ฉันมองไปที่พวกผู้ชายที่นอนอยู่กับพื้น เพ่งด้วยตาข้างขวาของตัวเอง มันมีแต่เศษแหเศษอวน, สาหร่ายแห้งๆ, ขวดน้ำยาทำความสะอาด, ทุ่นตกปลาที่สีซีดไปแล้วกับตะขอ―รวมๆ แล้วก็เป็นกองของพวกสิ่งของกับขยะที่เราอาจเจอเขาทิ้งๆ กันไว้บนหาดนั่นแหละ แล้วก็มีรูปร่างเค้าโครงคล้ายๆ กับคนด้วย
พวกนี้จะต้องเป็น [ปรากฏการณ์] จากโลกเบื้องหลังนี่แน่ โผล่ขึ้นมาเป็นรูปร่างเหมือนคนแบบเดียวกับคุณลุงในห้วงมิติเลย
“ฉันมองทะลุเข้าไปได้ตอนก่อนที่ฉันจะยิงพอดีน่ะ แถมเรื่องนี้มันก็มีอะไรแปลกๆ มาตั้งแต่แรกแล้วด้วยว่ามั้ย? พวกเรายิงปืนกันอยู่ซักพักแล้ว แต่พวกนั้นก็ดูไม่ได้มีทีท่ารู้สึกถึงเรื่องนั้นเลย อีกอย่าง ถึงเรื่องที่พวกนั้นพูดออกมาจะดูเข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มันก็ยังดูประหลาดอยู่ดี”
“จริงเหรอ…? ทางฉันนี่ พวกนี้ดูยังไงก็เป็นมนุษย์เลยนะ?”
ตอนที่โทริโกะพูด จู่ๆ กองขยะ 2 กองที่ยังมีหัวอยู่ก็ลุกขึ้นมาช้าๆ ร้องตะโกนดังลั่นเหมือนจะพวกมันกำลังจะเข้ามาทำร้ายพวกเรา
“เห้ย! รีบเลย!”
“ราชาแห่งหาดทรายกำลังมาแล้ว!”
ฉันประมาทไปก็เลยกระเด้งตัวโดดออกมา โทริโกะรีบยกมาคารอฟขึ้นเล็ง แล้วยิงไปด้วยมือข้างเดียว *ปั้ง! ปั้ง!* กระสุน 2 นัดดังลั่นขึ้นมาต่อกัน แล้วหัวทั้งสองก็ระเบิดออก
“เฮ้อออ ให้ตายสิ!”
ถูกทำให้ตกใจทีเผลอแบบนั้นคงจะทำให้เธอหงุดหงิดพอควรเลยนะ เพราะโทริโกะพูดเสียงดังอย่างโมโหเลย ทางฉันเองนี่ หัวใจยังเต้นรัวอยู่เลย
“ต-… ตกใจหมดเลย”
“ฉันก็เหมือนกัน ไม่เป็นไร―หายใจเข้าลึกๆ”
โทริโกะใช้มือซ้ายลูบหลังของฉันผ่านเสื้อแรชการ์ดที่สวมอยู่ รู้สึกได้เลยว่ามือของเธอก็สั่นอยู่นิดๆ เหมือนกัน
“ต้องขอบใจสำหรับเรื่องนี้ด้วย ฉันเลยมั่นใจแล้วว่าพวกนี้ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน แต่… เอ๊ะ? งั้นก็แปลว่า…?”
สายตาของโทริโกะเลื่อนจากพวกอันธพาลไปหาเด็ก 3 คนนั้นที่นอนสลบอยู่ไม่ไกล
ฉันพยักหน้าตอบ
“อือ พวกนั้นก็ไม่ใช่เหมือนกัน”
“จริงเหรอเนี่ย? นี่ฉันเกือบจะเดินเข้าไปเช็คว่าพวกเขายังหายใจอยู่หรือเปล่าแล้วนะ… เดี๋ยวสิ นั่นมันก็เป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำก่อนตั้งนานแล้วนี่นา นี่ฉันทำอะไรของฉันกันล่ะเนี่ย?”
โทริโกะเอามือขึ้นมาตีแก้มตัวเองเบาๆ เรียกสติของตัวเองให้กลับมาได้แล้ว ก็จริงอยู่ โทริโกะน่าจะต้องยืนยันให้เรียบร้อยก่อนว่าพวกศัตรูถูกจัดการไปแล้วจริงๆ จากนั้นก็ต้องไปเช็คสภาพของคนเจ็บต่อทันที
แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงหนักๆ ดังมาจากทางชายหาด พอพวกเราหันไปมองทางนั้น เราก็เห็นกับอะไรซักอย่างวางอยู่ ที่ก่อนหน้านี้มันไม่เคยมีอะไรแบบนั้นเลย
ขนาดพอๆ กับรถดัพท์ กลมๆ สีขาว ดูเหมือนเป็นก้อนเนื้อก้อนยักษ์เลย กลิ่นเหม็นเน่าที่ลอยมากับลมทะเลโชยมาเตะจมูกถึงตรงนี้เลย
ทะเลสีคราม ทรายสีขาว กับก้อนเนื้อมหึมาที่ระบุไม่ได้ งงเข้าไปทุกทีแล้วเนี่ย ประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ไม่ทันเลยว่ามันแปลกประหลาดขนาดไหน แล้วฉันก็เริ่มรู้สึกขึ้นมาว่า ท้องฟ้าสีครามนั่นน่ะ มันค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ไม่ ไม่ได้คิดไปเอง―มันเข้มขึ้นจริงๆ สีฟ้าของท้องฟ้าน่ะ มันเข้มเกินไป เข้มจนเกือบจะเป็นสีดำอยู่แล้ว
ในที่สุดก็เข้าใจซักที ท้องฟ้านั่นน่ะ ไม่เคยเป็นท้องฟ้าจริงๆ เลย มันก็เหมือนกับตอนที่เจอผู้หญิงกังหันลมเลย ตั้งแต่ตอนที่พวกเรามาถึงที่นี่ครั้งแรก สิ่งที่อยู่เหนือหัวพวกเราคือแสงสีฟ้าที่อยู่เหนือยิ่งกว่าโลกเบื้องหลังไปอีกต่างหาก นี่พวกเรามาพักร้อนกันอย่างสบายๆ ใต้สิ่งนั้นจริงๆ เหรอเนี่ย?
สีน้ำเงินเข้มเข้าปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้า จนชายหาดตกอยู่ในเวลากลางคืนไปเลย
“เธอจะทำยังไงนะ? สงสัยจริงๆ ว่าเธอควรจะทำยังไงดี?”
พวกเราหันไปตามเสียงโหยหวญนั้น และเห็น 1 ในเด็กผู้ชาย 3 คนที่ล้มนอนกองอยู่นั่นลุกขึ้นมายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ด้วยทะเลที่มืดมิดเป็นฉากหลังนั่น เจ้านั่นก็ดูไม่ได้ต่างอะไรไปจากภาพเงาย้อนแสงมืดๆ เลย ขนาดมองด้วยตาขวาแล้วก็ยังเหมือนเดิม ตรงกลางใบหน้านั่น มีแค่ฟันอย่างเดียวที่ส่องแสงออกมา
“รู้อะป่าว? (しっえますかね : shiemasu kane) ทะเลนอกชายฝั่งตอนเที่ยงคืนเนี่ยสว่างนะ”
เงานั่นพูดออกมาอย่างใจเย็น วิธีการพูดที่เป็นเอกลักษณ์นั่นมันแล่นเข้ามาในความทรงจำของฉันเลย ในบรรดาเรื่องเล่าในอินเตอร์เน็ตที่มีฉากหลังเป็นริมทะเล เป็นเรื่องที่ทำให้ฉันขนลุกที่สุด―[ณ หาดสุมะ (須磨海岸にて : Suma Kaigan Nita)] ใช่ หาดนั่นมันตั้งอยู่ที่โกเบต่างหาก ไม่ใช่โอกินาว่า เรื่องมันเกี่ยวข้องกับเด็กมอต้น 3 คนที่โดนกลุ่มเด็กแว้นรุมทำร้าย ประโยคนั้นมันก็ถูกพูดโดยเด็กคนนึงที่รอดชีวิตมาได้
“คิดว่าน่าจะต้องจดเอาไว้หน่อยมั้ย? รู้น่าว่าฟังดูน่าสะอิดสะเอียน แต่ว่าน้า…”
เงานั่นเริ่มจะโบกแขนไปมา พูดจาไร้สาระไปเรื่อยแล้ว
“ซ- โซราโอะ นั่นมันอะไรน่ะ?”
เสียงของโทริโกะสั่นกลัวไปหมดเลย ฉันเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ฉันพยายามจะนึกให้ออกอยู่ว่าเรื่องราวนั้นต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้น…
“คงไม่รู้หรอกเน้อว่ากำลังพูดถึงอะไรอยู่ แต่พอกลางคืนย่างกรายเข้ามา อุรุมะ ซัทสึกิก็แวบมาที่หาดทรายเหมือนกัน แล้วจะทำยังไงต่อกับคามิโคชิ โซราโอะดีนะ?”
“…ซัทสึกิ?”
โทริโกะพึมพำคำนั้นกับตัวเอง
เงานั่นพูดชื่อของพวกเรา พอฉันเข้าใจแล้วว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่ ตัวฉันก็สั่นไปหมดเลย
“ท- โทริโกะ จำได้มั้ย? ตอนที่เธอถูกผู้หญิงกังหันลมพาตัวไปน่ะ เธอพูดอะไรบางอย่างออกมาด้วย”
“หา?”
“มันมีบางอย่างที่อยู่เหนือแสงสีฟ้านั่นพยายามติดต่อกับพวกเราโดยสร้างความกลัวกับมนุษย์ กระตุ้นให้พวกเขาเสียสติคลุ้มคลั่งไป เธอพูดแบบนั้นเองนะ โทริโกะ นึกออกหรือเปล่า?”
โทริโกะมองกลับมาหาฉันโดยไม่ได้พูดอะไร สีกหน้าไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิง
แล้วหลายวินาทีต่อมา ที่ใต้ฝ่ามือของฉัน ฉันรู้สึกได้ถึงขนที่ลุกขึ้นชูชันจากผิวของโทริโกะได้เลย
“เฮือก…”
โทริโกะอ้าปากพะงาบๆ ตาที่เปิดกว้างของเธอทำให้ฉันรู้เลยว่าเธอนึกถึงเรื่องที่เธอพูดออกมานั่นออกแล้ว
“อ- อือ”
“ระลึกเรื่องนั้นเอาไว้ให้ดีนะ น- นี่น่ะแย่สุดๆ เลย เจ้าพวกนั้นมันพยายามจะทำให้พวกเราเสียสติ สายตาของพวกมันจับจ้องมาที่พวกเราอย่างชัดเจนเลย แถมมันยังแยกพวกเราเป็นคนๆ ได้อีกต่างหาก!”
“ฉ-… ฉันรู้สึกว่าแค่นึกขึ้นมาก็จะทำให้เป็นบ้าไปแล้วเนี่ย!?”
“ข- ขอโทษ! ฉันไม่มั่นใจว่าจะแบกรับเรื่องนั้นไว้ได้คนเดียวน่ะ”
“ไม่เป็นไร หรอก! โธ่เอ๊ย!”
การเคลื่อนไหวของเงาตรงท่าเรือนั่นยิ่งรุนแรงขึ้นๆ หัวและแขนของมันสะบัดไปมาจนแทบจะหัก ก่อนที่เงานั่นจะกรีดร้องออกมา
“ด้วยหินเรืองแสง แล้วก็ปลาหมึกกับปลาบินพวกนี้ มันทำให้ผืนทะเลตอนกลางคืนสว่างจริงๆ น้า! สวยมากเลย―ยังกับผืนฟ้าที่ดาวแพรวพราวแน่ะ!! เข้าใจรึเปล่า!?”
พวกเรากลัวกันมากจนเริ่มเข้ามากอดกันตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงเหมือนสวดมนต์ดังโพล่งขึ้นมา
“อ―――ง เมีย―――ว จ―――จี”
เสียงกุกกักกับเสียงกังวาลดังมาจากทางร้านริมทะเล
“บันได!”
ตอนที่โทริโกะพูดขึ้นมาแบบนั้น ฉันก็กำลังคิดแบบเดียวกันขึ้นมาพอดี
บันไดพวกนั้น ที่มีถาดอาหารใช้แล้ววางเรียงไว้อยู่ กับชามใช้แล้วที่กระจัดกระจายไปทั่ว―มีบางอย่างกำลังลงมาจากบันได
ตอนที่เราคิดว่าเสียงของแตกเงียบไปแล้ว ก็มีร่างมนุษย์เล็กๆ โผล่ออกมาจากร้านริมทะเลนั่น
“โ―――จ ม―――มี ชิ―――น”
ตัวที่ตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดังจนแปลกประหลาดนั่นเป็นเด็กแก้ผ้า ขนาดอยู่ในที่มืดสนิทแบบนั้น ฉันกลับบอกได้ว่าเจ้านั่นตัวเปลือยเปล่าได้ยังไงก็ไม่รู้ มันวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเราด้วยพละกำลังที่น่าเหลือเชื่อ ทั้งแขนทั้งขาสะบัดไปมา ทั้งฉันทั้งโทริโกะกรี๊ดออกมา ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่กันแล้ว
น่ากลัว น่ากลัวจนไม่อยากจะเชื่อ รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าได้เลย เหตุผลข้อเดียวที่ฉันยังรักษาสติบางๆ เส้นสุดท้ายของตัวเองเอาไว้ได้ อาจจะเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี่มันเป็นไปตามการพรรณนาของส่วนนึงในเรื่องเล่าในอินเตอร์เน็ตที่ฉันเคยอ่านมาเลยก็ได้
ฉันข่มความต้องการที่จะปิดตาแล้วนั่งคุดคู้อยู่ตรงนี้เอาไว้สุดฤทธิ์ พร้อมกับมองดูไปที่เจ้าเด็กที่มีตัวเป็นสีเขียวไปทั้งตัวด้วยตาข้างขวาของตัวเอง มันดูเหมือนสายแห้งๆ สีดำ พันเอาไว้ด้วยสำลี พอฉันยิง M4 ออกไป สำลีนั่นก็ปลิวหายเข้าไปในความมืด โทริโกะก็กรี๊ดดังลั่น ก่อนจะลั่นไกมาคารอฟไปด้วย เจ้าวัตถุสีดำที่ดูเหมือนเห็ดหูหนูดำตากแห้งก็ถูกกระสุนระเบิดมันออก ในเวลาเดียวกันนี้ ที่มุมมองจากตาซ้ายของฉัน ฉันก็เห็นเด็กตัวสีเขียวค่อยๆ ตัวบางลง ฟีบแบน และหายไป
โครงเลื่อนของมาคารอฟในมือของโทริโกะเด้งค้างมาข้างหลังแล้ว ใช้กระสุนไปจนหมดจนได้ ฉันก็ไม่ได้คอยนับอยู่ด้วยสิ แต่คิดว่า M4 ของฉันก็คงเหลือกระสุนไม่เยอะเท่าไหร่แล้วล่ะ
“โทริโกะ! หนีกันเถอะ!”
“ไปไหนล่ะ!?”
ฉันรีบหรีตากวาดมองไปทั่วจากตรงขอบท่าน้ำ มองหาแสงเรืองสีเงิน ตอนนี้ไม่สนแล้วล่ะว่ามันจะพาไปโผล่ที่ไหน ขอแค่เจอเกทไปที่โลกเบื้องหน้าก็พอ…
สายตาของฉันไปหยุดอยู่ตรงที่ที่ไม่คาดคิดเข้า ตรงกลางหาด ใต้ร่มที่พวกเราเพิ่งไปนอนเอกเขนกกันอยู่ ฉันเห็นแสงสีเงินจางๆ ลอยอยู่บริเวณนั้นด้วย
ทำไมถึงเป็นตรงนั้นได้ล่ะ? มันสะดวกเกินไปหน่อยมั้ง นั่นเป็นกับดักเหรอ?
ไม่ ไม่ใช่ นั่นมัน―หมวกไง! หมวกของท่านฮัชชาคุ! ในกระเป๋าสัมภาระของพวกเราน่ะ!
“วิ่งไปที่ร่มเร็วเข้า!”
พอฉันบอก โทริโกะก็พยักหน้าให้
พวกเรา 2 คนจับมือกันแล้วรีบออกวิ่ง ฉันไม่อยากจะเข้าไปเฉียดร้านริมทะเลนั่นเลย แต่เราก็วิ่งมาตามท่าน้ำ วิ่งลงบันไดหินที่นำลงไปที่ชายหาด ฉันเหลือบหันกลับไปมอง แล้วก็ต้องรู้สึกผิดขึ้นมาเลยที่ทำแบบนั้นในระดับที่มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลย มีเด็กตัวเล็กๆ สีเขียวอีกเพียบพากันมองตรงมาที่พวกเราผ่านทางช่องว่างเล็กๆ ในร้านริมทะเลนั่น
กำแพงของอาคารอัดแน่นไปด้วยเส้นสีดำที่ถูกพันเอาไว้ด้วยสำลี พอมองพวกมันด้วยตาข้างซ้าย―ข้างที่มีการมองเห็นไปปกติ―แล้ว ก็เห็นเป็นพวกเด็กตัวเขียวจ้องมองพวกเรามาจากจุดที่มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางไปยืนอยู่ได้ ไม่ใช่ภาพที่คนสติดีที่ไหนควรจะต้องได้เห็นเลย
“โทริโกะ! ไม่ว่ายังไงก็ตาม! ห้ามมองไปที่ร้านริมทะเลเด็ดขาดเลยนะ!”
“ฉันเห็นไปแล้ว!”
โทริโกะตะโกนพร้อมกับหน้าที่กระตุก
พอพวกเราวิ่งมาถึงตรงร่มชายหาด เท้าของพวกเราก็จมอยู่ในทราย พวกเงาที่ยืนกันอยู่ตรงท่าน้ำมองมาทางพวกเรา พวกที่ล้มไปกลับมายืนกันได้แล้วเหรอ? จำนวนมันกลับมาเป็น 7 ร่างแล้ว
“อ้าาาาาา! อ้าาาาาา! อ้าาาาาา!”
พวกเงาตะโกนกันเหมือนเด็กทารก ไม่สิ เหมือนอีกาเลย
ที่อีกฝั่งของชายหาด เลยผ่านท่าน้ำอีกอันนึงไป ประภาคารกำลังฉายไฟออกมา แสงสว่างรูปกรวยหมุนไปมา ฉายตัดผ่านชายหาด เข้าโลมเลียไปตามแนวป่าที่มืดทึบข้างหลังร้านริมทะเลนั่น
ในที่สุด พวกเราก็วิ่งมาจนถึงร่มชายหาดซักที โทริโกะรีบคว้า AK ที่เธอทิ้งไว้ที่เก้าอี้ชายหาดขึ้นมา ถอดแมกกาซีนออก ก่อนจะตะโกนขึ้นมาอย่างหัวเสีย
“อ๊า! บ้าจริง! พลาดจนได้…!”
ตอนระหว่างซ้อมยิงเป้ากัน เธอใช้กระสุนไปหมดแล้ว เรายังมีกระสุนอยู่อีก แต่เราไม่มีแมกกาซีนสำรอง แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลามาค่อยๆ ใส่กระสุนทีละนัดด้วยเหมือนกัน ฉันยื่น M4 ของตัวเองให้เธอแทน
“ใช้นี่สิ! ฉันน่าจะยังยิงไม่หมดนะ”
“แล้วเธอล่ะ?”
“ฉันจะรื้อเอาหมวกออกมาจากสัมภาระก่อน ระหว่างนั้น ฝากสังเกตการณ์ทีนะ!”
“…โอเค ฟังนะ เธอมองไปที่ทะเลก่อน”
ฉันหันหลังกลับไป แล้วก็เห็นก้อนเนื้อถูกซัดขึ้นมาจากในทะเลที่เปิดโล่งก้อนแล้วก้อนเล่า มีบางส่วนเหมือนกันที่มาเกยบนฝั่งแล้วอยู่ตรงนั้นตรงนี้ พวกมันเหมือนกำลังลอกเปลือกตัวเองออกจากใต้น้ำหนักถ่วงของมัน พวกมันทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยขนยาวๆ อะไรซักอย่าง แล้วก็มีกระดูกที่โผล่ยื่นออกมาจากเนื้อที่ฉีกขาดด้วย
กล็อบสเตอร์… ชื่อเรียกของก้อนเนื้อปริศนาที่ระบุไม่ได้ที่ถูกซัดขึ้นมาเกยบนฝั่ง มันถูกเอาไว้ใช้เรียกไขวาฬหรือเศษซากของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ทราบชนิดด้วย บางส่วนที่ถูกเก็บตัวอย่างจริงเอาไว้ก็จะมีการบันทึกไว้เป็นเอกสาร นี่ก็เลยไม่ใช่เรื่องผีที่มีการพบเห็นจริงๆ เท่าไหร่ ออกจะอยู่ในหมวดชีววิทยาทางทะเลกับวิทยาสัตว์ลึกลับมากกว่า
พอแสงจากประภาคารเลื่อนไปตามชายหาด พวกกล็อบสเตอร์ที่ถูกกับแสงก็เริ่มมีฟองผุดขึ้นมา แล้วก็เริ่มดิ้นด้วย สิ่งที่ดูไม่น่าจะเป็นอะไรไปมากกว่าก้อนเนื้อที่ตายไปแล้วมันสั่น ก่อนจะมีงอกก้านลูกตาขึ้นมาเหมือนพวกปู งอกขาออกมาเหมือนพวกหนอนผีเสื้อ แล้วก็อวัยวะอะไรก็ไม่รู้ที่มองไม่ออกออกมาอีกยั้วเยี้ยไปหมด
“ขยะแขยงไปหน่อยมั้ยเนี่ย…?”
พวกมันดูเหมือนจะยกเว้นคำพึมพำลอยๆ ของฉันไปนะ ก่อนที่ตามากมายนั่นที่โผล่ออกมาจากผิวเนื้อจะหันมาทางฉันกันเป็นตาเดียว เจอแบบนี้ฉันก็สะดุ้ง หันหน้าหนีมาเลย
TN: Globster (กล็อบสเตอร์) หรือ บล็อบ (Blob) เป็นซากวัตถุซึ่งถูกซัดขึ้นมาตามชายฝั่งของมหาสมุทรหรือแหล่งน้ำอื่น ยากที่จะระบุประเภทได้ว่าเป็นของสัตว์ชนิดใด คำนี้ถูกใช้เป็นครั้งแรกโดยอีวาน ที. แซนเดอสัน ในปี ค.ศ. 1962 เพื่อใช้เรียกซากลึกลับที่เกยฝั่งทะเลด้านตะวันตกของรัฐแทสเมเนียในปี ค.ศ. 1960 ซึ่งซากนี้ ไม่มีดวงตา ไม่มีส่วนหัว และโครงสร้างของกระดูกไม่ชัดเจน จุดเด่นคือ [มีขน] และ [มีเส้นใย] หนังเหนียวมากจนเฉือนแทบไม่เข้า และเมื่อนำเนื้อเยื่อไปตรวจสอบพบว่ามันประกอบด้วยคอลลาเจนเป็นส่วนใหญ่
กล็อบสเตอร์จำนวนมากได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นซากของวาฬหรือปลาฉลามขนาดใหญ่ แต่ก็มีกล็อบสเตอร์ที่ไม่สามารถระบุประเภทได้มาจนถึงปัจจุบันอยู่ด้วย