บทที่ 226 ถนนโบราณเสวียนโยว
การมาเยือนของจอมคนบูรพาสงัด สวี่ชิงรู้ได้ในทันที
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ขึ้นมาจากท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก แต่ตอนนี้กรมปราบพิฆาตทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตล้วนค้นหาไล่ล่าตัวกลุ่มนกเขาราตรีตามคำสั่งของสวี่ชิง เขาย่อมรู้ข่าวคราวต่างๆ เป็นอย่างดี
และเรื่องไล่ล่าจับกลุ่มนกเขาราตรีเรื่องนี้ก็ลดความตึงเครียดระหว่างสวี่ชิงกับกรมปราบพิฆาตอีกหกยอดเขาลำดับเหลือเนื่องจากความขัดแย้งข้ามเขตเมื่อก่อนหน้านี้
อย่างไรเสีย เรื่องการไล่ล่าจับกุมไม่ว่าจะเป็นคุณงามความชอบหรือผลประโยชน์ล้วนมหาศาลนัก โดยเฉพาะเรื่องกลุ่มนกเขาราตรี ทุกครั้งที่จับได้คนหนึ่งก็ได้หินวิญญาณเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย
นี่ก็เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดว่าทำไมเจ้ากรมปราบพิฆาตหกกรมที่เหลือถึงได้ยอมฟังคำสั่งการของสวี่ชิง
ไม่เช่นนั้นแล้ว อยากจะให้เจ้ากรมอีกหกยอดเขาเชื่อฟังคำสั่งสวี่ชิง ต่อให้กำลังรบและชื่อเสียงของสวี่ชิงมากมาย ทว่าพวกเขาก็ยังคงไม่ไว้หน้าก็ได้
ในเมื่อโลกนี้ไม่มีใครติดค้างใครทั้งนั้น
ต่อให้สวี่ชิงมีรายชื่ออยู่ในอันดับ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผู้บำเพ็ญที่มีรายชื่ออยู่ในอันดับจู่ๆ ก็ตายไปอย่างน่าแปลกประหลาด ทุกคนต่างก็เป็นคนที่ดิ้นรนออกมาจากทะเลเลือดกันทั้งนั้น ทั้งยังดำรงตำแหน่งเจ้ากรม ไม่ขาดสติปัญญา วิธียิ่งมีเยอะแยะมากมาย
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ก็ต่างเป็นสหายที่ดีต่อกัน ดังนั้นแลกเปลี่ยนข่าวสารก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
สวี่ชิงหลังจากได้ยินข่าวนี้ก็ระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่ว่าในใจเขาก็วิเคราะห์เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นแม้จะระมัดระวัง แต่ก็ไม่มากพอที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเขา
ในขณะเดียวกันนี้ เสี่ยเลี่ยนจื่อก็เชิญจอมคนบูรพาสงัดมายังยอดเขาลำดับสี่ท่ามกลางการระมัดระวังของสวี่ชิง
เสี่ยเลี่ยนจื่อมาจากยอดเขาลำดับสี่ ดังนั้นสถานที่พักอาศัยของเขาโดยปกติแล้วอยู่ที่ยอดเขาลำดับสี่ หลังจากไล่คนรอบๆ ตัวไปแล้ว คนทั้งสองที่พลังบำเพ็ญถึงขั้นผู้วิเศษก็พูดคุยธุระกัน
หลังจากคุยจบแล้ว จอมคนบูรพาสงัดก็พูดขึ้นมาว่า
“ได้ยินว่าหลานสาวคนเล็กของข้าช่วงนี้อยู่ยอดเขาลำดับเจ็ด รู้จักสหายคนหนึ่งชื่อว่าสวี่ชิง เด็กคนนี้เหมือนจะไม่เลวเลย ข้ามอบของกำนัลให้เขาสักชิ้นก็แล้วกัน” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นของจอมคนบูรพาสงัดเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา หยิบกล่องหยกใบหนึ่งยื่นไปให้เสี่ยเลี่ยนจื่อ
เสี่ยเลี่ยนจื่อหัวเราะฮ่าๆ แล้วก็ทำเป็นไม่รู้ พลังบำเพ็ญเมื่อมาถึงระดับอย่างพวกเขา วิธีการจัดการเรื่องราวบางอย่างก็เฉียบแหลมนัก ยกตัวอย่างเช่นเรื่องนี้ จอมคนบูรพาสงัดไม่ถามอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่มอบของกำนัลให้ นี่ก็เป็นการบอกท่าทีของนางแล้ว
