ตอนที่ 853 รอยฟกช้ำที่แขน
เจียวอิงจวิ้นเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลินม่ายฟัง
มันสืบเนื่องจากตอนที่หัวหน้าผู้รับเหมาหูถูกจับได้คาหนังคาเขา ว่าเขาขโมยวัสดุและแอบสับเปลี่ยนวัสดุด้อยคุณภาพมาใช้แทน
ต่อมาหลินม่ายยึดเงินมัดจำและไล่เขาออกจากโครงการที่อยู่อาศัยของครอบครัวนายธนาคาร
หัวหน้าผู้รับเหมาหูเที่ยวป่าวประกาศเรื่องแย่ ๆ เกี่ยวกับหลินม่ายและว่านถงกรุ๊ปไปทั่วทุกหนแห่ง
กล่าวหาว่าหลินม่ายโหดร้ายและไร้ปรานี บ้านที่เขารับผิดชอบมีปัญหาบางอย่าง ดังนั้นเขาควรได้รับโอกาสให้ปรับเปลี่ยนบ้านที่มีปัญหาขึ้นใหม่
แต่เธอกลับยึดเงินประกันทั้งหมด มันเป็นแค่ข้ออ้างในการกอบโกยเงิน!
นอกจากนี้เขายังสนับสนุนให้ผู้รับเหมารายอื่นถอนตัวออกจากโครงการที่อยู่อาศัยของพนักงานธนาคาร เพื่อให้โครงการของเธอล่ม
ทว่าไม่มีผู้รับเหมารายใดที่บ้าจี้ทำตามเขา
โรงงานของหน่วยงานรัฐแห่งอื่นฟังหัวหน้าผู้รับเหมาหูและรู้สึกว่าว่านถงกรุ๊ปมีมโนธรรมมาก พวกเขาไม่เคยได้ยินว่ามีบริษัทไหนให้ทำการก่อสร้างซ้ำเมื่อพบปัญหาด้านคุณภาพแม้เพียงเล็กน้อยกับตัวบ้าน
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างเกือบทั้งหมดพยายามอย่างเต็มที่ที่จะตัดมุมและใช้วัสดุคุณภาพด้อยกว่าเพื่อสร้างรายได้จากส่วนต่าง
จะมีบริษัทไหนบ้างที่ยึดมั่นในความปลอดภัยของบ้านมาเป็นอันดับแรกเหมือนกับว่านถงกรุ๊ป
นั่นเป็นเหตุผลที่สองหน่วยงานหลักของรัฐคิดที่จะมอบโครงการสร้างที่พักอาศัยบุคลากรให้กับว่านถงกรุ๊ป
เจียวอิงจวิ้นกล่าวเย้ยหยัน “หัวหน้าผู้รับเหมาหูพยายามใส่ร้ายป้ายสี แต่มันกลับตาลปัตร ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
หลินม่ายคิดกับตัวเอง มันจะเป็นอะไรไปได้อีก แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่น่ายินดี!
เธอพูดกับเจียวอิงจวิ้นว่า “สองหน่วยงานรัฐที่คุณพูดถึงคือหน่วยงานไหนกัน? ฉันกำลังคิดว่าจะเชิญผู้นำของหน่วยงานของรัฐทั้งสองมารับประทานอาหารเย็นแยกกันในอีกสองถึงสามวันข้างหน้า และทำสัญญากับพวกเขา”
ในความเป็นจริงเจียวอิงจวิ้นสามารถทำงานเหล่านี้ได้
แต่หลินม่ายต้องการพบกับผู้นำทั้งสองด้วยตัวเอง เพื่อยืนยันว่ามันไม่ใช่การหลอกลวง
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ แม้ว่ารัฐวิสาหกิจทั้งสองแห่งนี้ตั้งใจจะมอบโครงการให้กับว่านถงกรุ๊ป แต่ราคาเสนอมักต่ำเกินไปและแทบไม่เพียงพอสำหรับโครงการ
หลินม่ายต้องการพบกับผู้นำของหน่วยงานรัฐทั้งสองแห่งเพื่อต่อรองราคา
เจียวอิงจวิ้นพยักหน้าตอบรับ บอกเธอว่าหนึ่งในรัฐวิสาหกิจคือกรมไปรษณีย์ และอีกหน่วยงานหนึ่งคือกรมรถไฟ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานเป็นหน่วยงานที่มีกำไรดี
ผลประโยชน์เป็นสิ่งดี แต่หลินม่ายยังไม่อยากพูดอะไร
หลังจากที่ทุกคนพูดจบ เสิ่นเสี่ยวผิงรายงานปัญหาของร้านขายถุงเท้าเจียเหม่ยให้แก่หลินม่าย
เมื่อวานผู้อำนวยการหวังของร้านขายถุงน่องเจียเหม่ยได้โทรหาเธอ และแจ้งว่าตัวแทนขายจากบริษัทที่ชื่อว่าร้านขายถุงน่องฮวาอวิ้นพยายามอย่างไร้ยางอายที่จะฉกฉวยโอกาสทางธุรกิจไปจากร้านขายถุงน่องเจียเหม่ย
หลินม่ายถาม “พวกเขาทำเรื่องไร้ยางอายอย่างไร?”
“ผู้อำนวยการหวังแจ้งว่า ตัวแทนขายจากร้านขายชุดชั้นในฮวาอวิ้นกำลังเฝ้าอยู่หน้าประตูโรงงานเจียเหม่ย ทันทีที่มีคนมาเจรจาธุรกิจ พวกเขาจะสกัดกั้นและฉวยโอกาสไป
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงเข้าไปขับไล่พวกเขาออกไป แต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะโดนตัวพวกเขา พวกเขาก็ตะโกนเสียงดังบอกว่าถูกคนทุบตี
ตัวแทนฝ่ายขายดูเหมือนจะใช้กลยุทธ์ล่อลวงเหยื่อ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าเป็นของจริงหรือเป็นเพียงการกระทำ
ด้วยจมูกฟกช้ำและหน้าบวมเป่ง เขาวิ่งไปแจ้งตำรวจโดยบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเราตีเขา
แม้ว่าการสืบสวนของหน่วยงานความมั่นคงสาธารณะจะสืบหาความจริงเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ทว่าก็น่าวิตกกังวลเกินไป
เราไม่สามารถแตะต้องหรือจับตัวแทนขายจากร้านขายถุงน่องฮวาอวิ้นได้ และทำได้เพียงดูพวกเขาปล้นโอกาสธุรกิจของเราไป”
ใบหน้าหลินม่ายเริ่มเคร่งเครียด “พวกเขาปล้นไปเท่าไหร่แล้ว?”
เสิ่นเสี่ยวผิงส่ายหัว “ผู้อำนวยการหวังไม่ได้บอกฉันค่ะ”
แม้ว่าร้านขายถุงน่องฮวาอวิ้นจะทำเกินไป แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีการที่ดีในการจัดการพวกเขาเลย
ส่งคนไปจับตัวแทนขายร้านขายถุงน่องฮวาอวิ้นมาใส่กระสอบ?
หากไม่มีกระสอบ ตัวแทนขายคนนั้นอาจกล่าวโทษเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่าอีกฝ่ายทุบตีเขา
หากจับเขามาใส่กระสอบ ตัวแทนขายร้านขายถุงน่องฮวาอวิ้นจะยอมแพ้หรือ?
คงไม่เหมาะนักที่จะใช้กลวิธีดังกล่าว
หรือว่าจะต้องตัดช่องทางการซื้อวัตถุดิบของอุตสาหกรรมร้านขายถุงน่องฮวาอวิ้น เพื่อให้พวกเขาไม่สามารถผลิตสินค้าได้?
แต่มันก็ฟังดูเป็นไปได้ยาก
ขณะนี้มีผู้ผลิตจำนวนมากในกว่างโจวกำลังจัดหาวัตถุดิบสำหรับการผลิตถุงเท้า
หากผู้ผลิตรายนี้ถูกขัดขวางไม่ให้จัดหาวัตถุดิบให้ร้านขายถุงน่องฮวาอวิ้น ผู้ผลิตทุกรายจะยอมหยุดจัดหาวัตถุดิบให้พวกเขาหรือ?
หลินม่ายครุ่นคิดครู่หนึ่งและพูดว่า “ให้ประธานเจิ้งจัดคนไปตรวจสอบร้านขายถุงน่องฮวาอวิ้นเพื่อดูว่าพวกเขามีเรื่องอื้อฉาวหรือไม่ หากพบเจอเรื่องอื้อฉาวให้รายงานไปยังแผนกที่เกี่ยวข้องทันที ทำการตรวจสอบ และทำให้อีกฝ่ายต้องหยุดการผลิต”
ในบริษัทที่ไร้จรรยาบรรณเช่นนี้ เจ้าของบริษัทคงไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน และต้องมีเรื่องอื้อฉาวจำนวนมาก
ตราบใดที่พวกเขาขุดคุ้ยเรื่องอื้อฉาวของบริษัทนี้ การจัดการจะไม่ใช่เรื่องยากเข็ญ
หลังจากการประชุม เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายโทรหาหวังคุนผิงและถามว่าตัวแทนขายร้านขายถุงน่องฮวาอวิ้นตัดหน้าแย่งชิงธุรกิจของเราไปเท่าไหร่แล้ว
หวังคุนผิงแค่นเสียงกลับมาอย่างเย็นชา “ร้านขายถุงน่องฮวาอวิ้นก็แค่ของลอกเลียนแบบ แต่เราเป็นถุงเท้าระดับไฮเอนด์ ต่อให้ลอกเลียนแบบถุงเท้าของเรา แต่คุณภาพก็แย่มาก จนลูกค้าที่พวกเขาแย่งไปไม่พึงพอใจ เราโดนแย่งลูกค้าไปไม่มาก ทว่าวิธีการของพวกมันน่าขยะแขยงเกินไป”
หลินม่ายรู้สึกโล่งใจ
บอกเขาให้ลงข่าวในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการประกวดออกแบบถุงเท้า
ผู้เข้าร่วมไม่จำกัดวุฒิการศึกษาและอายุ ทุกคนสามารถสมัครเข้าร่วมได้
รางวัลที่ 1 เงินรางวัล 5,000 หยวน
รางวัลที่ 2 จำนวน 2 รางวัล เงินรางวัล 3,000 หยวน
รางวัลที่ 3 เงินรางวัล 1,000 หยวน
ผู้ชนะจะไม่เพียงได้รับเงินรางวัลเท่านั้น แต่ยังได้รับการว่าจ้างจากร้านขายถุงน่องเจียเหม่ยด้วยเงินเดือนที่สูงอีกด้วย
จุดประสงค์ของหลินม่ายในการทำเช่นนี้คือ เพื่อค้นหานักออกแบบผู้มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมสำหรับร้านขายถุงน่องเจียเหม่ย
เธอไม่สามารถออกแบบถุงเท้าด้วยตัวเองตลอดเวลา
ถุงเท้าที่เธอออกแบบล้วนเป็นสไตล์ถุงเท้าที่เธอลอกเลียนแบบมาจากชีวิตที่แล้ว วันหนึ่งการออกแบบอันยอดเยี่ยมนั้นจะต้องหมดไป
เธอจึงต้องวางแผนล่วงหน้า และเปิดรับสมัครนักออกแบบถุงเท้าผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงสัก 2 ถึง 3 คนผ่านการแข่งขัน และมอบความไว้วางใจให้พวกเขาทำงานออกแบบถุงเท้าในอนาคต
วันรุ่งขึ้น เจียวอิงจวิ้นบอกหลินม่ายว่า เขาได้ทำการนัดหมายสำหรับอาหารค่ำกับผู้นำสองคนของกรมไปรษณีย์และกรมรถไฟแล้ว
ประเทศจีนให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมบนโต๊ะอาหาร
หลินม่ายกำลังตั้งครรภ์และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ และถึงแม้จะไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่เธอก็ไม่ชอบดื่ม
เธอถามเจียวอิงจวิ้นว่าเขายินดีดื่มแทนได้ไหม
เธอดื่มไม่ได้ จึงต้องให้ลูกน้องของตัวเองดื่มกับผู้นำทั้งสองแทน
เจียวอิงจวิ้นพูดด้วยความเขินอาย “ผมคอไม่แข็ง และคงเมาหลังจากดื่มแค่สองแก้ว”
หลินม่ายต้องโทรศัพท์เพื่อถามเสี่ยวหม่านว่าหล่อนมาที่เมืองหลวงได้หรือไม่ และขอให้หล่อนเกลี้ยกล่อมผู้นำทั้งสองของหน่วยงานรัฐให้ดื่ม
ยิ่งอีกฝ่ายดื่มมากเท่าใด เงินโบนัสที่หล่อนจะได้รับก็มากขึ้นด้วย
เสี่ยวหม่านตอบรับด้วยความยินดี และมาถึงเมืองหลวงหนึ่งวันก่อนถึงวันนัดหมาย
อาคารค่ำมื้อแรกเป็นการให้ความบันเทิงกับหัวหน้าถงจากกรมไปรษณีย์
หลินม่ายเพียงขอให้เสี่ยวหม่านเกลี้ยกล่อมหัวหน้าถงให้ดื่ม กระทั่งเขาเริ่มเมามาย และบางทีเธออาจจะต่อรองราคากับเขาได้สำเร็จ
เสี่ยวหม่านมอบความบันเทิงบนโต๊ะอาหารได้ดีกว่าเจียวอิงจวิ้นและคนอื่นๆ ไม่เพียงเก่งด้านการเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายดื่มสุรา แต่ยังพูดคำเยินยอให้อีกฝ่ายหลงใหลได้ปลื้ม
หัวหน้าถงชื่นชอบคำเยินยอของหล่อนมาก ก่อนที่จะรับประทานอาหารเสร็จ เขาก็ได้เจรจาต่อรองราคากับหลินม่ายเรียบร้อยแล้ว
หลินม่ายพอใจมากกับราคาต่อรอง
หลังมื้ออาหารค่ำจบลงด้วยดี คนกลุ่มหนึ่งก็เดินออกจากห้อง
ทันทีที่เดินออกจากห้อง พวกเขาพลันเห็นหัวหน้าผู้รับเหมาหูที่ไม่ต่างจากขันที กำลังพยักหน้าและโค้งคำนับให้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการผู้ลงพุง ก่อนเดินเข้าไปยังห้องส่วนตัวอีกห้องหนึ่งภายใต้การนำของบริกร
เนื่องจากมันเป็นทางเดินที่แคบ หัวหน้าผู้รับเหมาหูอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักชั่วคราว
เขาเหลือบมองหัวหน้าถงที่อยู่ด้านข้างเสี่ยวหม่านด้วยสีหน้ามืดมน
หลินม่ายไม่แม้แต่จะสบตาเขา และทิ้งรอยยิ้มเหยียดหยันที่มุมปาก
เสี่ยวหม่านสังเกตเห็นสายตาที่จ้องมองมาอย่างไม่เป็นมิตรของหัวหน้าผู้รับเหมาหู เธอหันมองไปทางนั้น ก่อนจะตกใจกับสายตาอันน่ากลัวของเขา
หลังจากออกจากภัตตาคารและส่งหัวหน้าถงขึ้นรถ หล่อนตอบถามหลินม่ายเสียงเบา “คุณมีความแค้นเคืองกับผู้ชายคนเมื่อกี้หรือเปล่า?”
หลินม่ายรู้สึกสับสน “คนไหน?”
“ก็ชายวัยกลางคนตัวเตี้ยหน้าตาเหมือนหมูที่เพิ่งเดินผ่านมาเมื่อครู่”
คำพูดของเสี่ยวหม่านอธิบายรูปลักษณ์ของหัวหน้าผู้รับเหมาหูได้อย่างชัดเจน
พูดให้ถูกเขาเหมือนกับปีศาจหมูต่างหาก
หลินม่ายหัวเราะเล็กน้อย “ใช่แล้ว มีอะไรหรือเปล่า?”
“เมื่อครู่เขามองคุณด้วยสายตาชั่วร้ายมากเลยค่ะ” เสี่ยวหม่านพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
หลินม่ายไม่ได้ใส่ใจ และตอบเสียงเบา “ปล่อยเขาไปเถอะ”
ไม่ว่าเขาจะจ้องมองด้วยสายตาที่ชั่วร้ายเพียงใด เธอก็ไม่ยอมลดตัวไปเล่นเกมกับเขาอีก
อีกฝ่ายก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า หัวหน้าผู้รับเหมาไร้ความสามารถที่เกลียดชังเธอ แต่ไม่สามารถทำอะไรเธอได้
เมื่อขอเสี่ยวหม่านให้มาครั้งนี้ หลินม่ายไม่ได้ให้เธอพักในโรงแรม แต่ชวนให้ไปพักที่บ้านแทน
ทั้งสองบอกลาเจียวอิงจวิ้นและคนอื่น ๆ ที่ทางเข้าภัตตาคาร
เสี่ยวหม่านเดินตามหลินม่ายไปยังทิศทางที่เธอจอดรถ
ขณะที่เดินไปด้วยกัน เสี่ยวหม่านกระซิบถาม “ทำไมคุณกับไอ้หน้าหมูนั่นจึงเป็นศัตรูกันได้ล่ะ?”
หลินม่ายเล่าเรื่องทั้งหมดให้หล่อนฟังเพียงไม่กี่คำ
เสี่ยวหม่านถกแขนเสื้อขึ้นและทำท่าเหมือนกำลังจะไปหาเรื่อง “ฉันจะไปหาไอ้หน้าหมูคนนั้นเดี๋ยวนี้ค่ะ เขาเป็นคนผิดเอง กล้าดียังไงที่ได้มาโทษคุณแบบนี้ ฉันจะทุบตีเขาเอง!” หลังจากพูดจบ หล่อนก็หันหลังกลับเพื่อจะเดินกลับเข้าไปในภัตตาคาร
“นี่ ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่หน่อยสิ หุนหันพลันแล่นไปได้” หลินม่ายแทบพูดไม่ออก ก่อนรีบหันไปคว้าแขนของเสี่ยวหม่าน
แต่เธอเหลือบไปเห็นรอยฟกช้ำหลายแห่งบนแขนท่อนเล็ก ซึ่งมันเห็นได้ชัดเจนแม้จะอยู่ใต้แสงไฟถนน
หลินม่ายขมวดคิ้วและรีบคว้าแขนอีกข้างของเสี่ยวหม่านขึ้นมา ซึ่งมันมีรอยฟกช้ำที่เห็นได้ชัดอยู่หลายจุดเช่นกัน
“เธอไปได้รอยฟกช้ำบนแขนมาได้ยังไง?”
ไม่ควรเป็นฝีมือของหลี่หมิงเฉิง เพราะเขาเป็นชายหนุ่มซื่อตรงและอารมณ์ดีเสมอ
ในความสัมพันธ์ของทั้งสอง มีเพียงเสี่ยวหม่านเท่านั้นที่รังแกเขาได้ ขณะที่เขาทำอะไรเธอไม่ได้เลย รอบฟกช้ำดำเขียวพวกนี้จะต้องเป็นฝีมือของคนอื่นเป็นแน่
ความตื่นตระหนกฉายผ่านดวงตาเสี่ยวหม่านชั่วขณะ หล่อนรีบดึงแขนกลับอย่างแรงและดึงแขนเสื้อมาปิด
หล่อนมองหลินม่ายด้วยสีหน้าซีดเซียว “คุณอ้างว่าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง เป็น CEO ใหญ่ แต่คุณกลับทำตัวเหมือนคุณไม่เคยเห็นโลกมาก่อน เอาแต่ยุ่งกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไปได้”
“มันใช่เรื่องเล็กน้อยซะที่ไหน? เห็นอยู่ว่าแผลฟกช้ำใหญ่มาก เพียงพอที่จะทำให้สมองของเธอกระทบกระเทือน” หลินม่ายกล่าวอย่าเคร่งขรึม “บอกฉันมา มันเกิดอะไรขึ้น”
“ก็ได้ ขึ้นรถก่อนค่อยคุยกันเถอะค่ะ ข้างนอกนี้หนาวมาก” เสี่ยวหม่านผลักหลินม่ายเข้าไปในรถอย่างระมัดระวัง
เธอรอกระทั่งเสี่ยวหม่านเข้ามานั่งตรงเบาะผู้โดยสาร
หลินม่ายจึงสตาร์ทรถและถามว่า “ทีนี้เธอบอกมาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใครทำอะไรเสี่ยวหม่าน จะใช่หลี่หมิงเฉิงจริงๆ เหรอ
ไหหม่า(海馬)