ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 225 ลมพายุกำลังมา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 225 ลมพายุกำลังมา

“ในนั้นมีองค์ชายจากยอดเขาลำดับหนึ่งอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นองค์ชายองค์ใด” สวี่ชิงเดินตรงไปบนถนนการค้ายามค่ำคืน หัวสมองก็ปรากฏภาพคนหลายคนก่อนหน้านี้

แม้พวกเขาจะอำพรางกลิ่นอายอย่างเต็มที่ แต่สวี่ชิงก็ยังสัมผัสได้ถึงจิตปราณกระบี่แบบเดียวกับอู๋เจี้ยนอูบนตัวของพวกเขา สำหรับคนนอกแล้วอาจจะแยกแยะได้ยาก แต่สวี่ชิงที่ไล่สังหารอู๋เจี้ยนอูมานานจึงเข้าใจกับกลิ่นอายวิชาของเขาเป็นอย่างดี

เมื่อครู่ตอนที่อีกฝ่ายอยู่คนเดียว เขายังสัมผัสได้ไม่ค่อยรุนแรงนัก แต่ตอนหลังออกมากันหมด ก็รู้สึกว่าไม่ผิดแน่แล้ว

“สงครามในตอนนี้ พวกเขายังสามารถกลับมาได้…” สวี่ชิงครุ่นคิด นึกไปถึงคำพูดของนายกองก่อนหน้า รวมถึงตอนก่อนออกจากสำนักที่แนวหน้าแจ้งเรื่องที่ว่าพันธมิตรเจ็ดสำนักเข้าแทรกแซง

ในใจเขามีการคาดเดา

“ดูท่าสงครามคงใกล้จะจบแล้วจริงๆ” สวี่ชิงใจร้อนวูบวาบ เขารอให้สงครามจบมาโดยตลอด ผลงานการต่อสู้บนป้ายฐานะ หลังจากสงครามเสร็จสิ้น สำนักจะได้แจกจ่ายมาเสียที

เขาในตอนนี้รู้สึกว่าตนเองข้นแค้นเหลือเกิน หินวิญญาณที่เพิ่งจะได้มาก็เอาไปซื้อลูกกลอนวิญญาณ แม้จะมีหุ้นของท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกอยู่ แต่ท่าเรือก็ยังจำเป็นต้องก่อสร้าง ยังไม่ถึงเวลาแบ่งสรรปันส่วน

“อีกเดี๋ยวก็มีเงินแล้ว” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก รีบสาวเท้าเดินไปยังค่ายกลส่งข้าม ระหว่างทางเขาก็สื่อเสียงไปยังบรรพจารย์สำนักวัชระ

“ฉากแลกเปลี่ยนเมื่อครู่ บันทึกไว้หรือยัง”

“เรียบร้อย ครบถ้วนสมบูรณ์ ข้าน้อยคิดแล้วว่านายท่านน่าจะต้องการหลักฐานเหล่านี้ ตอนท่านเคาะตัวข้า ข้าก็เข้าใจทันที” บรรพจารย์สำนักวัชระเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น

สวี่ชิงพึงพอใจ เขาไม่คิดจะทำอันใดหรอก เพียงแต่องค์ชายยอดเขาลำดับหนึ่งพวกนั้นดูลับๆ ล่อๆ จึงบันทึกเอาไว้เผื่อต้องใช้งานภายหลัง

ปล่อยความคิดนี้ไป สวี่ชิงเดินหน้าต่อ

นอกจากสถานที่จำเพาะบางแห่งในคืนที่มืดมิด คนที่เดินสัญจรบนถนนในที่อื่นๆ ก็น้อยกว่ากลางวันพอสมควร สายตาที่ซ่อนอยู่ในเงามืด ก็ผลุบๆ โผล่ๆ จากรอบด้านมาก็หยุดอยู่ที่สวี่ชิง

สวี่ชิงไม่สนใจ จนกระทั่งตอนเดินมาถึงค่ายกลส่งข้าม เขาก็ไม่เจอกับเรื่องถูกปล้นเลย สิ่งนี้ทำเอาสวี่ชิงเสียดายไม่น้อย

“คนที่มาที่นี่ไม่ใช่คนโง่ เรื่องที่ไม่มั่นใจส่วนใหญ่จะไม่ทำกัน” สวี่ชิงส่ายศีรษะ หลังจากมาอยู่ข้างๆ ค่ายกลส่งข้าม ก็ยังไม่เห็นนายกองมา ดังนั้นจึงแผ่นหยกสื่อเสียงไป

“อาชิงน้อยเจ้ากลับไปก่อน ข้ามาเห็นพวกน่าสนใจเข้าที่นี่ ฮ่าๆ พวกองค์ชายจากยอดเขาลำดับหนึ่งหลายคน กล้าขโมยทรัพยากรสงครามบางส่วนมาขายที่นี่ ข้าตัดสินใจจะเก็บภาพพวกเขา จากนั้นก็ส่งไปให้ปรมาจารย์ใหญ่ ลองดูว่าจะรีดไถอะไรจากปรมาจารย์ใหญ่ได้บ้าง”

สวี่ชิงส่ายศีรษะ เขารู้สึกว่านายกองกับบรรพจารย์สำนักวัชระชั่วร้ายเหมือนกันเสียเหลือเกิน ไม่เหมือนตัวเขาที่ไม่เคยเอาตนเองเข้าไปคลุกคลีกับเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นจิตใจจึงแจ่มใสยิ่งกว่า

เขาจึงเดินเข้าไปในค่ายกล ร่างของสวี่ชิงก็หายไปจากการเริ่มทำงานของค่ายกล

ค่ำคืนของเจ็ดเนตรโลหิตเฉกเช่นที่เคยเป็น จันทร์กระจ่างลอยเด่นฟ้า ลมหนาวพัดโบก

ค่ำคืนของเมืองหลักมองแล้วเหมือนจะเงียบสงบ แต่ผู้บำเพ็ญที่เยื้องย่างในยามราตรีก็ยังมีอยู่ไม่น้อย การช่วงชิงของขั้วอำนาจในส่วนลึกของซอกซอยบางแห่ง การเข่นฆ่าสังหารระหว่างศิษย์ ก็ไม่ได้หยุดลงเพราะสงครามเลย

แต่ทั้งหมดนี้ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับสวี่ชิงนานแล้ว เขาดิ้นรนขึ้นมาจากชนชั้นล่างสุด พึ่งตนเองออกเข่นฆ่าสังหาร ก้าวทีละก้าวจนถึงระดับปัจจุบัน

เวลานี้พอเยื้องย่างอยู่บนถนนด้วยความเร็วสูง สวี่ชิงเองก็สังเกตเห็นเงาสมาชิกกรมปราบพิฆาตกำลังออกลาดตระเวนยามราตรี และเดินผ่านถนนทองผุดด้วย

เขาหยุดตรงนี้ครู่หนึ่ง

โรงเตี๊ยมนั่นก็ปิดทำการมานานแล้ว

สวี่ชิงไม่รู้เพราะอะไรถึงได้คิดถึงงูใหญ่ตัวนั้นขึ้นมา

เพียงไม่นานสวี่ชิงก็เก็บความคิด ออกจากถนนทองผุด กลับมาถึงจุดจอดเรือที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก ปล่อยเรือใหญ่เวทออกมา สวี่ชิงก็เดินเข้าไปในห้องเรือพร้อมกับระลอกคลื่นทะเลที่โหมซัด หลังจากนั่งขัดสมาธิหยิบเอาลูกกลอนวิญญาณที่ซื้อไว้ออกมา

ตรวจสอบอีกครั้ง พอยืนยันว่าไม่มีปัญหาใด เขาก็หยิบขึ้นมาเม็ดหนึ่งแล้วใช้เพลิงพิฆาตผสานเข้าไปด้านในทันที ไม่นานนัก พลังวิญญาณที่อยู่ในลูกกลอนวิญญาณก็มารวมตัวกันในร่างกายเขา

พุ่งปะทะช่องเวทที่แปดสิบ

หนึ่งเม็ดไม่พอ ก็สี่เม็ด สองเม็ดไม่พอก็สิบเม็ด!

ไม่นานในร่างกายสวี่ชิงก็มีเสียงโครมดังขึ้น คลื่นพลังเวทรุนแรง ในที่สุดช่องเวทที่แปดสิบของเขาก็เปิดออก

สวี่ชิงยังไม่หยุด จัดการหลอมลูกกลอนวิญญาณที่เหลือต่อ จนผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ขณะที่สวี่ชิงหลอมลูกกลอนวิญญาณทั้งสี่สิบสามเม็ดหมดแล้ว ช่องเวทของเขาก็เปิดถึงช่องที่แปดสิบสาม!

ปัจจุบันห่างจากไฟชีวิตดวงที่สามอีกแค่เจ็ดช่องเวทเท่านั้น!

“น่าเสียดายที่ลูกกลอนวิญญาณของยอดเขาลำดับหนึ่งห่างชั้นกับที่นายท่านหกมอบให้เสียเหลือเกิน ถึงอย่างไรระดับชั้นวิญญาณที่นำมาหลอมก็แตกต่างกัน” สวี่ชิงรู้สึกทอดถอนใจ แต่ที่มีมากกว่าคือความคาดหวัง

“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อ อีกไม่นาน ข้าก็จะสามารถจุดไฟชีวิตดวงที่สามได้แล้ว ถึงตอนนั้น…” สวี่ชิงใจเต้นรัวเร็วขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกว่าเมื่อตนเองจุดไฟชีวิตดวงที่สามได้แล้ว เช่นนั้นพลังต่อสู้ของตนเองก็จะไปถึงระดับที่น่าตกตะลึงอย่างมาก

“รวมกับตะเกียงแห่งชีวิต ข้าก็จะมีพลังเทียบเท่าไฟชีวิตสี่ดวง พอรวมเข้ากับวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ ข้าก็จะเทียบเท่าไฟชีวิตห้าดวง สะกดระดับสร้างฐานทั้งหมดได้ ในเงื่อนไขที่…อีกฝ่ายไม่มีตะเกียงแห่งชีวิต!”

สวี่ชิงหรี่ตาลง ก้มหน้าล้วงกล่องปรารถนาสองกล่องออกมาจากถุงเก็บของ หลังตรวจสอบก็ถ่ายพลังเวทเข้าไปชุบเลี้ยงต่อ

“กล่องปรารถนาก็ใกล้จะเปิดออกแล้ว” สวี่ชิงอารมณ์ดีขึ้นมาทันที แต่เพียงไม่นานเขาก็คิดถึงพวกนกเขาราตรีที่เห็นตอนขากลับ จิตสังหารเปล่งประกายขึ้นในดวงตา

แต่ว่าเขาเป็นแค่เจ้ากรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ดเท่านั้น เมื่อรวมกับที่เขาค้นคว้าแมลงสีดำไปก่อนหน้า แย่งชิงมาจากกรมปราบพิฆาตยอดเขาอื่น ดังนั้นเรื่องนี้พวกเขาคงร่วมมือด้วยยาก ดังนั้นสวี่ชิงจึงล้วงแผ่นหยกสื่อเสียงออกมา หลังจากครุ่นคิดก็สื่อเสียงไปยังนายท่านหก

จัดการรายงานเรื่องที่ตนเองพบกับนกเขาราตรีระหว่างทางขึ้นไป รอการตัดสินใจของนายท่านหก

เพียงไม่นาน นายท่านหกก็ตอบกลับมา

“สวี่ชิง อนุญาตสิทธิ์ปฏิบัติการนกเขาราตรีให้กับเจ้า นำกรมปราบพิฆาตยอดเขาอื่นเข้ากวาดล้างนกเขาราตรีได้ หากพบกับพลังที่มิอาจต้านทาน สามารถมาพบข้าได้!”

นายท่านนั้นมองสวี่ชิงต่างออกไป ดังนั้นการถามไถ่ของสวี่ชิง จากที่มุมมองของนายท่านหกก็เหมือนกับลูกของตนเองถามผู้อาวุโส ในเมื่อสวี่ชิงคิดจะทำ เขาก็จะสนับสนุนแน่นอน

“ขอบคุณท่านนายหก” สวี่ชิงสื่อเสียงหนักแน่น ฟังเจตนาในคำพูดของนายท่านหกออก ในใจรู้สึกซาบซึ้ง

ดังนั้นในช่วงหลายวันถัดจากนี้ สวี่ชิงจึงส่งเอกสารทางการไปยังกรมปราบพิฆาตทั้งเจ็ดยอดเขาของเจ็ดเนตรโลหิต ต้องการให้กรมปราบพิฆาตทุกยอดเขา ช่วยยอดเขาลำดับเจ็ดตรวจสอบเรือทุกลำในท่าเรืออย่างเข้มงวด

สำหรับคนที่ส่งข้ามมา ก็ต้องสอบสวนอย่างละเอียดด้วยเช่นกัน

และเดิมทีระหว่างนกเขาราตรีกับกรมปราบพิฆาตก็มีความแค้นอยู่แล้ว ดังนั้นกรมปราบพิฆาตยอดเขาอื่นไม่ว่าจะในด้านน้ำจิตน้ำใจหรือว่าการจัดการเอกสารทางการก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ นอกจากนี้นกเขาราตรีก็ตัวอ้วนพีด้วย เรื่องนี้กรมปราบพิฆาตเข้าใจเป็นอย่างดี

สมาชิกทั้งหมดของกรมปราบพิฆาตจึงเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งเจ็ดเนตรโลหิตจากการกระจายเอกสารทางการของสวี่ชิงเช่นนี้ ทำการตรวจสอบทั่วทั้งเมือง โดยเฉพาะที่ท่าเรือและค่ายกลส่งข้ามก็ยิ่งตรวจสอบอย่างละเอียดยิบ

พวกนกเขาราตรีที่มายังเจ็ดเนตรโลหิตก็ถูกปฏิบัติการครั้งนี้ของกรมปราบพิฆาตสืบค้นอย่างต่อเนื่อง จนต้องเพิ่มการปิดบังตัวตนขึ้นมาในช่วงนี้อย่างเสียมิได้ และคุกของกรมปราบพิฆาตก็เริ่มมีนักโทษปรากฏขึ้นใหม่เช่นกัน

ขณะเดียวกันกับที่ปฏิบัติการครั้งนี้กำลังดำเนินการ เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งก็ดังระบือไปทั่วทั้งสำนักกึกก้องไปทั้งทะเลต้องห้าม

สงครามระหว่างเจ็ดเนตรโลหิตและเผ่าสิงซากสมุทร สิ้นสุดลงแล้ว!

สาเหตุที่สิ้นสุดคือพันธมิตรเจ็ดสำนักบีบคั้นแทรกแซง หลังจากขัดขวางการโจมตีต่อเนื่องของเจ็ดเนตรโลหิตที่ครอบครองดินแดนหลักเผ่าสิงซากสมุทรไปแล้วครึ่งหนึ่ง

แม้ก่อนหน้าจะลือเรื่องนี้กันบ้างแล้ว แต่ยังคงทำให้เจ็ดเนตรโลหิตพากันโกรธขึ้ง ที่จริงหากว่ากันตามสถานการณ์ในปัจจุบัน เกรงว่ามากสุดครึ่งปี เผ่าสิงซากสมุทรก็น่าจะล่มสลาย

แต่ตอนนี้พันธมิตรเจ็ดสำนักขัดขวาง ยิ่งไปกว่านั้นท่าทียังแข็งกร้าวด้วย ส่วนเสี่ยเลี่ยนจื่อแม้จะโกรธแค้นอย่างมาก แต่ก็ต้องเชื่อฟัง

อย่างไรก็ตาม เจ็ดเนตรโลหิตโดยผิวเผินยังคงเป็นส่วนแยกย่อยของพันธมิตรเจ็ดสำนัก ยังต้องคอยรับคำสั่ง เสี่ยเลี่ยนจื่อยังปฏิเสธไม่ได้ แต่ผลประโยชน์ที่ควรได้รับ เจ็ดเนตรโลหิตก็ไม่ปล่อยไป

สวี่ชิงได้ยินคำถ่ายทอดของสำนัก บรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อยื่นเงื่อนไขสงบศึกสี่ข้อแก่เผ่าสิงซากสมุทร

เงื่อนไขข้อแรก คือพื้นที่ทั้งหมดที่ถูกโจมตีไป จะถือว่าเป็นของเจ็ดเนตรโลหิตทั้งหมด

เงื่อนไขข้อสอง เผ่าสิงซากสมุทรต้องมอบค่าชดเชยสงครามจำนวนหนึ่งแสนล้านก้อนหินวิญญาณ

เงื่อนไขข้อสาม ต้องการเทวรูปบรรพชนศพทั้งแปดองค์ของเผ่าสิงซากสมุทร องค์ที่เจ็ดที่จมูกหายไป เจ็ดเนตรโลหิตไม่ต้องการ

เงื่อนไขข้อที่สี่ ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรระดับแก่นลมปราณขึ้นไป จะถูกกักบริเวณร้อยปี ขณะที่ห้ามดินแดนหลัก ก็ต้องส่งผู้อยู่ในลำดับมาเป็นตัวประกันด้วย

แน่นอนว่าเรื่องนี้เผ่าสิงซากสมุทรไม่เห็นด้วย ดังนั้นกระแสสงครามนี้จึงดำเนินต่อไปอีกครึ่งเดือน ระหว่างนี้พันธมิตรเจ็ดสำนักก็เข้าไกล่เกลี่ยหลายครั้ง และผลลัพธ์ทุกครั้งล้วนถูกเผยแพร่ในสำนักให้เหล่าศิษย์รับรู้

จนในการไกล่เกลี่ยครั้งสุดท้ายหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน จึงถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

เผ่าสิงซากสมุทรมอบเกาะรองให้สองเกาะ มอบพื้นที่ในดินแดนหลักสามส่วน หนึ่งแสนล้านก้อนหินวิญญาณก็มอบให้แปดหมื่นล้าน ผู้บำเพ็ญแก่นลมปราณขึ้นไปกักบริเวณหกสิบปี

ส่วนเทวรูปบรรพชนศพที่เป็นรากฐานของเผ่าสิงซากสมุทร พวกเขาใส่ใจเรื่องนี้มาก จึงมอบให้ได้เพียงสององค์ นี่คือถึงที่สุดแล้ว

สุดท้ายทางเจ็ดเนตรโลหิตก็เห็นด้วยกับเงื่อนไขนี้ สงครามสองเผ่าที่กินเวลานานกว่าหนึ่งปีนี้ก็สิ้นสุดลง วันที่พวกบรรพจารย์เขากลับมานั้น เจ็ดเนตรโลหิตก็เฉลิมฉลอง ครื้นเครงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สำนักออกโองการการเฉลิมฉลองนี้ให้ดำเนินไปถึงสามเดือน

และในสามเดือนนี้ พันธมิตรต่างๆ รวมถึงคณะทูตจากต่างเผ่าก็พากันเข้ามาอวยพรไม่ขาดสาย นึกภาพออกว่าการเข้ามาของพวกเขาจะต้องทำให้เศรษฐกิจของท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิตฟื้นฟูกลับมาดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว กระทั่งอาจเพิ่มขึ้นอีกระดับด้วย

ดังนั้นในช่วงนี้ ทั้งเมืองหลักของเจ็ดเนตรโลหิตจึงคึกครื้นอย่างมาก

ทว่าสวี่ชิงไม่ได้เข้าร่วมความครื้นเครงนี้ นอกจากฝึกบำเพ็ญกับชุบเลี้ยงกล่องปรารถนารวมถึงค้นคว้าแมลงสีดำทุกวัน พละกำลังส่วนใหญ่ก็จะไปอยู่ที่การค้นหานกเขาราตรีของกรมปราบพิฆาต

สวี่ชิงรังเกียจนกเขาราตรี เมื่อเขารู้ว่าพวกมันจะมาก็เตรียมจะทำให้พวกมันเสียหายหนักที่เจ็ดเนตรโลหิต ยิ่งไปกว่านั้นคนของนกเขาราตรีมีมากมาย สวี่ชิงจึงรู้สึกว่าเหมาะที่จะนำมาชุบเลี้ยงแมลงดำรวมถึงหลอมวิญญาณอย่างยิ่ง

ดังนั้นสวี่ชิงจึงฝึกบำเพ็ญและตรวจสอบนกเขาราตรีไปด้วย ผ่านไปหลายวัน คณะทูตต่างเผ่าที่เข้ามาอวยพรชุดแรกก็มาถึง

ในกลุ่มผู้ที่เข้ามามีหญิงชราคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำ การปรากฏตัวของนาง ทำให้เมฆลมเปลี่ยนสี ท้องฟ้าเกิดสายรุ้งทอดยาว เจ็ดเนตรโลหิตสั่นสะเทือน การต้อนรับเป็นพิธีการใหญ่โต บรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อยังต้องออกมาด้วยตนเอง เสียงหัวเราะกึกก้องไปทั้งฟ้าดิน

“ยินดีต้อนรับสหายเต๋าแห่งบูรพาสงัดมาเยี่ยมเยือนเจ็ดเนตรโลหิตของข้า!”

หญิงชราคนนี้คือเจ้าเกาะแห่งเกาะบูรพาสงัด จอมคนบูรพาสงัด ขณะเดียวกันนางก็เป็นยายของเหยียนเหยียนหญิงสาวชุดดำอีกด้วย

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท