างไรเสีย อีกฝ่ายก็มีพลังระดับชีพมังกรขั้นที่สี่เลยทีเดียว แถมยังมีวิชาโจมตีที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซึ่งเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายแน่ๆ
“พี่… พี่หลาน ความจริงแล้ว พวกเราสองก็หาใช่มีความแค้นที่ยิ่งใหญ่อะไรต่อกันไม่ ปล่อยข้าไปเถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นกับหลงเอ้าอวีอย่างแน่นอน ดีหรือไม่?”
เดิมทีเขาก็ไม่ชอบหน้าหลงเหยียนอยู่แล้ว แต่ก่อนเขามักจะมีเรื่องกับหลงเหยียนทุกครั้งที่เจอหน้ากันเลยก็ว่าได้ มาตอนนี้ เขายังกล้ามาข่มขู่ตนแล้วพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นอีก ทั้งหมดนี้ทำให้เซียวปิงหลานกัดฟันกรอดด้วยความแค้นเคือง
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปหรือ อย่ามาใช้ไม้นี้กับข้า”
หลงเหยียนพบความลับที่หลงจ้านร่วมมือกับเซียวกงเป้าแล้ว ดังนั้นวันนี้ ไม่ว่าอย่างไรเซียวปิงหลานก็ต้องฆ่าหลงเหยียนให้จงได้ มิเช่นนั้น หากความลับนี้กระจายออกไป ตระกูลหลงต้องไหวตัวทัน แล้วหันมาระวังพวกเขาแน่
แววตาที่เซียวปิงหลานมองมาที่หลงเหยียนค่อยๆ แผ่รังสีสังหารออกมา
ระหว่างกำลังพูดคุย เซียวปิงหลานก็เดินเข้ามาใกล้หลงเหยียนอย่างช้าๆ พลังอำนาจที่แข็งแกร่งเข้ามาปกคลุมร่างกายของหลงเหยียนเอาไว้ บีบให้เขาก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่อง
“เป็นอย่างที่คิด พลังของเจ้าบ้านี่แข็งแกร่งจริงๆ”
เขาสามารถเอาชนะหลงเอ้าอวีได้ไม่ยาก แต่กับคนตรงหน้า ระดับพลังที่แตกต่างกันถึงหนึ่งระดับทำให้ความแข็งแกร่งของทั้งคู่แตกต่างกันมากเหลือเกิน ครั้งนี้ หลงเหยียนไม่จำเป็นต้องสร้างภาพว่ากล้าหาญหรือทำใจดีสู้เสืออีกแล้ว เพราะมันไร้ประโยชน์สิ้นดี
หลงเหยียนหันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยท่าทางจริงจัง “เจ้ารีบไปจากที่นี่เสีย ข้าจะรับมือกับพวกมันเอง เจ้าบ้านี่มันเป็นพวกบ้ากามขนาดหนัก”
พูดจบก็หันกลับไปมองเซียวปิงหลานด้วยแววตาดุดัน สายตาของทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน กำลังต่อสู้กันด้วยสายตาอย่างไม่มีใครยอมใคร
หลงเหยียนให้ตนหนีไปในเวลาเช่นนี้ ดูท่าเด็กหนุ่มคนนี้มีจิตใจดีไม่น้อย นั่นทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา
“คิดไม่ถึงเสียจริงๆ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน เจ้าก็กล้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้แล้ว” การกระทำของหลงเหยียนทำให้เซียวปิงหลานโมโหยิ่งขึ้น เขากัดฟันกรอดพลางพูดอย่างเคียดแค้น
แต่ไม่นานเขาก็ต้องชะงักฝีเท้าลงแล้วมองไปยังสตรีที่ยืนอยู่ข้างหลงเหยียนแทน
“แม่สาวคนนี้รูปโฉมไม่เลวเลย ให้นางมาปรนนิบัติข้าเถิด แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป วางใจได้ ข้ารับประกันได้ว่าจะไม่ทำร้ายนาง”
“ถ้าเจ้าคิดจะขืนใจนาง ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะปกป้องนางให้จงได้ ต่อให้ฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็ทำให้เจ้าเจ็บหนักได้แน่”
ในตอนที่คนทั้งสองกำลังจะเข้าปะทะกันอีกครั้ง จู่ๆ สตรีคนนั้นก็ก้าวมายืนบังหลงเหยียนเอาไว้ กลายเป็นผู้เผชิญหน้ากับเซียวปิงหลานแทน
“เจ้าอยากให้ข้าไปปรนนิบัติหรือ? ได้สิ ขอแค่เจ้ากล้าพอ!” หญิงคนนั้นสะบัดมือของหลงเหยียนออกไปจากแขน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาเซียวปิงหลานอย่างไร้ซึ่งความกลัว ร่างบางของนางแฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งพลังแสนพิเศษบางอย่าง ทำให้เซียวปิงหลานเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
ระหว่างก้าวเดิน แขนเนียนก็เผยออกมานอกแขนเสื้อ เผยให้เห็นรอยสักรูปดอกพลับพลึงสีแดงที่ท่อนแขนขาว
เซียวปิงหลานสะดุ้งตกใจ
“เจ้า… เจ้าเป็นคนของสำนักบงกชมาร?” เมื่อพูดถึงชื่อนี้ กลุ่มคนที่ยืนถือคบเพลิงอยู่เบื้องหลังหลงเอ้าอวีต่างก็สะดุ้งตกใจ ถอยห่างออกไปด้วยความหวาดกลัว
ว่ากันว่า สตรีในสำนักบงกชมารมีวิธีสังหารศัตรูที่เป็นเอกลักษณ์และน่าหวาดกลัวอยู่อย่างหนึ่ง คือพวกนางสามารถปลิดชีพศัตรูได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ แม้พลังที่หญิงคนนี้กระจายออกมาจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่เซียวปิงหลานเองก็ไม่กล้ารับประกันว่านางยังมีไม้ตายอื่นอีกหรือไม่
เซียวปิงหลานเก็บพลังกลับเข้ามา เขามองหลงเหยียนสลับกับสตรีคนนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปบอกกับหลงเอ้าอวีอย่างโกรธแค้น “หลงเหยียน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสมคบกับคนของสำนักบงกชมารเช่นนี้ วันนี้ถือว่าเจ้าโชคดีไป แต่ทางที่ดีก็อยู่กับนางให้ได้ทุกวันเล่า มิเช่นนั้น ข้าจะมาเอาชีวิตเจ้าแน่”
“พี่หลาน จะปล่อยพวกมันไปไม่ได้เด็กขาด!” หลงเอ้าอวีร้อนรนอย่างมาก แต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่จับไหล่ทั้งสองข้างไว้แน่น เซียวปิงหลานไม่ยอมเสี่ยงตายเพื่อเจ้าโง่นี่แน่นอน
“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้านี่จะอยู่กับนางได้ตลอดเวลา ถ้ามันกลับไปที่ตระกูลหลงเมื่อไร จงนำข่าวมาแจ้งข้าทันที แล้วข้าจะตามไปเอาชีวิตมันเอง”
พูดจบ ทั้งสองก็หนีหายไปอย่างรวดเร็ว…
หลงเหยียนถอนหายใจโล่งอก เขาทรุดลงไปนั่งกับพื้น ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะมีอันตรายหรอก แต่เป็นห่วงสตรีคนนี้ต่างหาก
คิดไม่ถึงว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้จะทำให้เซียวปิงหลานหวาดกลัวจนหนีไปเช่นนี้ เมื่อครู่อันตรายเสียจริง
“เซียวปิงหลาน ดูเหมือนความแค้นของเราจะเพิ่มมากขึ้นอีกขั้นแล้ว ตอนนี้ข้ามีพลังอยู่ในปลายระดับชีพมังกรขั้นที่สองแล้ว รอให้ข้าเลื่อนพลังขึ้นไปในขั้นที่สามก่อนเถิด เมื่อใดที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติของความเจ็บปวดไม่ต่างจากที่ข้าทำกับหลงเอ้าอวี การตายง่ายเกินไปสำหรับเจ้า ดูเอาไว้ ข้าจะทำให้เจ้าเจ็บปวดเยี่ยงตายทั้งเป็น”
เซียวกงเป้ากับหลงจ้านรู้แล้วว่าหลงเหยียนรู้ความลับของพวกเขา ดังนั้น ที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับหลงเหยียนก็เหลือเพียงตระกูลหลงเท่านั้น
“มองอะไรนักหนา ขืนยังมองอีก ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”
หลงเหยียนไม่รู้เลยว่าหญิงตรงหน้าได้ตายจากไปแล้ว ทว่าตอนนี้ สิ่งที่ควบคุมร่างกายของนางอยู่เป็นดวงวิญญาณเทพที่แสนแกร่งซึ่งมีนามว่าหลงหลิงต่างหาก เจ้าของร่างที่แท้จริง มีนามว่าไป๋รั่วอีนั่นเอง
หลงหลิงยังไม่อยากบอกความจริงเรื่องนี้กับเขา
หลงเหยียนพูดอย่างตกตะลึง “เจ้าเป็นคนพูดตรงเช่นนี้อยู่แล้วหรือ ดูเหมือนพวกเราจะข้ามขั้นตอนกันไปสักหน่อย ข้ายังไม่รู้เลยว่าแม่นางชื่ออะไร”
“ข้าหรือ… ข้าชื่อไป๋รั่วอี ตอนนี้ข้ากลับสำนักบงกชมารอะไรนั่นไม่ได้แล้ว ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะทำเช่นไรกับข้า” หลงหลิงปรายตามองหลงเหยียน
วันต่อมา ณ เมืองมังกร เมื่อหาที่พักให้ไป๋รั่วอีและพานางเข้าพักเรียบร้อยแล้ว หลงเหยียนจึงกลับไปที่บ้านของตน อยากรู้ว่าหลงจ้านมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง เขาต้องรีบนำเรื่องนี้ไปบอกท่านพ่อให้เร็วที่สุด
แต่หอรวมจิตกลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คน นั่นทำให้หลงเหยียนร้อนใจยิ่งขึ้น จนกระทั่งตอนบ่าย ในที่สุดหลงเหยียนก็หาท่านพ่อเจอ น่าเสียดายที่หลงจ้านตามประกบท่านพ่อตลอดเวลา ทำให้หลงเหยียนไม่มีโอกาสพูดเรื่องนี้เสียที
ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ศึกษาวิชากายสุริยะอย่างละเอียดเสียก่อน
…
คัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่า หากผสานพลังแห่งหยางที่แท้จริงได้ ผู้ฝึกจะดูดพลังแห่งหยางเข้ามาในตัวและใช้มันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแก่ร่างกายได้ เมื่อถึงตอนนั้น ผู้ฝึกได้ครองพลังแห่งหยางที่แท้จริง สามารถเอาชนะสรรพสิ่งในโลก สังหารเทพเจ้า และดูดซับแสงตะวันไปเป็นพลังได้
คัมภีร์วิชากายสุริยะไม่มีการแบ่งลำดับขั้น หรือบ่งบอกว่าเป็นวิชาระดับใด คาดว่าน่าจะเป็นวิชาที่ล้ำค่าและหาได้ยากทีเดียว โชคยังดีที่แม่นางไป๋รั่วอีไม่สามารถฝึกวิชานี้ได้ นางถึงมอบให้ตนเช่นนี้ ถือว่าทั้งสองมีวาสนาต่อกันไม่น้อย
ใต้แสงตะวันยามบ่าย หลงเหยียนไม่กล้าชะล่าใจ รีบไปฝึกฝนวิชากายสุริยะตามขั้นตอนในคัมภีร์ที่ลานฝึกของตระกูลหลงเพียงลำพัง ด้วยหวังว่าจะบรรลุในเร็ววัน
เป็นอย่างที่คิด หลังขับเคลื่อนพลังปราณตามขั้นตอนที่บันทึกเอาไว้ในคัมภีร์ หลงเหยียนก็สามารถดูดซับพลังแห่งหยางซึ่งเป็นพลังจากดวงตะวันได้ ทั้งยังส่งให้พลังนั้นเคลื่อนไหวไปตามร่างกายได้อย่างราบรื่นและคล่องแคล่วมากขึ้นเรื่อยๆ
——————–