ส่วนเสี่ยเลี่ยนจื่อย่อมรู้ดี รับเอาไว้ท่ามกลางเสียงหัวเราะ และไม่เห็นเขาจะจัดการอย่างไร แต่ทั้งสองคนคุยกันไม่นานเท่าไร ข้างนอกก็มีเสียงพุ่งมาอย่างรวดเร็ว เหยียนเหยียนที่เพิ่งถูกปล่อยตัวก็พุ่งเข้ามา
บาดแผลเล็กน้อยของนางก่อนหน้านี้ หลังจากผ่านการรักษาในช่วงนี้ก็ฟื้นฟูเป็นปกติตั้งนานแล้ว อีกทั้งหน้าตาก็ไม่มีแววร้องขอความเป็นธรรมแม้แต่น้อย ตอนนี้เมื่อเห็นย่าของตัวเองนางยิ่งตาวาววาบ รีบก้าวไปกอดแขนของจอมคนบูรพสงัด เอ่ยออดอ้อน
“ท่านย่ามาได้อย่างไรเจ้าคะ”
จอมคนบูรพาสงัดสายตาจับจ้องที่ร่างของหลานสาว สำรวจเห็นว่าหลานสาวเป็นปกติดีทุกอย่าง กระนั้นแล้วจึงยิ้มออกมา แต่ในใจก็ยังปวดใจนิดๆ ที่อีกฝ่ายต้องได้รับความลำบากในช่วงหลายวันมานี้ ส่วนทางสวี่ชิงทางนั้นความจริงแล้วนางไม่พอใจอยู่นิดๆ ตอนนี้ยกมือลูบศีรษะของเหยียนเหยียน กำลังจะพูดอะไร
แต่เหยียนเหยียนกลับชิงพูดอย่างน่าตกใจออกมาก่อน
“ท่านย่า ข้าจะแต่งงานกับสวี่ชิง!”
จอมคนบูรพาสงัดอึ้งตะลึง นางรู้ถึงปัญหาของหลานสาวคนนี้ของตัวเอง และยิ่งรู้ ตอนนี้ได้ยินประโยคที่พูดออกมาอย่างกะทันหัน นางก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
เสี่ยเลี่ยนจื่อก็อึ้งตะลึงไปเช่นกัน เรื่องนี้เกิดความคาดหมายของเขาจริงๆ เขาย่อมรู้ปัญหาของผู้เยาว์ของสหายเก่าแก่คนนี้ว่ามีปัญหานิดๆ แต่จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าถูกเจ้าหนูสวี่ชิงอัดไปรอบหนึ่ง จับขังไปสองสามเดือน เมื่อปล่อยออกมากลับพูดเช่นนี้ได้
“ข้ารู้สึกว่าบนโลกนี้มีเพียงเขาที่คู่ควรกับข้า ท่านย่า ข้าจะแต่งงานกับเขา ไม่ใช่เขาข้าไม่แต่ง!!” เหยียนเหยียนเขย่าแขนของจอมคนบูรพาสงัด สีหน้าฉายความจริงจังอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“เหลวไหล อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ใช้ได้ที่ไหน!” เห็นเช่นนี้ จอมคนบูรพาสงัดดุเสียงต่ำ เหยียนเหยียนก้มหน้าลงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
จอมคนบูรพาสงัดแม้จะทำเช่นนั้น แค่ความตกใจในใจรุนแรงมาก ดังนั้นแล้วจึงหันไปหาเสี่ยเลี่ยนจื่อ
“สหายเสวี่ยเลี่ยน ถ้ามีเวลาช่วยจัดวันให้ได้หรือไม่ ข้าอยากพบสวี่ชิงเด็กคนนั้นหน่อย”
เสี่ยเลี่ยนจื่อลังเล เขารู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกๆ แต่หากผลักดันงานแต่งงานครั้งนี้ได้ ก็เหมือนว่าจะไม่เลวเลย ดังนั้นแล้วจึงหัวเราะ พยักหน้าตอบรับ แต่ก็ไม่ได้บอกเวลาที่แน่นอน
และเรื่องนี้ก็แพร่ไปทั่วสำนักได้อย่างไรไม่รู้ เพียงหนึ่งวันยอดเขาทั้งเจ็ดก็ต่างรู้เรื่องนี้ ติงเสวี่ยที่อยู่ในนั้นมีปฏิกริยารุนแรงสุด ทั้งคนเหมือนจะระเบิด
ส่วนเจ้าจงเหิงดีใจลิงโลด
นอกจากนั้น ในยอดเขาลำดับสอง ในถ้ำของกู้มู่ชิงลูกกลอนระเบิดไปหลายลูก
สวี่ชิงย่อมได้ยินข่าวเช่นกัน คิ้วขมวด เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เหลวไหลไร้สาระนัก อีกทั้งเรื่องระหว่างชายหญิง เขารู้สึกว่าน่าจะเสียเวลาฝึกฝน อีกทั้งยังไม่มีประโยชน์ใดๆ
ตอนที่เขายังเด็กก็เคยได้ยินอาจารย์สอนหนังสือพูดถึงความหวั่นไหวระหว่างชายหญิงอะไรนั่น แต่จนตอนนี้เขาไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน และไม่รู้ด้วยว่านั่นเป็นความรู้สึกอย่างไร
ถ้ำยาจกและฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในความทรงจำส่วนมากล้วนเป็นคนที่อยู่คนเดียวเยอะ
“แปลกประหลาดเสียจริง” สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง ในใจไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ
ในวันเวลาหลังจากนั้น เขาปฏิเสธการนัดเจอของเหยียนเหยียนไปหลายครั้ง
สำหรับสวี่ชิงที่จมอยู่ในการหล่อเลี้ยงกล่องปรารถนาและเรื่องของกลุ่มนกเขาราตรีแล้วเวลาล้ำค่ามาก เขาไม่อยากไปสนใจคนและเรื่องที่ไม่สำคัญ
นอกจากนี้ จากวันเวลาที่หมุนไป ภายใต้การทยอยมาของทูตท่าเรือสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่ประจำอยู่ต่างเผ่าของและพันธมิตรก็เปลี่ยนมาคึกคักมาก ในบรรดาคนที่มาเยือนนี้มีผู้บำเพ็ญแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ที่ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกด้วย!
ผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ที่มาคือหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีเขียวครามและผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสามคน
พวกนางรูปร่างอรชร รอบกายมีหมอกบางเบาลอยอวล เห็นได้ชัดว่านี่คือเคล็ดวิชาแปลกประหลาดบางอย่าง แตกต่างไปจากผู้บำเพ็ญสำนักเจ็ดเนตรโลหิตโดยสิ้นเชิง
บนกระโปรงปักลายขุนเขาเซียนลูกหนึ่งเอาไว้ ท่ามกลางความคลุมเครือเหมือนแฝงไว้ด้วยท่วงทำนองเต๋าบางอย่างเอาไว้ในนั้น ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกนางอยู่สูงส่ง ไม่อาจจ้องมองตรงๆ ได้
โดยเฉพาะพลังประหลาดในร่างของพวกนางน้อยมากอย่างเห็นได้ชัด แม้ไม่ใช่ไม่มี แต่ก็น้อยจนหากไม่ไปสัมผัสอย่างละเอียด ก็แทบจะไม่สามารถรู้สึกได้แม้เพียงเล็กน้อย
ทั้งหมดนี้ล้วนดึงดูดความสนใจของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเป็นอย่างมาก
หลายปีมานี้แขกจากแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์แทบจะไม่มี อีกทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์สำหรับลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้วยิ่งเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่และการคาดเดา กระทั่งว่าหลายคนรู้สึกไปตามสัญชาตญาณว่าผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์สูงส่งกว่าคนอื่น
ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นพลังวิญญาณหรือจะเป็นเคล็ดวิชา ความรอบรู้หรือจะเป็นระบบเต๋า แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ล้วนอยู่เหนือกว่าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมากมายนัก สำนักและผู้บำเพ็ญที่นั่นย่อมมีบุคลิกสูงส่ง
โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญหญิงที่มาสามคนนี้ ไม่ใช่แค่พริ้วละล่องรางเลือน ในตัวยังมีกลิ่นหอมสดชื่น ทั่วทั้งร่างเหมือนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ส่วนพลังบำเพ็ญยิ่งน่าตื่นตะลึง
ในทั้งสามคนนี้ มีผู้หญิงส่งคนที่ช่องเวทในตัวเปิดได้ประมาณร้อยกว่าช่อง เห็นได้ชัดว่าจะทะลวงไฟชีวิตดวงที่สี่
ส่วนอีกคนที่รูปร่างสูงโดดเด่นที่สุด ช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบช่องในกายนางแสงดาวกะพริบวูบวาบ ต่อให้ยังไม่เข้าสู่สภาวะแสงนภา แต่ก็ยังสร้างรัศมีอำนาจที่เหมือนโลกกำลังถูกเพลิงดาราหลอมฝึกฝน
การมาเยือนของพวกนางทั้งสามเหมือนดวงจันทร์ที่สว่างพร่างพราย ทำให้ดวงดาวนับไม่ถ้วนหมองหม่นอับแสง กลายเป็นจุดสนใจและประเด็นร้อนแรงในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไปในทันที
รายละเอียดเป็นเช่นไร เนื่องจากสวี่ชิงรู้เรื่องของทั้งสามคนที่มาเยือนจากเอกสาร ไม่ได้พบเจอตัวจริง ดังนั้นจึงไม่อาจสำรวจได้
แต่เขาก็ยังรู้ผ่านจากเอกสารว่า ผู้บำเพ็ญแผ่นดินต้องประสงค์สามคนที่มานี้ พวกนางล้วนเป็นตัวแทนของขั้วอำนาจที่ชื่อว่าสำนักเซียนล้ำบารมี
ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ประกาศความลับและข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ให้กับลูกศิษย์ระดับสร้างฐานทั้งสำนักในเวลานี้เอง
โดยปกติ เรื่องพวกนี้สำนักไม่มีทางบอกง่ายๆ ลูกศิษย์ก็ไม่รู้กันเป็นส่วนมาก แต่ตอนนี้ จากการมาเยือนของคนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ จากการประกาศข้อมูลของสำนัก ผ้าคลุมโปร่งบางอันลึกลับในใจของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่มีต่อแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็ถูกเปิดออกมุมหนึ่ง
แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์กว้างใหญ่ไพศาล แบ่งเป็นหลายแดนใหญ่ ในแดนใหญ่มีหลายเขตปกครอง ในเขตปกครองมีหลายมณฑล เผ่าต่างๆ มากมาย สิ่งแปลกประหลาดมีทั่วทุกที่
แทบจะไม่มีคนที่สามารถท่องไปได้ทั่วแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ นี่แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ความกว้างใหญ่ของมันเหนือกว่าที่จะจินตนาการได้
แผ่นดินต้นกำเนิดของเผ่ามนุษย์ก็อยู่ในส่วนลึกของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ที่กว้างใหญ่ไพศาลจนไม่อาจคาดคิด ห่างจากทะเลต้องห้ามนอกสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไกลโพ้น
ที่นั่นเป็นเมืองหลวงที่จักรพรรดิโบราณคนสุดท้ายของเผ่ามนุษย์บุกเบิก และเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของเผ่ามนุษย์ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
จักรพรรดิโบราณท่านนั้นชื่อว่าเสวียนโยว
เขาไม่ใช่แค่สยบหมื่นเผ่า บุกเบิกศักราช รวบรวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่งเท่านั้น แต่ยังสร้างเส้นทางที่มุ่งตรงสู่ทะเลต้องห้ามจากเมืองหลวงอีกด้วย เส้นทางนี้ทะลุผ่านแดนใหญ่สามสิบเจ็ดแดน ทอดยาวถึงชายทะล
ตอนนั้นถูกเรียกว่าถนนหลวงเสวียนโยว ตอนนี้หลายศักราชผ่านไป ชื่อของมันเปลี่ยนเป็นถนนโบราณเสวียนโยว
แม้ตอนนี้เผ่ามนุษย์จะตกต่ำ หมื่นเผ่าผงาดขึ้น ยิ่งมีพื้นที่ต้องห้ามมากมายเกิดขึ้น เผ่ามนุษย์สูญเสียรัศมีเปล่งประกาย สูญเสียแผ่นดินไปมหาศาล แต่ก็ยังคงรักษาถนนโบราณเส้นนี้เอาไว้
และการดำรงสืบเผ่าพันธุ์ก็ยังคงดำเนินต่อไปรอบถนนโบราณเส้นนี้
บนถนนโบราณเส้นนี้ เนิ่นนานมาเกิดเป็นเขตปกครองของเผ่ามนุษย์เจ็ดเขต ขั้วอำนาจสำนักเผ่ามนุษย์ในนั้นแตกดับหมุนเวียน ตกต่ำโชติช่วงหมุนเปลี่ยน พลังของเผ่ามนุษย์ทั้งหมดย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เผ่ามนุษย์ที่ครอบครองเจ็ดเขตปกครองและเมืองหลวงแดนใหญ่แห่งหนึ่ง ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเผ่าแข็งแกร่งในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
สำหรับเจ็ดเขตปกครองเผ่ามนุษย์บนถนนโบราณเสวียนโยวอยู่ในแดนใหญ่ต่างกันไป สุดถนนโบราณก็คือเขตปกครองที่เจ็ดของเผ่ามนุษย์ อยู่ในแดนใหญ่ปัจฉิมศักดิ์สิทธิ์ใกล้กับทะเลต้องห้าม มีชื่อว่าเขตปกครองผนึกสมุทร
ดูเหมือนเป็นเพียงพื้นที่หนึ่งเขตปกครอง แต่ความจริงแล้วพื้นที่ในนั้นเมื่อเทียบกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้วก็กว้างใหญ่ไพศาลนัก ในนั้นแบ่งเป็นห้ามณฑล ขนาดของทุกมณฑลล้วนใหญ่กว่าทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณประมาณสิบกว่าเท่า
บรรดามณฑลในนั้นที่อยู่ใกล้กับทะเลต้องห้ามคือ มณฑลรับเสด็จราชันในเขตปกครองผนึกสมุทร
ว่ากันว่าจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวบรรลุเต๋าจากนอกทะเล มาขึ้นฝั่งที่นี่ ดำเนินหนึ่งในการใหญ่คือรวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ดังนั้นจึงมีชื่อของมณฑลนี้ ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ในมณฑลรับเสด็จราชันมีขั้วอำนาจปะปนซับซ้อน หลายฝ่ายผงาดขึ้น ยิ่งมีต่างเผ่าก่อตั้งเมืองในนั้น หลายปีมานี้หลังจากผ่านสงครามและการผลัดเปลี่ยนหลายต่อหลายครั้ง ในนั้นมีหกขั้วอำนาจที่เยี่ยมยอดแข็งแกร่งที่สุด ชื่อเสียงระบือไปทั่ว
พวกเขาคือ…
ขั้วอำนาจใหญ่ที่สำนักขนาดกลางและเล็กหลายร้อยกระจัดกระจายรวมตัว โดยมีสำนักใหญ่เจ็ดสำนักในนั้นเป็นผู้นำ ชื่อว่า พันธมิตรเจ็ดสำนัก
ลัทธินอกวิถีก็ตั้งอยู่ในมณฑลรับเสด็จราชัน คลั่งไคล้บูชาจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว กระทำการบ้าคลั่งหลายครั้ง สร้างฝนโลหิตทำพิธีเซ่นสังเวย
ผู้บำเพ็ญดั้งเดิมในมณฑลรับเสด็จราชัน ครอบครองมรดกลึกลับ ผู้นำของมณฑลรับเสด็จราชันในนาม…สำนักเซียนล้ำบารมี!
ฝ่ายที่สี่ คือเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา รวบรวมไว้ซึ่งสิ่งแปลกประหลาดนับไม่ถ้วน กินเลือดเนื้อเป็นอาหาร ดื่มวิญญาณเป็นเครื่องดื่ม ชื่อเสียงเหี้ยมโหดทำให้ผู้บำเพ็ญมากมายต้องหวาดกลัวสิ้นหวัง เลี้ยงเผ่ามนุษย์หนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดเมือง กระดูกเกลื่อนทั่วแดน ทุกหนแห่งล้วนเป็นดินโคลนที่เกิดจากเลือดเนื้อที่เน่าเปื่อย แต่ฝ่ายอื่นๆ ก็ทำอะไรไม่ได้
ส่วนขั้วอำนาจที่ห้า ตัวตนของพวกเขาสูงส่ง มีเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะที่ผู้แข็งแกร่งครึ่งก้าวคนใดไม่ทราบเมื่อหลายศักราชก่อนทิ้งเอาไว้เป็นศูนย์กลาง รวบรวมสี่ทิศ
เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะสูงเสียดฟ้า แท้จริงแล้วสูงเท่าใดก็น้อยนักที่จะมีคนสัมผัสได้อย่างแท้จริง
และขั้วอำนาจสุดท้าย เป็นร่างภูตเหี้ยมเกรียมที่สวมเกราะ มือถือดาบยักษ์ บนบ่าแบกโลกไว้สองใบ ที่มาที่ไปยากจะคาดเดา ภูตนี้สูงถึงแสนจั้ง เหมือนวิญญาณเทพชั่วร้าย นั่งขัดสมาธิอยู่ในมณฑลรับเสด็จราชัน เสียงดังสะท้านฟ้า พลังอำนาจยิ่งใหญ่เกียงไกร ประดุจขุนเขายักษ์
โลกทั้งสองใบบนบ่าของมันก็คือขั้วอำนาจที่หก ชื่อว่าเขาภูตคีรีใต้ ส่วนวิญญาณเทพปีศาจตนนั้นถูกขนานนานว่าจักรพรรดิภูตคีรีใต้
นอกจากนี้แล้วก็เป็นดินแดนต่างเผ่าทั้งหลายและพื้นที่ต้องห้ามมากมาย ยิ่งมีแดนต้องห้ามน่าหวาดกลัวอีกสองแห่งที่สยบทุกทิศ และทุกปีจะมีไอพลังประหลาดเข้มข้นล้นทะลักออกมา