ตอนนี้เวลาเกือบๆ หกโมงเย็นแล้ว แสงอาทิตย์ยังไม่ลาลับขอบฟ้าแต่ความมืดก็กำลังคืบคลานเข้ามาทุกทีๆ
ฉันเดินสะพายกระเป๋ามุ่งหน้ากลับบ้านไปตามเส้นทางที่คุ้นชินชนิดที่ว่าต่อให้ไม่ตั้งใจมองทางก็ยังไม่หลง
แน่นอนว่าไม่ได้แค่คำกล่าวโม้โก้หรู เพราะในตอนที่ฉันกำลังเดินอยู่นี้ตัวเองก็ไม่ได้ตั้งใจดูทางสักเท่าไรนัก
ร่างกายขยับไปตามความเคยชิน ส่วนสมองกำลังคิดถึงเรื่องเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน
ฉันกลับบ้านพร้อมนิโนะมิยะ เรียวอีกครั้ง แถมครั้งนี้เขายังมาชวนกันต่อหน้าคนอื่นๆ ในห้องเรียนด้วย
ตอนที่เขามาบอกว่ามีธุระจะคุยด้วยนั้นฉันก็ไม่ได้คิดอะไรจึงได้ตอบตกลงไป แต่พอเขาบอกว่างั้นไว้เจอกันตอนกลับบ้านนะ นั่นทำให้ฉันตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะหนึ่ง
พูดจบแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป เหลือไว้แค่สายตาสับสน สงสัย และอิจฉาจากคนในห้อง
ตกเย็นนิโนะมิยะก็มารอกลับพร้อมฉันจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามารอนานไหม พอเห็นเขายังยิ้มสบายๆ ให้ ฉันจึงขอโทษและเดินกลับพร้อมกัน ท่ามกลางสายตาที่มองมา เราสองคนเดินออกจากประตูโรงเรียนโดยเว้นระยะห่างประมาณหนึ่ง
เรื่องสายตาหรือว่าข่าวลือต่างๆ ของฉันกับนิโนะมิยะนั้น สำหรับฉันในตอนนี้แล้วถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรือว่าเรื่องใหญ่โตอะไรอีก คงเป็นเพราะเริ่มชินแล้วกับเรื่องพวกนี้ก็เลยปล่อยผ่านได้ ข่าวลือเองพอไม่มีใครไปกระพือมันก็จะเงียบไปเองหรือไม่ก็มีข่าวลือเรื่องอื่นๆ มากลบ ยังไงในโรงเรียนก็มีข่าวลือโผล่ขึ้นมาไม่เว้นวันอยู่แล้ว
เราเดินออกจากประตูโรงเรียนไปทางสถานีรถไฟด้วยกัน ตามจริงนิโนะมิยะต้องแยกไปอีกทาง ซึ่งถ้าเป็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็คือทางกลับบ้านของพวกเรา แต่ตอนนี้ฉันย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านตัวเองแล้วจึงไม่ได้กลับทางเดิม พอบอกนิโนะมิยะไปแบบนั้นเขาก็บอกจะไปส่งแล้วคุยธุระระหว่างเดินไปด้วยเลย
ธุระของนิโนะมิยะไม่ได้มีอะไรมากมาย เขาแค่จะชวนฉันไปติวด้วยกันเหมือนคราวก่อน แต่หนนี้สมาชิกจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเพราะคุณคาวากุจิกับเพื่อนไม่ได้มาด้วยแล้วแต่จะมีเพื่อนผู้หญิงในห้องเราไปด้วยแทน รวมสมาชิกตอนนี้ก็มีอยู่ 7 คนแล้ว ถ้าฉันกับเซริไปด้วยก็จะเป็น 9 คน เท่ากับครั้งก่อนพอดี
ฉันบอกนิโนะมิยะว่าขอปรึกษาเซริดูก่อนแล้วจะให้คำตอบทีหลัง เขาพยักหน้าแล้วเราก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง
สำหรับฉัน การคุยกับนิโนะมิยะไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว เพราะหลังจากที่เขามาสารภาพความรู้สึกที่มีต่อฉันในครั้งนั้นแล้วเราก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันโดยสมบูรณ์
นิโนะมิยะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาสนใจฉันมากกว่าเพื่อนผู้หญิงคนอื่นในห้อง แต่ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังคงเป็นแค่เพื่อนต่างเพศที่สนิทกันมากกว่าคนอื่นเล็กน้อยไม่เกินเลยไปกว่านั้น
ช่วงแรกเซริมักจะถามฉันถึงความคืบหน้าของความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับนิโนะมิยะบ่อยๆ แต่พอเธอรู้ว่าไม่มีอะไรคืบหน้าก็เลยหมดความสนใจไปแถมพักหลังๆ มานี่ยังบ่นนิโนะมิยะบ่อยๆ ว่าทำอะไรชักช้า
ฉันที่ได้ยินเธอบ่นก็หัวเราะตามน้ำไป ตามจริงแล้วฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรในความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนกับนิโนะมิยะ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่รู้ว่าจะต้องวางตัวอย่างไรให้เหมาะสมเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ อีกส่วนหนึ่งก็เพราะรำคาญเรื่องยุ่งยากที่จะตามมาเพราะความอิจฉาจากผู้หญิงคนอื่นๆ อยู่แบบนี้แล้วสบายใจกว่า ตัวฉันเองเลยไม่กระตือรือร้นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ไปมากกว่านี้
“กลับมาแล้วค่าาา…”
ทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้าไปกลิ่นหอมของเมนูอะไรสักอย่างก็ลอยมาจากในครัว ฉันร้องทักทายคนในบ้านแล้วก็มีเสียงแม่ตอบกลับมาพร้อมกับบอกให้ไปล้างไม้ล้างมือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
แล้วฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้มีงานฉลองวันเกิดครั้งที่ 16 ของตัวเองรออยู่
โดยไม่ต้องให้แม่บอกซ้ำ ฉันรีบไปเปลี่ยนชุดล้างมือบ้วนปากแล้วกลับเข้ามานั่งรอในห้องนั่งเล่นอย่างรวดเร็ว
แม่บ่นฉันที่ทำอะไรตึงตังเป็นเด็กๆ อยู่ในครัว ส่วนพ่อแค่เงยหน้าขึ้นมามองยิ้มๆ แล้วส่ายหน้า ฉันหัวเราะคิกคักก่อนจะนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวีรองานเลี้ยงของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ
แม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 16 แล้วที่ทางบ้านจัดงานแบบนี้ให้แต่ฉันก็ยังตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะพ่อกับแม่และพี่สาวจะมีของขวัญมาเซอร์ไพรส์ฉันเสมอ
อันที่จริงบ้านเรามีธรรมเนียมการจัดงานวันเกิดและมอบของขวัญให้กันมาตั้งแต่ตอนที่ฉันยังไม่เกิดด้วยซ้ำ เพราะพี่สาวกับฉันอายุห่างกันมาก ดังนั้นถ้ารวมของพี่ด้วยบ้านเราก็จัดงานแบบนี้มา 36 ครั้งแล้ว แต่พอพี่บรรลุนิติภาวะแล้วก็เลิกจัดไป ตอนนี้จึงเหลือแค่ฉันคนเดียวที่ได้รับสิทธิ์นี้
“กลับมาแล้วค่ะ”
เสียงของพี่สาวดังขึ้นมาจากโถงทางเดิน ฉันรีบวิ่งไปหาแล้วรับเค้กที่พี่ถือมาด้วย แม่โผล่หน้าออกมาจากครัวบอกให้พี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างมือล้างไม้ให้เรียบร้อยเหมือนฉันเปี๊ยบ
แล้วครอบครัวเราสี่คนก็มานั่งพร้อมหน้ากันที่โต๊ะกินข้าว ตรงหน้าเป็นอาหารเมนูต่างๆ ที่แม่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษซึ่งแทบจะทั้งหมดเป็นเมนูโปรดของฉัน
กินข้าวก่อนแล้วค่อยกินเค้ก แม่พูดแบบนั้นแล้วพวกเราก็ลงมือกินข้าวกัน กับข้าวฝีมือแม่นั้นอร่อยที่สุดและยิ่งอร่อยๆ มากขึ้นเมื่อกินพร้อมกันกับทุกคนแบบนี้
เสร็จจากของคาวก็เป็นของหวาน หลังจากร้องเพลงวันเกิดแล้วเป่าเค้กเรียบร้อยก็ถึงช่วงเวลาที่ฉันรอคอยมากที่สุด
“นี่ของพ่อกับแม่ สุขสันต์วันเกิดนะอามายะ ขอบคุณที่เกิดมาเป็นลูกสาวที่น่ารักของพ่อกับแม่นะ”
พ่อยื่นกล่องกำมะหยี่ใบหนึ่งมาให้ฉัน มองจากภายนอกก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเครื่องประดับ ฉันขอบคุณพ่อกับแม่แล้วก็รับกล่องนั้นมา
“หนูเปิดเลยได้ไหมคะ?”
เห็นพ่อกับแม่พยักหน้าฉันก็เปิดกล่องนั้นทันที แสงสีเงินสะท้อนออกมาจากสายโลหะที่ประดับประดาด้วยลวดลายคล้ายเถาวัลย์ แต่งแต้มด้วยคริสตัลแวววาวระยิบระยับ
ฉันหยิบมันออกมาจากกล่อง สายโลหะนั้นเชื่อมต่อกันเป็นวงกลมด้วยข้อต่อที่กลมกลืนไปกับลวดลายบนสายนั้น
“สวยจัง…”
สร้อยข้อมือสีเงินแวววาวที่น่าจะทำมาจากทองคำขาวมากกว่าเงินกำลังสะท้อนแสงไฟอยู่ในมือฉัน
ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วข้าไปกอดพ่อกับแม่ หอมแก้มพวกท่านไปคนละฟอดใหญ่ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“ขอบคุณมากนะคะ”
พ่อกับแม่ยิ้มให้ฉันและฉันก็หัวเราะเหมือนเด็กน้อยอีกครั้ง
“เอ้านี่”
ในจังหวะนั้นพี่สาวก็ยื่นถุงกระดาษมาให้ มันมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ดูแล้วน่าจะเป็นของดี
“ขอบคุณค่ะพี่”
ฉันรับถุงนั้นมาและขอบคุณเธอพลางก้มมองภายในถุง ข้างในเป็นกล่องอะไรสักอย่างที่มองไม่ออกว่าของข้างในเป็นอะไร
ฉันเงยหน้ามองพี่สาวด้วยสายตาสงสัยเต็มที่ พี่สาวเห็นแล้วก็ขำ
“เปิดดูซิ”
ตามคำบอก ฉันหยิบกล่องที่อยู่ในถุงนั้นออกมาดู จากภาพและข้อความบนกล่องพอจะทำให้เดาได้แล้วว่าอะไรอยู่ในกล่องนั้น
“น้ำหอม!”
ฉันประหลาดใจกับของขวัญของพี่ในปีนี้พอสมควร ปกติพี่มักจะให้ตุ๊กตาหรือของใช้สำหรับเรียน แต่คราวนี้เป็นน้ำหอม
“เป็นสาวแล้ว มีไว้ก็ไม่เสียหายหรอก เผื่อเอาไว้ใช้ตอนไปเดต”
พี่สาวพูดแล้วก็อมยิ้มแบบมีเลศนัย พอเจอรอยยิ้มแบบรู้ทันไปหมดทุกอย่างแบบนี้ของพี่เข้าก็ฉันก็ทำตัวไม่ค่อยจะถูก
“ดะ..เดต..เดตอะไร พี่จะให้ฉันไปเดตกับใคร บ้ารึเปล่า…”
“นั่นซินะ กับหนุ่มหล่อคนนั้น หรือจะเจ้าของคุณหมีตัวล่าสุดดี”
พูดไม่ทันจบพี่ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน เล่นเอาฉันอ้าปากค้างไปต่อไม่เป็น
หันไปมองพ่อกับแม่ก็เห็นแค่สายตาสงสัยส่งมาจากทั้งสองคน
“มะ..ไม่มีด่งไม่มีเดตอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ พี่ก็อย่าพูดมั่วๆ ซิ”
“งั้นหรอกหรอออ~~”
พี่สาวยังไม่วายทิ้งระเบิดซ้ำลงมาอีก ฉันแก้ตัวเป็นพัลวันสุดท้ายก็ต้องหันไปพึงมุกเปลี่ยนเรื่อง เอาเค้กวันเกิดมาตัดแล้วแบ่งกันกิน
ค่ำคืนแห่งการฉลองวันเกิดจบลงด้วยการหยอกล้อของพี่สาวและการตอบคำถามจากพ่อแม่ที่ดูจะสนุกสนานกับการหยอกลูกสาวคนเล็กของตัวเอง เฮ้ออ… เหนื่อยยย
—
กลางสัปดาห์หลังวันเกิดครบรอบ 16 ปีของฉัน ในตอนที่ฉันกับเซริกำลังกินข้าวกลางวันกันอยู่กับกลุ่มเพื่อนในห้องนั่นเอง จู่ๆ เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของเซริก็ดังขึ้นมา ทีแรกทุกคนเข้าใจว่าเป็นแฟนหนุ่มของเธอที่มักจะส่งข้อความมาหาในช่วงพักกลางวันแต่ผิดคาด เพราะเซริที่อ่านข้อความนั้นมองมาที่ฉันอย่างเครียดๆ
“มีอะไรหรือเปล่า?”
ฉันถามเธอ เพื่อนในกลุ่มเองก็เงียบรอคำตอบ เซริถอนหายใจเบาๆ ก่อนส่งโทรศัพท์ให้ฉันดู
อย่างที่เคยบอกไว้ ในโรงเรียนฮิบิยะแห่งนี้มีข่าวลือเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน และตรงหน้าฉันในตอนนี้ก็คือหนึ่งในข่าวลือใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น
ถ้าถามว่าข่าวลือนี้มีอะไรผิดปกติ ทำไมเซริถึงทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบนั้น คำตอบอยู่ในข้อความตรงหน้าฉันแล้ว
[ มีคนเห็นผู้ชายที่น่าจะเป็นแฟนของโอโตเมะ อามายะ เดินเข้าออกบ้านของเธอ ]
[ มีแฟนแล้วยังมาอ่อยผู้ชายที่โรงเรียน ต้องเป็นคนยังไงถึงทำแบบนี้ได้ ]
[ นั่นน่ะซิ เห็นหน้าติ๋มๆ ทำตัวเรียบร้อย แต่แอบร้ายนะเนี่ย ]
[ ร้ายอะไรล่ะ แบบนี้เขาเรียกร่าน ]
[ แล้วแกจะแรงเพื่อ… ฮ่าๆๆๆ ]
ภาพหน้าจอการสนทนาที่ถูกแคปมาจากหน้าจอโทรศัพท์ของใครสักคน แสดงข้อความการสนทนาที่แสดงความมุ่งร้ายมาที่ฉันอย่างเต็มที่
ตึ๊งดึ่ง…
ข้อความใหม่เด้งขึ้นมา คงเป็นเพื่อนของเซริ
[ข่าวลือเรื่องนี้กระจายไปทั่วทั้งชั้นปีหนึ่งแล้ว พวกผู้หญิงที่ไม่ชอบหน้าเพื่อนเธอพากันแพร่กระจายข่าวลือไปทั่วเลย บอกเพื่อนเธอให้ระวังตัวด้วย]
ฉันกับเซริมองหน้ากัน บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อก่อนหน้านี้ค่อยๆ หายไปแทนที่ด้วยความอึดอัดไม่สบายใจ
“เธอมีพี่น้องที่เป็นผู้ชายอยู่ที่บ้านด้วย”
จู่ๆ เซริที่นั่งเงียบตั้งแต่ดูโทรศัพท์ด้วยกันถามขึ้น
“เธอจะบ้ารึไง ผู้ชายที่เข้าออกบ้านฉันก็มีแค่พ่อเท่านั้นแหละ”
“งั้นก็แปลว่าข่าวลือนี้มั่ว”
“ก็ต้องมั่วอยู่แล้วซิ นี่เธอคิดอะไรอยู่เนี่ย”
ฉันบ่นเซริที่ชักจะมีความคิดแปลกๆ โผล่ขึ้นมา เธอหัวเราะแฮะๆ พลางขอโทษขอโพยฉัน
“งั้นข่าวลือนี้มันโผล่มาได้ยังไงล่ะเนี่ย”
เซริพึมพำคนเดียว เพื่อนๆ คนอื่นก็ปลอบใจฉัน บอกว่าอย่าคิดมาก ทำใจให้สบายๆ ไว้
อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ใส่ใจข่าวลือพวกนี้สักเท่าไร เพราะรู้ว่าข่าวลือที่ไม่มีมูลจะหายไปเองในเวลาไม่นานนัก แต่ที่น่าปวดหัวคือสิ่งที่ตามมากับข่าวลือไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจา สายตาน่ารังเกียจ รวมถึงการกระทำบางอย่างที่คุกคามการใช้ชีวิตในโรงเรียน สิ่งเหล่านี้ถ้าจัดการไม่ดีก็บั่นทอนจิตใจและร่างกายอยู่มากโข
ชั่วโมงเรียนตอนบ่ายผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าฉันจะพยายามตั้งใจฟังอาจารย์ที่อยู่หน้าชั้น แต่ก็ยังไม่วายรู้สึกได้ถึงสายตาของคนในห้องที่มองมา
[‘มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย’]
ฉันทำได้เพียงแค่ทน รู้ว่าอีกไม่นานเรื่องพวกนี้ก็จะจบลง ไม่ควรเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
ในที่สุดคาบเรียนสุดท้ายก็จบลง ฉันกับเซริแยกกันตรงทางเดินระหว่างอาคาร เซริต้องไปทำงานพิเศษ ส่วนฉันต้องไปช่วยงานสภานักเรียน
“เดี๋ยวฉันจะลองสืบดูว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ”
เซริกระซิบกับฉันก่อนที่เราจะแยกกัน ฉันพยักหน้าและบอกเธอว่าฉันก็จะลองสืบดูด้วย
ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต