ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ – ตอนที่ 40

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

 

           ตอนนี้เวลาเกือบๆ หกโมงเย็นแล้ว แสงอาทิตย์ยังไม่ลาลับขอบฟ้าแต่ความมืดก็กำลังคืบคลานเข้ามาทุกทีๆ

           ฉันเดินสะพายกระเป๋ามุ่งหน้ากลับบ้านไปตามเส้นทางที่คุ้นชินชนิดที่ว่าต่อให้ไม่ตั้งใจมองทางก็ยังไม่หลง

           แน่นอนว่าไม่ได้แค่คำกล่าวโม้โก้หรู เพราะในตอนที่ฉันกำลังเดินอยู่นี้ตัวเองก็ไม่ได้ตั้งใจดูทางสักเท่าไรนัก

           ร่างกายขยับไปตามความเคยชิน ส่วนสมองกำลังคิดถึงเรื่องเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน

           ฉันกลับบ้านพร้อมนิโนะมิยะ เรียวอีกครั้ง แถมครั้งนี้เขายังมาชวนกันต่อหน้าคนอื่นๆ ในห้องเรียนด้วย

           ตอนที่เขามาบอกว่ามีธุระจะคุยด้วยนั้นฉันก็ไม่ได้คิดอะไรจึงได้ตอบตกลงไป แต่พอเขาบอกว่างั้นไว้เจอกันตอนกลับบ้านนะ นั่นทำให้ฉันตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะหนึ่ง

           พูดจบแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป เหลือไว้แค่สายตาสับสน สงสัย และอิจฉาจากคนในห้อง

           ตกเย็นนิโนะมิยะก็มารอกลับพร้อมฉันจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามารอนานไหม พอเห็นเขายังยิ้มสบายๆ ให้ ฉันจึงขอโทษและเดินกลับพร้อมกัน ท่ามกลางสายตาที่มองมา เราสองคนเดินออกจากประตูโรงเรียนโดยเว้นระยะห่างประมาณหนึ่ง 

           เรื่องสายตาหรือว่าข่าวลือต่างๆ ของฉันกับนิโนะมิยะนั้น สำหรับฉันในตอนนี้แล้วถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรือว่าเรื่องใหญ่โตอะไรอีก คงเป็นเพราะเริ่มชินแล้วกับเรื่องพวกนี้ก็เลยปล่อยผ่านได้ ข่าวลือเองพอไม่มีใครไปกระพือมันก็จะเงียบไปเองหรือไม่ก็มีข่าวลือเรื่องอื่นๆ มากลบ ยังไงในโรงเรียนก็มีข่าวลือโผล่ขึ้นมาไม่เว้นวันอยู่แล้ว

           เราเดินออกจากประตูโรงเรียนไปทางสถานีรถไฟด้วยกัน ตามจริงนิโนะมิยะต้องแยกไปอีกทาง ซึ่งถ้าเป็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็คือทางกลับบ้านของพวกเรา แต่ตอนนี้ฉันย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านตัวเองแล้วจึงไม่ได้กลับทางเดิม พอบอกนิโนะมิยะไปแบบนั้นเขาก็บอกจะไปส่งแล้วคุยธุระระหว่างเดินไปด้วยเลย

           ธุระของนิโนะมิยะไม่ได้มีอะไรมากมาย เขาแค่จะชวนฉันไปติวด้วยกันเหมือนคราวก่อน แต่หนนี้สมาชิกจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเพราะคุณคาวากุจิกับเพื่อนไม่ได้มาด้วยแล้วแต่จะมีเพื่อนผู้หญิงในห้องเราไปด้วยแทน รวมสมาชิกตอนนี้ก็มีอยู่ 7 คนแล้ว ถ้าฉันกับเซริไปด้วยก็จะเป็น 9 คน เท่ากับครั้งก่อนพอดี

           ฉันบอกนิโนะมิยะว่าขอปรึกษาเซริดูก่อนแล้วจะให้คำตอบทีหลัง เขาพยักหน้าแล้วเราก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง

           สำหรับฉัน การคุยกับนิโนะมิยะไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว เพราะหลังจากที่เขามาสารภาพความรู้สึกที่มีต่อฉันในครั้งนั้นแล้วเราก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันโดยสมบูรณ์

           นิโนะมิยะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาสนใจฉันมากกว่าเพื่อนผู้หญิงคนอื่นในห้อง แต่ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังคงเป็นแค่เพื่อนต่างเพศที่สนิทกันมากกว่าคนอื่นเล็กน้อยไม่เกินเลยไปกว่านั้น

           ช่วงแรกเซริมักจะถามฉันถึงความคืบหน้าของความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับนิโนะมิยะบ่อยๆ แต่พอเธอรู้ว่าไม่มีอะไรคืบหน้าก็เลยหมดความสนใจไปแถมพักหลังๆ มานี่ยังบ่นนิโนะมิยะบ่อยๆ ว่าทำอะไรชักช้า

           ฉันที่ได้ยินเธอบ่นก็หัวเราะตามน้ำไป ตามจริงแล้วฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรในความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนกับนิโนะมิยะ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่รู้ว่าจะต้องวางตัวอย่างไรให้เหมาะสมเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ อีกส่วนหนึ่งก็เพราะรำคาญเรื่องยุ่งยากที่จะตามมาเพราะความอิจฉาจากผู้หญิงคนอื่นๆ อยู่แบบนี้แล้วสบายใจกว่า ตัวฉันเองเลยไม่กระตือรือร้นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ไปมากกว่านี้

           “กลับมาแล้วค่าาา…” 

           ทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้าไปกลิ่นหอมของเมนูอะไรสักอย่างก็ลอยมาจากในครัว ฉันร้องทักทายคนในบ้านแล้วก็มีเสียงแม่ตอบกลับมาพร้อมกับบอกให้ไปล้างไม้ล้างมือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

           แล้วฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้มีงานฉลองวันเกิดครั้งที่ 16 ของตัวเองรออยู่

           โดยไม่ต้องให้แม่บอกซ้ำ ฉันรีบไปเปลี่ยนชุดล้างมือบ้วนปากแล้วกลับเข้ามานั่งรอในห้องนั่งเล่นอย่างรวดเร็ว

           แม่บ่นฉันที่ทำอะไรตึงตังเป็นเด็กๆ อยู่ในครัว ส่วนพ่อแค่เงยหน้าขึ้นมามองยิ้มๆ แล้วส่ายหน้า ฉันหัวเราะคิกคักก่อนจะนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวีรองานเลี้ยงของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ

           แม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 16 แล้วที่ทางบ้านจัดงานแบบนี้ให้แต่ฉันก็ยังตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะพ่อกับแม่และพี่สาวจะมีของขวัญมาเซอร์ไพรส์ฉันเสมอ

           อันที่จริงบ้านเรามีธรรมเนียมการจัดงานวันเกิดและมอบของขวัญให้กันมาตั้งแต่ตอนที่ฉันยังไม่เกิดด้วยซ้ำ เพราะพี่สาวกับฉันอายุห่างกันมาก ดังนั้นถ้ารวมของพี่ด้วยบ้านเราก็จัดงานแบบนี้มา 36 ครั้งแล้ว แต่พอพี่บรรลุนิติภาวะแล้วก็เลิกจัดไป ตอนนี้จึงเหลือแค่ฉันคนเดียวที่ได้รับสิทธิ์นี้

           “กลับมาแล้วค่ะ” 

           เสียงของพี่สาวดังขึ้นมาจากโถงทางเดิน ฉันรีบวิ่งไปหาแล้วรับเค้กที่พี่ถือมาด้วย แม่โผล่หน้าออกมาจากครัวบอกให้พี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างมือล้างไม้ให้เรียบร้อยเหมือนฉันเปี๊ยบ

           แล้วครอบครัวเราสี่คนก็มานั่งพร้อมหน้ากันที่โต๊ะกินข้าว ตรงหน้าเป็นอาหารเมนูต่างๆ ที่แม่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษซึ่งแทบจะทั้งหมดเป็นเมนูโปรดของฉัน

           กินข้าวก่อนแล้วค่อยกินเค้ก แม่พูดแบบนั้นแล้วพวกเราก็ลงมือกินข้าวกัน กับข้าวฝีมือแม่นั้นอร่อยที่สุดและยิ่งอร่อยๆ มากขึ้นเมื่อกินพร้อมกันกับทุกคนแบบนี้

           เสร็จจากของคาวก็เป็นของหวาน หลังจากร้องเพลงวันเกิดแล้วเป่าเค้กเรียบร้อยก็ถึงช่วงเวลาที่ฉันรอคอยมากที่สุด

           “นี่ของพ่อกับแม่ สุขสันต์วันเกิดนะอามายะ ขอบคุณที่เกิดมาเป็นลูกสาวที่น่ารักของพ่อกับแม่นะ” 

           พ่อยื่นกล่องกำมะหยี่ใบหนึ่งมาให้ฉัน มองจากภายนอกก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเครื่องประดับ ฉันขอบคุณพ่อกับแม่แล้วก็รับกล่องนั้นมา

           “หนูเปิดเลยได้ไหมคะ?” 

           เห็นพ่อกับแม่พยักหน้าฉันก็เปิดกล่องนั้นทันที แสงสีเงินสะท้อนออกมาจากสายโลหะที่ประดับประดาด้วยลวดลายคล้ายเถาวัลย์ แต่งแต้มด้วยคริสตัลแวววาวระยิบระยับ

           ฉันหยิบมันออกมาจากกล่อง สายโลหะนั้นเชื่อมต่อกันเป็นวงกลมด้วยข้อต่อที่กลมกลืนไปกับลวดลายบนสายนั้น

           “สวยจัง…” 

           สร้อยข้อมือสีเงินแวววาวที่น่าจะทำมาจากทองคำขาวมากกว่าเงินกำลังสะท้อนแสงไฟอยู่ในมือฉัน

           ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วข้าไปกอดพ่อกับแม่ หอมแก้มพวกท่านไปคนละฟอดใหญ่ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

           “ขอบคุณมากนะคะ” 

           พ่อกับแม่ยิ้มให้ฉันและฉันก็หัวเราะเหมือนเด็กน้อยอีกครั้ง

           “เอ้านี่” 

           ในจังหวะนั้นพี่สาวก็ยื่นถุงกระดาษมาให้ มันมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ดูแล้วน่าจะเป็นของดี

           “ขอบคุณค่ะพี่” 

           ฉันรับถุงนั้นมาและขอบคุณเธอพลางก้มมองภายในถุง ข้างในเป็นกล่องอะไรสักอย่างที่มองไม่ออกว่าของข้างในเป็นอะไร

           ฉันเงยหน้ามองพี่สาวด้วยสายตาสงสัยเต็มที่ พี่สาวเห็นแล้วก็ขำ

           “เปิดดูซิ” 

           ตามคำบอก ฉันหยิบกล่องที่อยู่ในถุงนั้นออกมาดู จากภาพและข้อความบนกล่องพอจะทำให้เดาได้แล้วว่าอะไรอยู่ในกล่องนั้น

           “น้ำหอม!” 

           ฉันประหลาดใจกับของขวัญของพี่ในปีนี้พอสมควร ปกติพี่มักจะให้ตุ๊กตาหรือของใช้สำหรับเรียน แต่คราวนี้เป็นน้ำหอม

           “เป็นสาวแล้ว มีไว้ก็ไม่เสียหายหรอก เผื่อเอาไว้ใช้ตอนไปเดต” 

           พี่สาวพูดแล้วก็อมยิ้มแบบมีเลศนัย พอเจอรอยยิ้มแบบรู้ทันไปหมดทุกอย่างแบบนี้ของพี่เข้าก็ฉันก็ทำตัวไม่ค่อยจะถูก

           “ดะ..เดต..เดตอะไร พี่จะให้ฉันไปเดตกับใคร บ้ารึเปล่า…” 

           “นั่นซินะ กับหนุ่มหล่อคนนั้น หรือจะเจ้าของคุณหมีตัวล่าสุดดี” 

           พูดไม่ทันจบพี่ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน เล่นเอาฉันอ้าปากค้างไปต่อไม่เป็น

           หันไปมองพ่อกับแม่ก็เห็นแค่สายตาสงสัยส่งมาจากทั้งสองคน

           “มะ..ไม่มีด่งไม่มีเดตอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ พี่ก็อย่าพูดมั่วๆ ซิ” 

           “งั้นหรอกหรอออ~~” 

           พี่สาวยังไม่วายทิ้งระเบิดซ้ำลงมาอีก ฉันแก้ตัวเป็นพัลวันสุดท้ายก็ต้องหันไปพึงมุกเปลี่ยนเรื่อง เอาเค้กวันเกิดมาตัดแล้วแบ่งกันกิน

           ค่ำคืนแห่งการฉลองวันเกิดจบลงด้วยการหยอกล้อของพี่สาวและการตอบคำถามจากพ่อแม่ที่ดูจะสนุกสนานกับการหยอกลูกสาวคนเล็กของตัวเอง เฮ้ออ… เหนื่อยยย

                                                                  —

 

           กลางสัปดาห์หลังวันเกิดครบรอบ 16 ปีของฉัน ในตอนที่ฉันกับเซริกำลังกินข้าวกลางวันกันอยู่กับกลุ่มเพื่อนในห้องนั่นเอง จู่ๆ เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของเซริก็ดังขึ้นมา ทีแรกทุกคนเข้าใจว่าเป็นแฟนหนุ่มของเธอที่มักจะส่งข้อความมาหาในช่วงพักกลางวันแต่ผิดคาด เพราะเซริที่อ่านข้อความนั้นมองมาที่ฉันอย่างเครียดๆ

           “มีอะไรหรือเปล่า?” 

           ฉันถามเธอ เพื่อนในกลุ่มเองก็เงียบรอคำตอบ เซริถอนหายใจเบาๆ ก่อนส่งโทรศัพท์ให้ฉันดู

           อย่างที่เคยบอกไว้ ในโรงเรียนฮิบิยะแห่งนี้มีข่าวลือเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน และตรงหน้าฉันในตอนนี้ก็คือหนึ่งในข่าวลือใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น

           ถ้าถามว่าข่าวลือนี้มีอะไรผิดปกติ ทำไมเซริถึงทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบนั้น คำตอบอยู่ในข้อความตรงหน้าฉันแล้ว

           [ มีคนเห็นผู้ชายที่น่าจะเป็นแฟนของโอโตเมะ อามายะ เดินเข้าออกบ้านของเธอ ] 

           [ มีแฟนแล้วยังมาอ่อยผู้ชายที่โรงเรียน ต้องเป็นคนยังไงถึงทำแบบนี้ได้ ] 

           [ นั่นน่ะซิ เห็นหน้าติ๋มๆ ทำตัวเรียบร้อย แต่แอบร้ายนะเนี่ย ] 

           [ ร้ายอะไรล่ะ แบบนี้เขาเรียกร่าน ] 

           [ แล้วแกจะแรงเพื่อ… ฮ่าๆๆๆ ] 

           ภาพหน้าจอการสนทนาที่ถูกแคปมาจากหน้าจอโทรศัพท์ของใครสักคน แสดงข้อความการสนทนาที่แสดงความมุ่งร้ายมาที่ฉันอย่างเต็มที่

           ตึ๊งดึ่ง…

           ข้อความใหม่เด้งขึ้นมา คงเป็นเพื่อนของเซริ

           [ข่าวลือเรื่องนี้กระจายไปทั่วทั้งชั้นปีหนึ่งแล้ว พวกผู้หญิงที่ไม่ชอบหน้าเพื่อนเธอพากันแพร่กระจายข่าวลือไปทั่วเลย บอกเพื่อนเธอให้ระวังตัวด้วย] 

           ฉันกับเซริมองหน้ากัน บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อก่อนหน้านี้ค่อยๆ หายไปแทนที่ด้วยความอึดอัดไม่สบายใจ

           “เธอมีพี่น้องที่เป็นผู้ชายอยู่ที่บ้านด้วย” 

           จู่ๆ เซริที่นั่งเงียบตั้งแต่ดูโทรศัพท์ด้วยกันถามขึ้น

           “เธอจะบ้ารึไง ผู้ชายที่เข้าออกบ้านฉันก็มีแค่พ่อเท่านั้นแหละ” 

           “งั้นก็แปลว่าข่าวลือนี้มั่ว” 

           “ก็ต้องมั่วอยู่แล้วซิ นี่เธอคิดอะไรอยู่เนี่ย” 

           ฉันบ่นเซริที่ชักจะมีความคิดแปลกๆ โผล่ขึ้นมา เธอหัวเราะแฮะๆ พลางขอโทษขอโพยฉัน

           “งั้นข่าวลือนี้มันโผล่มาได้ยังไงล่ะเนี่ย” 

           เซริพึมพำคนเดียว เพื่อนๆ คนอื่นก็ปลอบใจฉัน บอกว่าอย่าคิดมาก ทำใจให้สบายๆ ไว้

           อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ใส่ใจข่าวลือพวกนี้สักเท่าไร เพราะรู้ว่าข่าวลือที่ไม่มีมูลจะหายไปเองในเวลาไม่นานนัก แต่ที่น่าปวดหัวคือสิ่งที่ตามมากับข่าวลือไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจา สายตาน่ารังเกียจ รวมถึงการกระทำบางอย่างที่คุกคามการใช้ชีวิตในโรงเรียน สิ่งเหล่านี้ถ้าจัดการไม่ดีก็บั่นทอนจิตใจและร่างกายอยู่มากโข

           ชั่วโมงเรียนตอนบ่ายผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าฉันจะพยายามตั้งใจฟังอาจารย์ที่อยู่หน้าชั้น แต่ก็ยังไม่วายรู้สึกได้ถึงสายตาของคนในห้องที่มองมา

           [‘มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย’] 

           ฉันทำได้เพียงแค่ทน รู้ว่าอีกไม่นานเรื่องพวกนี้ก็จะจบลง ไม่ควรเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ

           ในที่สุดคาบเรียนสุดท้ายก็จบลง ฉันกับเซริแยกกันตรงทางเดินระหว่างอาคาร เซริต้องไปทำงานพิเศษ ส่วนฉันต้องไปช่วยงานสภานักเรียน

           “เดี๋ยวฉันจะลองสืบดูว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ” 

           เซริกระซิบกับฉันก่อนที่เราจะแยกกัน ฉันพยักหน้าและบอกเธอว่าฉันก็จะลองสืบดูด้วย

 

           ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

Status: Ongoing
อาคิยามะ เออิชิ เด็กหนุ่มที่เคยมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม… วันแรกของชีวิต ม.ปลาย เขาถูกรุ่นพี่ลากไปพัวพันกับการมีเรื่องทะเลาะวิวาทและจบลงด้วยการพาไปเลี้ยงอาหารขอโทษ ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กสาวผู้มีนัยน์ตางดงาม โอโตเมะ อามายะ แต่เธอกลับมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม?” ประโยคเปิดตัวที่ไม่ธรรมดา จะนำพาความสัมพันธ์ของพวกเขาไปในทิศทางใด…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท