ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง – ตอนที่ 42

ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

พันตรีรับฟังข่าวเรื่องที่ว่าพวกเรามาช่วยพวกเขาด้วยท่าทางไม่ไว้วางใจ ซึ่งมันก็แน่อยู่แล้วล่ะนะ แต่พอฉันบอกเขาว่าฉันสามารถมองเห็นกลิทช์ได้―หรือของที่พวกเขาเรียกกันว่า [แบร์แทรป] นั่นแหละ―สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเลย

 

“Is it true? (จริงเหรอ?) If it is, it change the situation entirely. [size=10pt](ถ้าเป็นแบบนั้น มันจะพลิกสถานการณ์จากหลังมือเป็นหน้ามือเลยนะ)”

“We can escape, Major. (เราสามารถออกไปได้แล้วครับ พันตรี)”

 

ร้อยโทพูดพร้อมกับไฟที่ลุกโชน ตอนที่พวกเราเจอกันที่รางรถไฟ ร้อยโทก็ขอให้ฉันแสดงความสามารถนี้ให้ดูแล้ว ดูเหมือนพันตรีจะยังสามารถสงบใจได้อยู่นะ; เขาเอามือเท้าบนโต๊ะ นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้

บนโต๊ะตอนนี้คือแผนที่บริเวณโดยรอบที่พวกเขาสามารถรวบรวมกันมาได้ แม้จะต้องแลกด้วยความสูญเสียไปก็ตาม บนแผนที่ที่มีเส้นตารางเป็นอย่างดีนี่ แสดงภาพของรางรถไฟที่ตัดผ่านทุ่งโล่งไปที่สถานีรถไฟเอาไว้ แล้วก็มีแนวตั้งรับเขียนเอาไว้ด้วย

เอนทรีพ็อยต์ในทางทฤษฎีของพวกเขา―เกทที่พวกเขาหลงเข้าไประหว่างการฝึกภาคสนาม―ถูกกะประมาณเอาไว้โดยคร่าวๆ ประมาณ 5 กิโลเมตรจากที่นี่ มันก็แค่ 5 กิโลเมตรเท่านั้นแหละ แต่พอรวมปัจจัยเรื่องทุ่งระเบิดล่องหนเข้าไปด้วยแล้วเนี่ย 5 กิโลเมตรที่ว่านี่มันก็ดูไกลลิบจนดูสิ้นหวังขึ้นมาเลย

พันตรีนิ่งคิดอยู่ซักพัก ก็จะหันขวับ จ้องที่ฉันกับโทริกะด้วยสายตาคมกริบ

 

“พวกเธอเอาข่าวดีมากมาให้พวกเราเลย ถ้ามันเป็นความจริง ก็ไม่มีหน่วยรบทีมไหนที่พึ่งพาได้เท่าพวกเธอแล้ว แต่ ฉันมีคำถามแค่ข้อเดียว: ทำไมเธอถึงไม่บอกกับพวกเราตั้งแต่ครั้งก่อนที่เจอกัน?”

“เออ… ค่ะ เรื่องนั้น”

 

เป็นคำถามที่ดีเลยล่ะ โดยเฉพาะที่มันมาจากผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบชีวิตของลูกน้องทุกคน ตอนที่ฉันอึกอัก ไม่รู้จะตอบยังไง โทริโกะก็ตัดบทเอาห้วนๆ เลย

 

“ตอนนั้น ทุกคนหวาดระแวงกันมาก ถ้าเราพูดอะไรไม่เข้าหูออกไป ไม่ใช่ว่าพวกคุณจะยิงพวกเราตอนนั้นเลยเหรอ”

“เราไม่ทำแบบนั้นหรอก-…”

 

พันตรีเริ่มจะพูดแบบนั้น แล้วก็มองไปที่ร้อยโท

 

“…อ่า อาจจะมีความเสี่ยงแบบนั้นอยู่นั่นแหละ”

 

เขาสูดหายใจเข้าลึก แล้วก็หลับตาสงบนิ่ง

 

“นั่นก็จริง เธอพูดถูก ขอโทษด้วย ถ้าพวกเธอกลับมาที่นรกนี่เพื่อช่วยพวกเรา ฉันก็ไม่รู้ว่าจะขอบคุณพวกเธอยังไงแล้ว”

“ยอดเลยค่ะ แต่จริงๆ เรามีเรื่องอยากจะขอเป็นการตอบแทนหน่อยนะคะ”

 

ฉันรู้สึกลำบากใจอยู่เรื่องการขอโทษของเขา ฉันเลยเผลอพูดออกไปแบบนั้น

 

“ฉันไม่คิดว่าพวกเราอยู่ในจุดที่จะให้อะไรพวกเธอได้มากขนาดนั้นล่ะนะ แต่ก็ขอมาได้เลย”

“จริงเหรอคะ!? งั้น ขอปืนได้หรือเปล่าคะ?”

“ปืน…?”

“ค่ะ แล้วก็ กระสุนด้วย ถ้าพอมีแบ่งได้ก็ขอหน่อยนะคะ”

 

สีหน้าของพันตรีกับร้อยโทก็งงกันเป็นไก่ตาแตกกันทั้งคู่เลย ดูแล้วฉันคงจะรวบรัดไปหน่อย โทริโกะก็เลยดึงแขนเสื้อของฉัน

 

“โซราโอะ โซราโอะ”

“หือ? อะไรเหรอ?”

“ฉันว่าเกริ่นซักหน่อยจะดีกว่า… นี่ ขอฉันจัดการซักนิดนึงนะ”

 

โทริโกะเดินขึ้นมาข้างหน้า แล้วก็เริ่มอธิบายกับพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษ และพวกเขาก็ดูเข้าใจได้ในทันทีเลย

Sure, sure, of course you need guns here. (ใช่ๆ แน่นอน ที่นี่ พวกเธอจำเป็นต้องใช้ปืนอยู่แล้ว) But no grenades. (แต่ ไม่เอาระเบิดมือสินะ) Only small arms. (แค่อาวุธเล็กก็พอ) Okay? (โอเคใช่มั้ย?) No problem. (ไม่มีปัญหา) Thank you very much. (ขอบคุณมากเลย)

บทสนทนาจบลงในเวลาไม่นาน

 

“พวกเขาบอกแล้วนะว่าได้เลย”

“เธอบอกพวกเขาว่ายังไงน่ะ?”

“ด้วยอาวุธที่เรามีอยู่ตอนนี้ เรารู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ ก็เลยอยากให้พวกเขาช่วยแบ่งอาวุธให้พวกเราใช้หน่อยระหว่างที่เราหนีออกไปกันน่ะ”

 

แล้วมันต่างจากที่ฉันพูดยังไงล่ะเนี่ย? ฉันก็พยายามจะอธิบายแบบนั้นกับพวกเขาแบบนั้นนี่นา

ก่อนที่ฉันจะทันยอมรับได้กับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น พันตรีก็หันไปคุยกับร้อยโท

 

“Is anyone out on reconnaissance? (ยังมีใครที่ออกไปลาดตระเวนอยู่หรือเปล่า?)”

“No, sir. (ไม่มีแล้วครับ) The survivors are all in camp. (ผู้ที่ยังรอดชีวิตอยู่ทั้งหมดอยู่ในค่ายทั้งหมดแล้ว)”

“Okay. (โอเค) We’ll move while it’s still light out. (เราจะลงมือกันตอนที่ยังมีแสงสว่างอยู่นี่แหละ) Prepare to pull out. (เตรียมถอนกำลังได้) Send a few guys my way. (แบ่งคนมากับฉันซัก 2-3 คน) You show these girls to the Doghouse, then oversee the preparations to withdraw. (นายพาเด็กพวกนี้ไปที่ด็อกเฮาส์ แล้วคอยดูแลการถอนกำลังซะ)”

“Yes, sir. (รับทราบครับ)”

 

ร้อยโททำความเคารพด้วยท่าทางหนักแน่น ก่อนจะหันกลับมาหาพวกเรา

 

“ตามผมมาเลยครับ เดี๋ยวผมพาพวกเธอไปที่คลังแสงกันก่อน”

 

พอพวกเราเดินตามร้อยโทออกมาข้างนอกแล้ว โทริโกะก็บ่นฉันใหญ่เลย

 

“โซราโอะน่ะ เข้าประเด็นเร็วเกินไปแล้วนะ”

“ไม่ใช่ว่าในภาษาอังกฤษเนี่ย เขาให้ตัดเข้าประเด็นเลยหรอกเหรอ?”

“แต่โซราโอะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษนี่?”

 

พวกเราเดินตามหลังร้อยโทไป ในขณะที่ฉันเบียดไหล่ใส่โทริโกะที่ไม่ยอมรับมุกเลย

 

“หวังว่าเราจะมีของที่เข้ากับตัวคุณอยู่นะครับ”

 

ร้อยโทพูดขึ้นข้างในเต้นท์ที่ถูกใช้เป็นคลังแสง

ก็จริงนะ ปืนที่พาดอยู่บนชั้นเนี่ยกระบอกใหญ่เลยล่ะ เห็นพวกมันเรียงกันเป็นตับอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงดี”

 

“ฉันขอแค่กระสุนก็พอ”

 

โทริโกะเดินตรงไปที่ชั้นวางกระสุน

 

“ขออันนี้แล้วกันนะ?”

“5.56 นาโต้ เหรอ ปืนของคุณโทริโกะคือ AK ใช่มั้ยครับ?”

“AK-101 เป็นแบบลำกล้องเล็ก ตอนแรกฉันก็นึกว่ามันใช้ 5.45 แถมยังเป็นสีดำอีก สำหรับ AK แล้วมันก็เลยดูแปลกๆ อยู่นะ”

 

ฉันตัดสินใจที่จะปล่อยการร่ายคาถาอะไรซักอย่างที่อยู่ข้างหลังฉันวิ่งจากหูซ้ายทะลุหูขวาไป ก่อนจะมองไล่ไปตามชั้นวางอาวุธ ฉันมีมาคารอฟอยู่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องเอาปืนพกมาอีกกระบอกนึงหรอก ลูกซองก็น่าสนใจอยู่นะ; เขามีปืนหน้าตาแบบเดียวกับเรมมิงตันของคุณโคซากุระอยู่ที่นี่ด้วย

ตอนที่ฉันมองดูที่ชั้นวางพวกไรเฟิลจู่โจมแบบที่เคยเห็นในหนังอยู่ตลอดวางเรียงราย โทริโกะกับร้อยโทที่คุยกันเสร็จแล้วก็เดินเข้ามา

 

“นั่นคือ M4 ปืนที่พวกเราทุกคนใช้กันครับ”

“สำหรับฉันอาจจะใหญ่ไปหน่อย… ปืนกระบอกที่ฉันยิงครั้งก่อนที่มาที่นี่คืออันไหนเหรอคะ?”

“อาจจะเป็น M14 หรือเปล่าครับ?”

 

ร้อยโทหยิบปืนไรเฟิลลำกล้องยาวมาให้ฉัน เป็นกระบอกแบบที่ฉันยิงตอนที่โทริโกะช่วยพยุงฉันตอนก่อนหน้านี้ที่สถานีคิซารากินี่แหละ ตอนนี้ พอมาลองถือมันดูอีกทีนึง… อื้อ หนักจริงๆ ด้วย ขนมันหิ้วไปหิ้วมาอาจจะเหนื่อยอยู่นะเนี่ย

 

“มีแบบที่เบากว่านี้หรือเปล่าคะ?”

“ขอโทษนะครับ เราไม่มีปืนไรเฟิลซุ่มยิงหลายแบบขนาดนั้น”

“โซราโอะ ชอบไรเฟิลเหรอ?”

 

โทริโกะถามขึ้นอย่างสงสัย

 

“ฉันว่าแบบนี้มันอาจจะเข้ากับตาของฉันดีน่ะ”

 

ฉันคิดว่ามันสะดวกดีถ้าเกิดฉันเล็งผ่านกล้องเล็งด้วยความสามารถของตาข้างขวา แล้วก็ซุ่มยิงพวกมันซะ แบบที่ฉันทำกับเจ้าตัวประหลาดที่สถานีคิซารากิน่ะ

 

“แน่นอนว่าฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นสไนเปอร์ที่ดีได้อยู่แล้วล่ะ อย่างมากก็หวังว่าจะพอเลียนแบบได้ซักระดับนึงก็ยังดี”

“ถ้าแค่เว้นระยะห่างประมาณนึงก็พอ งั้นถ้าเป็นเจ้านี่ล่ะครับ?”

 

ร้อยโทดึงไรเฟิลจู่โจมขนาดกะทัดรัดขึ้นมา ที่รูปร่างเหมือนเอ็ม 4 เลย แต่ลำกล้องสั้นกว่า

 

“M4 CQBR ลองถือดูนะครับ มันเบากว่า M14 มากเลยใช่มั้ยล่ะครับ? เขาทำการลดความยาวของลำกล้องปืนให้สั้นลง เพื่อให้การปฏิบัติงานในอาคารสามารถทำได้สะดวกขึ้น แต่ผมคิดว่า นี่อาจจะใช้งานได้ง่ายกับการใช้งานตามความตั้งใจของคุณโซราโอะกว่า คุณคงจะไม่ได้เอามันไปยิงมนุษย์คนอื่นที่ไหนใช่มั้ยครับ?”

 

TN: M4 Carbine หรือ Carbine/Caliber 5.56 mm/M4 เป็นอาวุธปืนเล็กยาวอัตโนมัติ ออกแบบโดยยูจีน สโตนเนอร์ให้แก่บริษัทอาร์มาไลท์ มีความยาวและน้ำหนักน้อยกว่า M16A2 Assault Rifle หน่วงลำเลื่อนด้วยแก๊ส ระบายความร้อนด้วยอากาศ ป้อนกระสุนทางแมกกาซีน เลือกระบบการยิงได้ 2 แบบคือยิงแบบกึ่งอัตโนมัติ และยิงทีละ 3 นัด (เหมือน M16A2) กระสุนที่ใช้จะเป็น 5.56×45mm NATO

ส่วน lose Quarters Battle Receiver (CQBR) นั้น เป็นโครงปืนที่ตัดส่วนลำกล้องให้สั้นลงเพื่อเพิ่มความคล่องตัว แต่ใช้กระสุนขนาดเดิมได้ ใช้ในปืนรุ่น M4A1 Carbine

 

“น- แน่นอนค่ะ ถ้ามันใช้จัดการพวกตัวประหลาดได้ง่ายขึ้นก็พอแล้วค่ะ ฉันแค่อยากจะยิงพวกมันก่อนที่มันจะเข้าใกล้ฉันเท่านั้นเอง”

 

ฉันตอบไป โดยที่ยังงงๆ อยู่ที่จู่ๆ ร้อยโทเขาก็พูดคล่องปรื๋อขึ้นมาเลย พอได้ยินแบบนั้น เขาก็พยักหน้าให้

 

“เข้าใจแล้วครับ ตามปกติ มันจะไม่ได้มีความสามารถในการเล็งยิงเทียบเท่ากับไรเฟิลซุ่มยิงหรอก แต่ก็ชดเชยมันด้วยการติดกล้องเล็งได้ จะเอาส่วนเสริมปืนอันไหนเพิ่มอีกหรือเปล่าครับ?”

 

เขาพูดออกมาง่ายๆ ยังกับกำลังพูดว่า จะรับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มอีกหรือเปล่าครับ ยังงั้นเลย

 

“เออ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ งั้นก็แล้วแต่เลยแล้วกันค่ะ”

“งั้น แบบนี้เป็นไงครับ? กล้องเล็ง ACOG 4x, กระโจมมือ กับกริปมือหน้า แล้วก็พานท้าย Magpul CTR…”

“หวา เดี๋ยวสิคะ อะไรน่ะ?”

 

ร้อยโทหยิบชิ้นส่วนนู่นนี่ออกมาจากชั้นวางเหมือนกับว่ากำลังซื้อของในห้างอยู่ แล้วก็ยื่นส่งมาให้ฉันชิ้นแล้วชิ้นเล่า

 

“จะเอากล้องจุดแดงหรือชัวร์ไฟร์ด้วยมั้ยครับ…? มันจะทำให้หนักขึ้น อาจจะไปเพิ่มภาระเปล่าๆ อย่าทำแบบนั้นแล้วกันนะครับ คุณอยากจะให้มันเบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สินะ?”

“อ๊ะ! ค่ะ!”

“คุณโทริโกะ รู้วิธีประกอบอยู่แล้วสินะครับ?”

“ก็ คิดว่า น่าจะนะ”

 

โทริโกะตอบไปแบบตกใจเหมือนกัน

 

“ยินดีที่ได้ยินแบบนั้นครับ มีอะไรที่อยากได้อีกหรือเปล่า? ถ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ตามผมมาเลยครับ”

 

ร้อยโทเดินออกไปจากเต้นท์คลังแสง แล้วก็รีบเดินอย่างเร็วไปที่จุดหมายของพวกเรา ฉันที่หอบปืนกระบอกใหม่กับชิ้นส่วนเสริมอีกเยอะแยะก็รีบวิ่งตามเขาไป

 

“เออ คือ จะดีเหรอคะ? ให้กันมาเยอะขนาดนี้เลย”

“ครับ ยังไงซะ ของส่วนใหญ่ที่นี่ เราก็เอาไปด้วยไม่ได้อยู่แล้ว”

 

TN: ขอบคุณครับ ร้อยโท เยอะขนาดนี้ คนไม่เล่นปืนจะเข้าใจมั้ยเนี่ย 555

เริ่มจาก [Advanced Combat Optical Gunsight (ACOG)] เป็นซีรีส์กล้องเล็ง (scope) ที่ผลิตโดยบริษัททริจิคอน บริษัทสัญชาติอเมริกา มีความสามารถในการสร้างแสงสว่างให้กับจุดที่เล็งได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องอาศัยแบตเตอรี่ อาศัยเทคโนโลยีผสมระหว่างเส้นใยแสงและทริเทียม (H-3) ที่มีแสงในตัวเอง สำหรับรุ่น ACOG 4x ก็คือกล้องที่ขยายภาพที่มองเห็นผ่านกล้องเล็งได้ 4 เท่าตัว

[Magpul CTR (Compact/Type Restricted) Stock] คือพานท้ายปืนของแม็กพูลอินดัสทรีคอร์เปอร์เรชั่น บริษัทสัญชาติอเมริกาเช่นกัน ออกแบบมาสำหรับการดำเนินการที่เบาและรวดเร็ว มีระบบล็อคแรงเสียดทานเสริมที่ลดการเคลื่อนไหวของพานท้ายที่มากเกินไปเพื่อเพิ่มความเสถียรของอาวุธ

กล้องจุดแดงหรือ [Dot Sight] คือส่วนที่ติดแทนศูนย์เปิด ในกรณีที่ต้องการจู่โจมหรือยิงปะทะอย่างรวดเร็ว เล็งโดยทาบจุดแดงที่เป้าหมายแล้วยิงออกไปทันที (สาเหตุที่ไม่ต้องติด ก็เพราะมันเน้นใช้ยิงระยะใกล้มากกว่า โซราโอะไม่ได้จะเอาไปใช้แบบนั้น)

[SureFire] เป็นชื่อบริษัทสัญชาติอเมริกา ที่มีสินค้าเด่นคือไฟฉาย, ไฟฉายติดอาวุธ, ไฟฉายคาดหัว และกล้องเล็งเลเซอร์ ในที่นี้ก็หมายถึงไฟฉายติดปืนนั่นเอง

ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

Status: Ongoing
การพบกันครั้งแรกกับ นิชินะ โทริโกะ ของเธอคือที่โลกเบื้องหลัง หลังจากได้เห็น “สิ่งนั้น” และเกือบตายไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของนักศึกษามหาลัยผู้เหนื่อยล้า คามิโคชิ โซราโอะ ก็เปลี่ยนไป ในโลกเบื้องหลังนี้ที่มีอยู่เคียงคู่กับโลกของเราอันเต็มไปด้วยปริศนา มีตัวตนที่อันตรายอย่างคุเนะคุเนะและท่านฮัชชาคุที่ถูกพูดถึงกันในเรื่องผีจริงๆ นั้นปรากฏอยู่ เพื่อการวิจัย เพื่อผลประโยชน์ และเพื่อตามหาคนสำคัญ โทริโกะกับโซราโอะจึงก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดนแสนพิลึกพิลั่นนั้น!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท