พอได้สติอีกที ฉันก็กำลังนั่งคุดคู้อยู่ในรถไฟเสียงดังจอแจ แล้วก็มีสัมผัสอุ่นๆ นุ่มๆ อยู่ที่หลังของฉันด้วย
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรนะ โซราโอะ พวกเรากลับมาแล้ว”
โทริโกะบอกฉันเบาๆ ที่ข้างหู
“ฉันอยู่นี่นะ ไม่เป็นไร พวกเราอยู่ด้วยกันแล้วนะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี่แล้ว ฉันคุกเข่ากับพื้น เอามือคว้าราวเหล็กที่ข้างประตูประคองร่างตัวเองเอาไว้ และก็โทริโกะที่กอดฉันอยู่จากข้างหลัง
ฉันหันกลับไปมองข้างหลังอย่างลังเล ก็เห็นหน้าของโทริโกะอยู่ตรงนั้น เธอมองกลับมาหาฉันพร้อมกับรอยยิ้มโล่งอก โดยที่ไม่ได้สนใจผมเผ้ากะเซอะกะเซิงที่ห้อยมาบังตรงหน้าสวยๆ ของเธอเลย
“ที่นี่คือ…?”
พอฉันมองผ่านตัวโทริโกะไป ก็เห็นผู้โดยสารหน้าตาเหนื่อยอ่อนคนอื่นๆ ที่ย่นคิ้วกันอย่างหงุดหงิด และอยู่ห่างจากพวกเรากัน
กลับมาได้แล้ว
พอได้เข้าใจแล้ว อาการเกร็งทั่วทั้งร่างกายก็หายไป ถ้าฉันไม่ได้เกาะเสาเหล็กพยุงตัวเองอยู่แบบนี้ ฉันคงล้มก้นจ้ำเบ้าไปแล้ว โทริโกะช่วยพยุงตัวฉันเอาไว้ ฉันก็เลยไม่ล้มล่ะนะ
“โซราโอะ… โล่งอกไปที”
โทริโกะเอื้อมมือมาจับที่หน้าของฉัน ใช้มือขวาของเธอที่ถอดถุงมือออกนั่นปาดตรงใต้ตาของฉัน ฉันก็เลยเพิ่งรู้เลยว่าตอนนี้แก้มทั้ง 2 ข้างฉันมันเปียกไปหมดเลย
*สถานีต่อไป สวนสาธารณะชาคุจิอิ ประตูจะเปิดออกทางด้านขวา*
เสียงลำโพงของรถไฟก็ประกาศออกมา
สถานีที่ใกล้บ้านของคุณโคซากุระสุดนี่นา
“ยืนไหวมั้ย?”
โทริโกะถาม ซึ่งฉันก็พยักหน้าตอบไป
“ไหวอยู่… ฉันเดินเองได้”
ตอนนี้ อย่างน้อย พวกเราก็กลับมาจากโลกเบื้องหลังได้แล้ว เรื่องต่อไปที่ต้องเป็นห่วงก็คือคุณโคซากุระ พอฉันจำบทสนทนาน่าสยองขวัญที่ได้ยินทางโทรศัพท์นั่นขึ้นมาได้ เรี่ยวแรงก็กลับมาที่ขาที่ยังสั่นผับๆ ของฉันแล้ว
พวกเราลงจากรถไฟ แล้วก็เดินตรงไปที่บ้านของคุณโคซากุระจากที่นั่น เราเปิดประตูหน้าออก แล้วก็ถือวิสาสะเข้ามาเลย โทริโกะวิ่งลึกเข้าไปในตัวบ้าน ฉันก็ตามเธอเข้าไป ใจร้อนเกินจนไม่ได้ถอดรองเท้าก่อนเลยด้วยซ้ำ
พอเธอเปิดประตูห้องของคุณโคซากุระออกเต็มแรง พวกเราก็นิ่งอึ้ง ยืนกันอยู่ที่ปากประตูห้องนั่นแหละ
“…มีอะไร?”
คุณโคซากุระหันกลับมามองพวกเราอย่างหงุดหงิดจากตรงที่เธอนั่งหันหน้าเข้าโต๊ะของเธอ ล้อมรอบไปด้วยหนังสือและขยะกองจำนวนมาก แสงโทนเย็นที่ฉายออกมาจากหน้าจอที่ติดตั้งอยู่หลายจอ แก้วที่มีโค้กอุ่นอยู่เต็มตั้งอยู่บนที่รองแก้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนที่มาหาเธอเท่าไหร่เลย
“ม- ไม่เป็นไรนะ?”
“จะเป็นอะไรได้ยังไงล่ะ?”
“ก็เธอพูดเรื่องแปลกๆ น่ะสิ”
“หา?”
โทริโกะถามเธออย่างงุนงง ในขณะที่ทางคุณโคซากุระก็มองพวกเราอย่างสงสัย
“พวกเธอพูดเรื่องอะไรกันเนี่ย? พวกเธอนั่นแหละไม่เป็นไรใช่มั้ย? นี่ไปเล่นยากันมารึไง?”
หลังจากที่ทนไม่ไหวแล้ว ฉันก็ขัดขึ้นมา
“คือ พวกเราเพิ่งโทรคุยกันใช่มั้ยคะ?”
“โทร―นั่นพวกเธอเหรอ? เล่นแผลงๆ กันไม่เข้าท่าเลยนะ”
“เล่นแผลงๆ?”
“เฮ่ อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้น่ะ? โซราโอะจัง ฉันหวังว่าเธอจะไม่ได้เล่นยาแปลกๆ อะไรไปด้วยอีกคนนะ”
คุณโคซากุระหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะ จิ้มอะไรอยู่นิดหน่อย ก่อนที่คลิปเสียงที่อัดเอาไว้จะเริ่มเล่น
‘…-ามรางกลับไป พวกเราเห็นแต่ทุ่งราบกับภูเขาเลยค่ะ… พวกมันเป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้ว’
‘ผิดพลาด… กับดัก มันอาจจะปลอดภัยกว่าก็ได้…’
‘ปัญหาเยอะแยะไปหมด ทั้งกลัวทั้งรู้สึกผิดเลย’
‘รู้ได้ยังไงว่าเป็นตาแก่ ทั้งที่เขามีขาแค่ขาเดียว?’
‘พึมพำอะไรไม่รู้เรื่องเลย…’
‘…จบแค่นี้’
ฟังให้รู้เรื่องจากเสียงสัญญาณขาดนี่ก็ยากแล้ว แต่คนที่ผลัดกันพูดเรื่องไม่รู้เรื่องพวกนั้น คือฉันกับโทริโกะแน่ๆ
“นั่นมันใช่บทสนทนาหรือไง?”
คุณโคซากุระถาม
ฉันกับโทริโกะก็พูดอะไรกลับไปไม่ออกเลย ทำได้แค่หันมามองหน้ากันอย่างงงๆ เท่านั้นเอง
พวกเราเงียบกันอยู่แบบนั้น ทุกอย่างที่พวกเราได้ยินก็คือเสียงของรถไฟที่ดังอยู่ไกลๆ ก็เท่านั้น