ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ – ตอนที่ 44

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

           เช้านี้เป็นเช้าวันเสาร์ที่บ้านของรุ่นพี่นาคาจิมะหลังจากที่ไม่ได้มาสักพักแล้ว แม่ของรุ่นพี่ยังคงใจดีกับผมเหมือนเดิม เธอทำกับข้าวหลายอย่างเป็นการต้อนรับผมจนรุ่นพี่นาคาจิมะบ่นว่า ตกลงใครเป็นลูกชายแม่กันแน่ ซึ่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการโดนแม่รุ่นพี่สวดแต่เช้า

           พอกินข้าวเสร็จผมกับรุ่นพี่ก็เตรียมตัวติวหนังสือกัน สาเหตุที่ต้องติวกันแต่หัววันแบบนี้เพราะรุ่นพี่นาคาจิมะจำเรื่องที่เรียนมาแทบไม่ได้เลย ดังนั้นถ้าจะติวกันเพื่อให้พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แม้จะเป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่นก็จำเป็นจะต้องทบทวนความรู้ตั้งแต่ต้น และด้วยระยะเวลาที่เหลือเพียงแค่ประมาณครึ่งปีจะติวให้ทันทั้งหมดนั้นนับว่าฉิวเฉียด

           การติวจะเน้นไปที่การปูพื้นฐานเก่าให้รุ่นพี่ก่อน ผมเคยชวนพวกโคสุเกะมาติวด้วยเพื่อจะได้ทบทวนและเป็นการหาเพื่อนติวให้รุ่นพี่ แต่พวกนั้นบอกว่าตัวเองยังไม่ได้คิดจะเข้ามหาวิทยาลัยเลยขอผ่าน

           การติวดำเนินไปเรื่อยๆ ผมจะสอนพื้นฐานรุ่นพี่แล้วปล่อยให้เขาทำโจทย์แบบฝึกหัดเอา ถ้าสงสัยหรือติดตรงไหนค่อยถาม รุ่นพี่นาคาจิมะเองก็ตั้งใจติวอาจจะเป็นเพราะก่อนติวคุณคาวากุจิวิดีโอคอลมาให้กำลังใจแล้วก็เลยมีแรงฮึดฮึกเหิมขนาดนี้ หรือบางทีคงเป็นเพราะเริ่มมีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจนแล้วกระมั่ง

           อนาคตที่ตัวเองวาดหวังไว้งั้นหรอ…

           ผมเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างที่ปล่อยให้รุ่นพี่ทำแบบฝึกหัด รู้ตัวอีกทีก็เผลอคิดเรื่องไร้สาระเก่าๆ อีกแล้ว

           ทั้งที่ผ่านมาเกือบสี่เดือนแล้วแต่ก็ยังจำได้ไม่เคยลืม วันที่ความฝันของผมสูญหายไปไม่อาจย้อนคืน

           ผมสลัดความคิดด้านลบพวกนั้นทิ้งไปแล้วหันกลับมามองรุ่นพี่

           “เอ๊ะ?”

           “อะไรหรอมารุ ฉันทำผิดหรอ?”

           “อ๊ะ เปล่าครับ แค่แปลกใจที่รุ่นพี่ทำได้เร็วขนาดนั้น”

           ผมมองแบบฝึกหัดที่รุ่นพี่นาคาจิมะทำแล้วรู้สึกแปลกใจจริงๆ ที่เห็นว่าเขาทำได้เร็วแบบนั้น พอขอดูก็ยิ่งแปลกใจเพราะมันไม่มีจุดที่ผิดเลย รู้สึกคาดไม่ถึงจริงๆ

           “ปกติที่จริงรุ่นพี่ไม่ได้เรียนไม่เก่งใช่ไหมครับ แค่ไม่เรียนเองเฉยๆ ใช่ไหม?”

           ผมเงยหน้าจากสมุดจดแล้วถามรุ่นพี่นาคาจิมะ รุ่นพี่ดูงงๆ กับคำถามของผม

           “ไม่รู้ซิ ไม่เคยมีใครบอกเหมือนกัน สมัยก่อนฉันว่าตัวเองก็เรียนได้ในระดับกลางๆ นะ แต่ตอนหลังๆ พวกอาจารย์ไม่ค่อยชอบหน้าฉัน พอฉันถามตรงที่ไม่เข้าใจพวกเขาก็ไม่ค่อยตอบ ฉันเลยเลิกสนใจพวกมันไปน่ะ แต่ก็รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้นะ”

           แบบนี้เรียกเก่งใช่มะ รุ่นพี่ว่างั้นพร้อมกับรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ เห็นแล้วไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี ผมเลยตีมึนคืนสมุดให้แล้วปล่อยให้เขาทำแบบฝึกให้เสร็จเพื่อจะได้ไปพักกัน

           การติวดำเนินไปเป็นเวลา 2 วันเต็มๆ ผมจัดหนักจัดเต็มให้รุ่นพี่นาคาจิมะแบบไม่มีกั๊ก น่าประหลาดใจที่รุ่นพี่นาคาจิมะสามารถเรียนได้ต่อเนื่องไม่มีอิดออดเลยแม้แต่น้อย ลบภาพจำนักเรียนนักเลงผู้ลอยชายไปมาได้อย่างหมดจด

           “สำหรับอาทิตย์นี้ก็พอแค่นี้ก็พอแค่นี้ก่อนนะครับ มากกว่านี้จะล้าเอา รุ่นพี่ทบทวนกับทำแบบฝึกซ้ำๆ นะครับ อาทิตย์หน้ามาต่อวิชาอื่นๆ กัน ส่วนอาทิตย์ถัดไปติวสอบปลายภาคก่อน แล้วค่อยไปชดเชยช่วงปิดเทอมเอา”

           ผมบอกแผนการติวคร่าวๆ กับรุ่นพี่นาคาจิมะพร้อมกับเก็บสัมภาระของตัวเองกลับบ้าน แต่รุ่นพี่ทักเอาไว้ซะก่อน

           “นั่นนายจะไปไหนน่ะ?”

           “กลับบ้านไงครับ”

           ผมตอบกลับคำถามรุ่นพี่ไปตรงๆ แต่เขากลับทำหน้างงกับคำตอบของผม

           “ไม่ใช่ว่าหลังจากนี้เราจะไปเล่นบาสกันหรอกหรอ?”

           “เอ๊ะ?”

           “ฉันบอกนายแล้วนิว่าวันนี้จะไปเล่นบาสน่ะ”

           “ก็…ใช่ครับ แต่รุ่นพี่ไม่ได้บอกให้ผมไปด้วยนิ”

           “เจ้าบ้ามารุ บอกนายก็คือชวนนายป๊ะ ไม่ชวนจะบอกทำไมเล่า”

           กลายเป็นว่าผมโดนรุ่นพี่บ่นซะงั้น

           “ทั้งที่ปกติออกจะฉลาดแท้ๆ เรื่องแค่นี้ทำไมถึงไม่รู้ล่ะเนี่ย”

           [‘ทีหลังก็บอกชัดๆ ซิครับว่าไปเล่นด้วยกันน่ะรุ่นพี่’]

           ผมเถียงรุ่นพี่อยู่ในใจพลางเก็บของไปด้วย แล้วการติวเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยของรุ่นพี่นาคาจิมะในครั้งนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้

           หลังจากพักดื่มน้ำกินขนมกันเล็กน้อยผมกับรุ่นพี่ก็ออกจากบ้านตรงไปยังศูนย์กีฬาที่เราไปเล่นบาสด้วยกันบ่อยๆ

           ผมที่หอบกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยเวลาเดินก็จะพะรุงพะรังนิดนึง โชคดีที่รองเท้าสำหรับเล่นบาสอยู่ที่บ้านรุ่นพี่ ไม่งั้นผมคงจะวุ่นวายมากกว่านี้แน่

           ตอนที่พวกเราไปถึงสนามพวกรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่เคยมาเล่นด้วยกันบางคนก็มาถึงก่อนแล้ว

           หลังจากทักทายกันเล็กน้อยผมก็เปลี่ยนรองเท้าแล้วลงไปวิ่งเล่นในสนามเพื่อวอร์มอัพร่างกายป้องกันการบาดเจ็บกับกล้ามเนื้อ

           จนถึงเวลานัดหมายประมาณ 5 โมงเย็น คนส่วนใหญ่ที่เคยเล่นด้วยกันก็มากันครบรวมถึงคุณคาวากุจิด้วย

           เราแบ่งทีมกันได้สี่ทีมเหมือนทุกที ผมและรุ่นพี่นาคาจิมะอยู่กันคนละทีม แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเพราะผมมาเล่นกับทุกคนที่นี่จนคุ้นชินกันดีแล้ว

           หลังจากจับคู่ทีมแล้วก็ลำดับการแข่งกันแล้วพวกเราก็ลงสนามกัน ครั้งนี้ผมได้ดวลกับรุ่นพี่นาคาจิมะก่อนเลย บอกตรงๆ ว่าเป็นอะไรที่โหดหินมาก เพราะถ้านับกันตามความสามารถตัวต่อตัวแล้วรุ่นพี่นาคาจิมะถือว่าเป็นตัวบัคของสนามเลย

           การแข่งขันดำเนินไปโดยมีกติกาง่ายๆ คือฝ่ายไหนได้ 20 แต้มชนะ ทีมที่แพ้จะต้องออกไปแล้วทีมที่ชนะจะอยู่เล่นต่อ แต่ถ้าครบ 20 นาทีแล้วยังหาฝ่ายชนะไม่ได้ก็ต้องออกจากสนามทั้งสองทีม ปล่อยให้ทีมอื่นๆ ได้ลงเล่นบ้าง

           สำหรับการแข่งครั้งนี้หน้าที่ของผมคือตำแหน่ง Point guard อันเป็นตำแหน่งถนัดของตัวเอง หน้าที่รองคือจ่ายบอลให้คนในทีมทำแต้ม ส่วนหน้าที่หลักคือคอยวิ่งตามจับรุ่นพี่นาคาจิมะที่ชอบแอบลักไก่วิ่งไปทำแต้มจากการขว้างบอลยาว

           หลังจากวิ่งตามจับรุ่นพี่นาคาจิมะอยู่จนครบ 20 นาที แต้มของทั้งสองทีมอยู่ที่ 12 : 16 ทำให้ต้องออกจากสนามทั้งคู่ ผมกับรุ่นพี่นาคาจิมะเดินไปหาคุณคาวากุจิที่ถือน้ำมารอที่ริมสนาม

           รุ่นพี่นาคาจิมะรับน้ำส่งมาให้ผมขวดนึง ผมขอบคุณเขาก่อนจะล้วงเอาผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดเหงื่อ

           “อ้าว โอโตเมะจัง มาด้วยหรอ?”

           หืมม…?

           ผมหันไปมองตามเสียงทักของรุ่นพี่นาคาจิมะก็เห็นผู้หญิงสองคนกำลังเดินมาทางพวกเรา พอมองดีๆ แล้วหนึ่งในสองคนนั้นคือโอโตเมะ อามายะ จริงๆ

           ทั้งสองคนเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ คุณคาวากุจิ ผมมองดูพวกเธอทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่กัน

           “สวัสดีค่ะคุณนาคาจิมะ พอดีเอาชุดมาคืนอาคิยามะน่ะค่ะ”

           โอโตเมะทักทายรุ่นพี่กลับและบอกเหตุผลที่เธอมาที่นี่ พอผมสังเกตเห็นถุงกระดาษที่เธอถือมาด้วยก็เลยเข้าใจเหตุผลที่เธอมา

           [‘…แต่บอกให้ฝากคุณคาวากุจิมานินา…’]

           ในขณะที่ผมกำลังสงสัย รุ่นพี่ก็สงสัยด้วยเหมือนกัน เขาทำเสียง หืมมม… พร้อมกับทำหน้างงๆ ไปพร้อมกันแล้วก็หันมามองหน้าผม

           “อะไรครับ?”

           รุ่นพี่ไม่ตอบผมแต่กลับหันไปมองทางโอโตเมะแทน แล้วก็หันกลับมามองผมอีก

           “อย่าบอกนะว่าที่ต้องมายืมชุดฉันก็เพราะเอาชุดตัวเองไปให้โอโตเมะจังยืมน่ะ”

           จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมากลางวง ทำเอาผมติดสถานะสตั้นไปชั่วขณะ

           “…ช่วยไม่ได้นิครับ ตอนนั้นสถานการณ์มันจำเป็น”

           “…แล้วมีหน้ามาบอกว่าลืมเอามาด้วยนะ โกหกรุ่นพี่นิสัยไม่ดีจริงๆ”

           รุ่นพี่นาคาจิมะป้าบเข้าให้ที่หลังหัวไปทีนึง มันไม่ได้เจ็บอะไร เหมือนรุ่นพี่จะแกล้งผมซะมากกว่า

           “ไม่ได้ตั้งใจโกหกนิครับ ตอนนั้นมันไม่รู้จะอธิบายยังไงดี”

           “นี่…ยังจะแถอีก ไหน มีอะไรจะสารภาพอีกไหม?”

           ป้าบที่สองนี่รู้สึกเจ็บนิดๆ ผมหน้ามุ่ยเอามือลูบหัวตัวเองบอกรุ่นพี่นาคาจิมะว่า ไม่มีอะไรแล้ว จากนั้นคุณคาวากุจิก็เข้ามาแยกเอาตัวรุ่นพี่นาคาจิมะไป ดูท่าแล้วคงโดนสวดยาวแน่ๆ

           ผมมองส่งรุ่นพี่ไปสู่สุคติเสร็จแล้วก็หันกลับมาที่โอโตเมะ เห็นเธอมองไปทางรุ่นพี่กับคุณคาวากุจิ แต่เหมือนเธอจะรู้ว่าผมมองอยู่เลยหันกลับมา

           “ทำไมเธอถึงเอามาเองล่ะ? ไม่ใช่ว่าให้ฝากคุณคาวากุจิมาหรอกหรอ?”

           ผมถามเธอไปแบบนั้น เพราะเมื่อคืนวันศุกร์ที่เราคุยกันเราตกลงกันไว้แบบนั้น

           “อ่อ รุ่นพี่คาวากุจิชวนมาน่ะ อีกอย่างมันก็ไม่ไกลด้วย ฉันเลยอยากเอามาคืนเอง อ่ะ ขอบคุณมากนะที่ให้ยืม”

           โอโตเมะยื่นถุงกระดาษที่เธอหิ้วมาให้ผม

           “ไม่เป็นไร”

           ผมรับถุงกระดาษมาเปิดดูข้างในก็เห็นชุดที่ให้เธอยืมไปเมื่อวันก่อน แล้วก็รับรู้ได้ถึงสายตานึงที่มองมา ผมเงยหน้ามองกลับไปยังหญิงสาวอีกคนที่ยืนข้างโอโตเมะ คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเธอเลยลองถามดูเพื่อความชัวร์

           “เอ๊ะ? อ่อ…ใช่ นี่เพื่อนสนิทฉันเอง อาโออิ เซริ”

           “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะอาโออิ เซริ เองค่ะ”

           หญิงสาว…ไม่ซิ ต้องเรียกว่าเด็กสาวถึงจะถูก เธอยื่นมามือมาให้ผมอย่างเป็นกันเองพร้อมกับรอยยิ้มที่มองไม่ออกว่าเป็นยิ้มด้วยเจตนาแบบใด

           อาจเป็นเพราะการแต่งตัวของเธอจึงทำให้ดูมีเสน่ห์ความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าจะดูเป็นสาว ม.ปลาย ไม่เหมือนการแต่งตัวของโอโตเมะ เสน่ห์นั่นช่วยส่งเสริมให้รอยยิ้มเธอดูลึกลับขึ้นไปอีก

           “ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาคิยามะ เออิชิ ครับ เอ่อ…คือขอโทษที่เสียมารยาทครับ มือผมเลอะเหงื่อน่ะ”

           ผมแบมือให้เพื่อนของโอโตเมะดู ไม่ใช่แค่ฝ่ามือ แต่ตัวผมชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งตัว

           คุณอาโออิยิ้มแม้ว่าจะได้ยินข้ออ้างของผมไปแล้วแต่ก็ยังไม่ชักมือกลับแถมตอบกลับมาว่าเธอไม่ถือ

           ผมรู้สึกงงเล็กน้อยกับการกระทำของเธอ แต่ไหนๆ เธอก็ให้เกียรติกันขนาดนี้ ถ้าปฏิเสธอีกคงจะเสียมารยาทมากเกินไป

           ผมเทน้ำจากขวดล้างมือแล้วสะบัดๆ ให้พอหมาด ก่อนจะยื่นมือไปจับมือเธอตอบ

           “ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งครับ”

           “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”

           เราปล่อยมือกันหลังจากกล่าวทักทายกันแค่นั้น ผมหันไปถามโอโตเมะว่าเธอจะกลับตอนไหน คำตอบคืออีกเดี๋ยวก็กลับ เธอแค่จะเอาชุดมาคืนผมแค่นั้น

           [‘ถ้าแค่นั้นฝากคุณคาวากุจิมาก็ได้’]

           ผมคิดแต่ไม่ได้พูดออกไป เพราะหลังจากนี้เธออาจจะมีธุระอื่นอีกก็ได้ การถามซอกแซกอาจจะดูไม่ดี

           “แล้วนายจะกลับเมื่อไหร่หรอ?”

           คราวนี้โอโตเมะถามผมกลับบ้าง ผมมองไปที่เธอก็ไม่แน่ใจว่าเธอมองผมอยู่ไหมเนื่องจากหมวกของเธอบังหน้าเธอไปครึ่งหนึ่ง

           “น่าจะเล่นกันอีกเกมหรือสองเกมน่ะ ฉันไม่ค่อยได้มาเล่น มาทีพวกรุ่นพี่ชอบดึงตัวไว้ไม่ยอมให้กลับ”

           “ฮ่าๆ ลำบากแย่เลยนะน่ะ”

           ผมมองปีกบนหมวกของเธอขยับตามจังหวะการหัวเราะของเธอ ในใจก็คิดว่าหมวกนี่มันเกะกะจริงๆ

           “นานๆ ทีก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คนพวกนี้ชวนมาเล่นทุกวัน เด็กมหาวิทยาลัยนี่เวลาว่างเยอะกันจริงๆ”

           พอตอบโอโตเมะไปแบบนั้นเธอก็เอียงคอนิดมองผม

           “เอ๊ะ? พวกเขาไม่ใช่เพื่อนนายหรอกหรอ?”

           “ไม่หรอก คนพวกนี้มาจากหลายๆ ที่ มีทั้งเด็กมหาวิทยาลัยไปจนถึงคนที่ทำงานแล้วมารวมตัวกัน สลับๆ กันมาเล่น”

           “เอ๋… งั้นนายก็เด็กสุดเลยอ่ะดิ”

           “ก็น่าจะนะ ฉันยังไม่เคยเจอคนรุ่นเดียวกันเลย”

           “เอ๋…?”

           “อะไร?”

           “แต่นายดูกลมกลืนกับพวกเขานะ”

           เกือบจะเผลอเออออตามคำพูดของโอโตเมะที่พูดได้ไหลลื่นเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่สมองส่วนหน้าของผมกลับส่งเสียงเอ๊ะขึ้นมาก่อน

           “เธอว่าฉันหน้าแก่?”

           “ป่าวววว…นายคิดมากน่า ฮิๆๆ”

           ฟังเสียงก็รู้ทันทีว่าผมคิดถูก ยัยนี่ตั้งใจแหย่ผมเล่น ผมมองเธอยิ้มหัวเราะคิกคักเหมือนเด็กน้อยที่แกล้งเพื่อนได้สำเร็จ

           ผมเองก็เพิ่งรู้เมื่อคืนวันศุกร์นี่เองว่าโอโตเมะมีใบหน้าตอนยิ้มที่ดูเหมือนเด็กน้อยมากๆ

           ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กน้อยในด้านของอายุ แต่ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนรอยยิ้มของเด็กๆ โดยเฉพาะดวงตานั่นที่มักจะสะท้อนความคิดของเจ้าของออกมา เวลาที่มันโค้งขึ้นนิดๆ ตอนที่เธอหัวเราะนั่นช่างชวนมอง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมชอบมันจริงๆ

           แต่ตอนนี้ดวงตาฉ่ำวาวที่น่าจะโค้งขึ้นนิดๆ นั่นถูกบังโดยเจ้าหมวกบนหัวของเธอ

           [‘น่าขัดใจจริง…ใส่หมวกอะไรเนี่ย’]

           ผมคิดแบบนั้นแล้วก็ดึงหมวกของเธอขึ้นมาพร้อมกับถามเธอว่าแต่งตัวอะไรมาเนี่ย ถามเสร็จแล้วก็ฉุกใจคิดได้ว่าเหมือนตัวเองจะใช้คำถามผิดไปนิดหน่อย

           แต่ก็ไม่ทันแล้ว โอโตเมะโวยวายแล้วกระโจนเข้ามาแย่งหมวกคืนจากผมเสียแล้ว

           เราสองคนต่อล้อต่อเถียงกันอยู่ข้างสนามบาสจนลืมสังเกตไปเลยว่าพวกรุ่นพี่และเพื่อนของโอโตเมะเดินหลบไปนั่งกันแล้ว

           สุดท้ายผมก็ต้องคืนหมวกให้กับโอโตเมะไปเพราะเธอทำท่าจะร้องไห้

           อุตส่าห์ตั้งใจว่าถ้าเจอกันจะทำตัวเป็นคนดีเพื่อให้เธอลืมเรื่องไม่ดีๆ ที่ทำเมื่อคืนก่อน แต่กลายเป็นว่าผมไปทำให้เธอโกรธมากกว่าเดิมเข้าไปอีก แบบนี้แย่แน่ๆ

           โอโตเมะสวมหมวกแล้วก้มหน้าไม่ยอมมองผม ผมเลยล้วงลูกอมที่เหลือในกระเป๋ากางเกงออกมาแล้วส่งให้เธอ

           “นี่…”

           พอโอโตเมะเห็นว่าผมยื่นอะไรให้ เธอก็ยอมมองหน้าผมทันที แต่แทนที่จะเป็นใบหน้าสงสัยว่านี่คืออะไรอย่างที่ผมคาดไว้ มันกลับเป็นใบหน้าที่ทำให้ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาซะเอง

           “โกรธหรอ?”

           “เปล่า!!”

           [‘โกรธชัดๆ’]

           ผมเถียงโอโตเมะในใจและไม่ปล่อยให้ความจริงในใจนี้หลุดออกไป ผมจึงพยายามง้อเธอต่อ

           “นี่ ไม่เอาหรอ?”

           “อาคิยามะ นายเห็นฉันเป็นเด็กหรือไงถึงได้คิดว่าเอาลูกอมมาให้แล้วฉันจะอารมณ์ดีน่ะ”

           [‘อ้าว นึกว่าโกรธเรื่องหมวก นี่โกรธเรื่องลูกอมหรอกรึ’]

           ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เธอโกรธผมเรื่องนั้นแต่ก็รู้ตัวดีว่าการพูดมันออกมาก็ไม่ต่างอะไรกับการไปดึงสลักระเบิดเล่น ดังนั้นแล้วสิ่งที่ผมควรทำตอนนี้ก็คือการเปลี่ยนเรื่อง

           “เปล่า…งั้นก็ช่างเถอะ ไปนั่งกันเถอะ พวกรุ่นพี่ไปนั่งกันหมดแล้ว”

           โดยไม่รอให้โอโตเมะตัดสินใจหรือได้ทันคิดอะไร ผมเดินไปนั่งตรงที่พวกรุ่นพี่นั่งอยู่ โดยนั่งลงข้างรุ่นพี่นาคาจิมะ โอโตเมะเดินตามมาแต่ไม่ยอมนั่งจนคุณคาวากุจิถามว่าทำอะไรอยู่

           โอโตเมะทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมนั่งลงข้างผม ผมมองดูเธอตลอดตั้งแต่เธอเดินตามมา ยิ่งได้เห็นท่าทางเหมือนเด็กน้อยถูกขัดใจนั่นแล้วไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่ามันดูน่ารักนิดๆ

           ผมเอ่ยขอโทษโอโตเมะ แต่เธอทำเป็นไม่สนใจผม ผมแอบยิ้มอยู่ในใจกับการตอบสนองของเธอแล้วก็พูดต่อ

           “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเธอ”

           “…”

           “แค่รู้สึกว่าเธอไม่ค่อยเหมาะกับหมวกอันนี้เท่าไร”

           “…”

           “ฉันคิดว่าเธอดูดีกว่าถ้าไม่สวมมัน แต่ถ้าออกไปเจอแดดข้างนอกก็อีกเรื่อง”

           หลังความพยายามในการเรียกความสนใจจากเธอ ในที่สุดโอโตเมะก็หันมามองผม แววตาเอาเรื่องนั่นจ้องมาที่ผมเขม็ง ไม่รอช้าผมรีบพูดต่อ ตีเหล็กมันต้องตีตอนกำลังร้อนนี่แหละ

           “ปกติเธอแต่งตัวแบบนี้หรอ?”

           “…”

           “ฉันเพิ่งเคยเห็นเธอแต่งแบบนี้”

           “…”

           “ดูเข้ากับเธอดีนะ”

           “อะไร แกล้งฉัน ว่าฉันแล้ว ตอนนี้จะกลับตัวมาพูดชมหรือไง?”

           [‘ยอมตอบแล้วๆ ~~’]

           ผมพยายามเก๊กหน้าตัวเองไม่ให้เผลอยิ้มจนเกินไป ปั้นยิ้มน้อยๆ ให้ดูเป็นธรรมชาติ

           “เปล่า ฉันไม่ได้ว่าเธอนิ แค่ถามว่าแต่งตัวอะไรมา”

           “นั่นไม่เรียกว่าว่าหรอ?”

           “นั่นเป็นคำถามซิ”

           “อย่ามาแถ!!”

           แล้วเราก็เริ่มถกปัญหาการแต่งตัวกัน อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นปัญหาก็ไม่ถูกนักเพราะโอโตเมะไม่ได้แต่งตัวมีปัญหาอะไรเลย เธอแต่งมาดูดีด้วยซ้ำ ติดอย่างเดียวคือหมวกของเธอซึ่งผมไม่ชอบมันสักเท่าไร ย้ำนะว่าผมไม่ชอบแค่หมวกแล้วก็เป็นแค่ความคิดเห็นของผมด้วย ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังอธิบายว่าทำไมผมถึงไม่ชอบมัน… แบบอ้อมๆ

           “อย่างแรกเลย การแต่งตัวของเธอไม่ได้มีปัญหานะ ในความคิดฉัน ฉันว่ามันออกมาดีเลย แต่หมวกเนี่ยมันขัดกับลุคการแต่งตัวของเธอไปหน่อย”

           “ขัดยังไง?”

           โอโตเมะสวนมาทันที ดูท่าแล้วถ้าไม่อธิบายดีๆ ผมคงชะตาขาดแน่ๆ

           “ก็เธอน่ะอยู่ ม.ปลายแล้ว วันนี้ก็แต่งตัวมาในลุควัยรุ่นสดใสสมวัย แล้วไหงหมวกเธอถึงได้มีปีกสีขาวกับลายคล้ายของหนูน้อยกับดอกเตอร์สลัมคนนั้นนักล่ะ ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีหรอกนะ แค่มันคล้ายหมวกที่เด็กอนุบาลชอบใส่กันเฉยๆ”

           คราวนี้โอโตเมะอ้าปากเหมือนจะเถียงผมอีกแต่ก็ไม่มีคำพูดหลุดออกมา ดูท่าเธอคงพอรู้อยู่เหมือนกันว่าหมวกของเธอมันมีลักษณะยังไง

           “กะ…ฉันมีอยู่อันเดียวนิ แค่ใส่มากันแดดไม่ได้หรือไงล่ะ”

           ในที่สุดก็เถียงผมกลับมา แต่ก็เป็นการเถียงแบบไม่เต็มเสียงนัก เห็นแบบนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้

           เพี๊ยะ!!

           ผมมองต้นแขนตัวเองที่ถูกตี ไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด กลับประหลาดใจเล็กน้อยที่ถูกตี นี่คือสิ่งที่เรียกว่าจากอับอายกลายเป็นโกรธาหรือเนี่ย

           ผมแกล้งทำเป็นลูบๆ ตรงบริเวณที่ถูกตีทั้งที่ไม่เจ็บ มองโอโตเมะที่ทำท่าทางเป็นเด็กน้อยโวยวายอยู่ข้างๆ ทั้งตลก ทั้งน่ารักน่าชัง

           สุดท้ายผมก็ต้องยอมถอยให้เธอ ใจจริงก็อยากจะแกล้งเล่นต่อแต่ถ้าแกล้งมากเกินไปเดี๋ยวเธอจะโกรธจริงๆ เอาได้ การหยุดไว้แต่พอดีจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะถ้าไม่ทำผมอาจจะเล่นบาสต่อไม่ได้เพราะโอโตเมะเงื้อมือมองผมตาเขียวแล้ว

           แต่โบราณว่าไว้ สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เผลอแค่นิดเดียวปากผมก็พาตัวเองซวยซะแล้ว

           “งั้นเดี๋ยวเธอด่วนกลับไหม ฉันรู้จักร้านดีๆ อยู่ร้านนึง เป็นทางผ่านกลับบ้านแต่มันต้องอ้อมสักหน่อย ถ้ายังไงฉันพาไปซื้อได้ หาที่มันเข้ากับเธอสักใบก็ดี หึๆๆ”

           เพี๊ยยย…

           ซู๊ดดดด…

           เจ็บชะมัด…

           เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นเรื่องราวของการง้อโอโตเมะ อามายะ ที่งอนตุ๊บป่องไม่พูดไม่จา ง้อจนรุ่นพี่นาคาจิมะถึงกลับหันไปกระซิบกับสองสาวที่นั่งข้างๆ ว่า

           “สองคนนั่นคบกันอยู่หรอ?”

           แต่ผมก็ไม่ได้สนใจยังง้อโอโตโมะต่อจนถึงเวลาลงไปเล่นบาสในเกมที่ 2

           พอกลับออกมาโอโตเมะกับเพื่อนก็กลับไปเสียแล้ว

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

Status: Ongoing
อาคิยามะ เออิชิ เด็กหนุ่มที่เคยมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม… วันแรกของชีวิต ม.ปลาย เขาถูกรุ่นพี่ลากไปพัวพันกับการมีเรื่องทะเลาะวิวาทและจบลงด้วยการพาไปเลี้ยงอาหารขอโทษ ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กสาวผู้มีนัยน์ตางดงาม โอโตเมะ อามายะ แต่เธอกลับมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม?” ประโยคเปิดตัวที่ไม่ธรรมดา จะนำพาความสัมพันธ์ของพวกเขาไปในทิศทางใด…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท