เช้านี้เป็นเช้าวันเสาร์ที่บ้านของรุ่นพี่นาคาจิมะหลังจากที่ไม่ได้มาสักพักแล้ว แม่ของรุ่นพี่ยังคงใจดีกับผมเหมือนเดิม เธอทำกับข้าวหลายอย่างเป็นการต้อนรับผมจนรุ่นพี่นาคาจิมะบ่นว่า ตกลงใครเป็นลูกชายแม่กันแน่ ซึ่งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการโดนแม่รุ่นพี่สวดแต่เช้า
พอกินข้าวเสร็จผมกับรุ่นพี่ก็เตรียมตัวติวหนังสือกัน สาเหตุที่ต้องติวกันแต่หัววันแบบนี้เพราะรุ่นพี่นาคาจิมะจำเรื่องที่เรียนมาแทบไม่ได้เลย ดังนั้นถ้าจะติวกันเพื่อให้พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แม้จะเป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่นก็จำเป็นจะต้องทบทวนความรู้ตั้งแต่ต้น และด้วยระยะเวลาที่เหลือเพียงแค่ประมาณครึ่งปีจะติวให้ทันทั้งหมดนั้นนับว่าฉิวเฉียด
การติวจะเน้นไปที่การปูพื้นฐานเก่าให้รุ่นพี่ก่อน ผมเคยชวนพวกโคสุเกะมาติวด้วยเพื่อจะได้ทบทวนและเป็นการหาเพื่อนติวให้รุ่นพี่ แต่พวกนั้นบอกว่าตัวเองยังไม่ได้คิดจะเข้ามหาวิทยาลัยเลยขอผ่าน
การติวดำเนินไปเรื่อยๆ ผมจะสอนพื้นฐานรุ่นพี่แล้วปล่อยให้เขาทำโจทย์แบบฝึกหัดเอา ถ้าสงสัยหรือติดตรงไหนค่อยถาม รุ่นพี่นาคาจิมะเองก็ตั้งใจติวอาจจะเป็นเพราะก่อนติวคุณคาวากุจิวิดีโอคอลมาให้กำลังใจแล้วก็เลยมีแรงฮึดฮึกเหิมขนาดนี้ หรือบางทีคงเป็นเพราะเริ่มมีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจนแล้วกระมั่ง
อนาคตที่ตัวเองวาดหวังไว้งั้นหรอ…
ผมเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างที่ปล่อยให้รุ่นพี่ทำแบบฝึกหัด รู้ตัวอีกทีก็เผลอคิดเรื่องไร้สาระเก่าๆ อีกแล้ว
ทั้งที่ผ่านมาเกือบสี่เดือนแล้วแต่ก็ยังจำได้ไม่เคยลืม วันที่ความฝันของผมสูญหายไปไม่อาจย้อนคืน
ผมสลัดความคิดด้านลบพวกนั้นทิ้งไปแล้วหันกลับมามองรุ่นพี่
“เอ๊ะ?”
“อะไรหรอมารุ ฉันทำผิดหรอ?”
“อ๊ะ เปล่าครับ แค่แปลกใจที่รุ่นพี่ทำได้เร็วขนาดนั้น”
ผมมองแบบฝึกหัดที่รุ่นพี่นาคาจิมะทำแล้วรู้สึกแปลกใจจริงๆ ที่เห็นว่าเขาทำได้เร็วแบบนั้น พอขอดูก็ยิ่งแปลกใจเพราะมันไม่มีจุดที่ผิดเลย รู้สึกคาดไม่ถึงจริงๆ
“ปกติที่จริงรุ่นพี่ไม่ได้เรียนไม่เก่งใช่ไหมครับ แค่ไม่เรียนเองเฉยๆ ใช่ไหม?”
ผมเงยหน้าจากสมุดจดแล้วถามรุ่นพี่นาคาจิมะ รุ่นพี่ดูงงๆ กับคำถามของผม
“ไม่รู้ซิ ไม่เคยมีใครบอกเหมือนกัน สมัยก่อนฉันว่าตัวเองก็เรียนได้ในระดับกลางๆ นะ แต่ตอนหลังๆ พวกอาจารย์ไม่ค่อยชอบหน้าฉัน พอฉันถามตรงที่ไม่เข้าใจพวกเขาก็ไม่ค่อยตอบ ฉันเลยเลิกสนใจพวกมันไปน่ะ แต่ก็รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้นะ”
แบบนี้เรียกเก่งใช่มะ รุ่นพี่ว่างั้นพร้อมกับรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ เห็นแล้วไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี ผมเลยตีมึนคืนสมุดให้แล้วปล่อยให้เขาทำแบบฝึกให้เสร็จเพื่อจะได้ไปพักกัน
การติวดำเนินไปเป็นเวลา 2 วันเต็มๆ ผมจัดหนักจัดเต็มให้รุ่นพี่นาคาจิมะแบบไม่มีกั๊ก น่าประหลาดใจที่รุ่นพี่นาคาจิมะสามารถเรียนได้ต่อเนื่องไม่มีอิดออดเลยแม้แต่น้อย ลบภาพจำนักเรียนนักเลงผู้ลอยชายไปมาได้อย่างหมดจด
“สำหรับอาทิตย์นี้ก็พอแค่นี้ก็พอแค่นี้ก่อนนะครับ มากกว่านี้จะล้าเอา รุ่นพี่ทบทวนกับทำแบบฝึกซ้ำๆ นะครับ อาทิตย์หน้ามาต่อวิชาอื่นๆ กัน ส่วนอาทิตย์ถัดไปติวสอบปลายภาคก่อน แล้วค่อยไปชดเชยช่วงปิดเทอมเอา”
ผมบอกแผนการติวคร่าวๆ กับรุ่นพี่นาคาจิมะพร้อมกับเก็บสัมภาระของตัวเองกลับบ้าน แต่รุ่นพี่ทักเอาไว้ซะก่อน
“นั่นนายจะไปไหนน่ะ?”
“กลับบ้านไงครับ”
ผมตอบกลับคำถามรุ่นพี่ไปตรงๆ แต่เขากลับทำหน้างงกับคำตอบของผม
“ไม่ใช่ว่าหลังจากนี้เราจะไปเล่นบาสกันหรอกหรอ?”
“เอ๊ะ?”
“ฉันบอกนายแล้วนิว่าวันนี้จะไปเล่นบาสน่ะ”
“ก็…ใช่ครับ แต่รุ่นพี่ไม่ได้บอกให้ผมไปด้วยนิ”
“เจ้าบ้ามารุ บอกนายก็คือชวนนายป๊ะ ไม่ชวนจะบอกทำไมเล่า”
กลายเป็นว่าผมโดนรุ่นพี่บ่นซะงั้น
“ทั้งที่ปกติออกจะฉลาดแท้ๆ เรื่องแค่นี้ทำไมถึงไม่รู้ล่ะเนี่ย”
[‘ทีหลังก็บอกชัดๆ ซิครับว่าไปเล่นด้วยกันน่ะรุ่นพี่’]
ผมเถียงรุ่นพี่อยู่ในใจพลางเก็บของไปด้วย แล้วการติวเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยของรุ่นพี่นาคาจิมะในครั้งนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
หลังจากพักดื่มน้ำกินขนมกันเล็กน้อยผมกับรุ่นพี่ก็ออกจากบ้านตรงไปยังศูนย์กีฬาที่เราไปเล่นบาสด้วยกันบ่อยๆ
ผมที่หอบกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยเวลาเดินก็จะพะรุงพะรังนิดนึง โชคดีที่รองเท้าสำหรับเล่นบาสอยู่ที่บ้านรุ่นพี่ ไม่งั้นผมคงจะวุ่นวายมากกว่านี้แน่
ตอนที่พวกเราไปถึงสนามพวกรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่เคยมาเล่นด้วยกันบางคนก็มาถึงก่อนแล้ว
หลังจากทักทายกันเล็กน้อยผมก็เปลี่ยนรองเท้าแล้วลงไปวิ่งเล่นในสนามเพื่อวอร์มอัพร่างกายป้องกันการบาดเจ็บกับกล้ามเนื้อ
จนถึงเวลานัดหมายประมาณ 5 โมงเย็น คนส่วนใหญ่ที่เคยเล่นด้วยกันก็มากันครบรวมถึงคุณคาวากุจิด้วย
เราแบ่งทีมกันได้สี่ทีมเหมือนทุกที ผมและรุ่นพี่นาคาจิมะอยู่กันคนละทีม แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเพราะผมมาเล่นกับทุกคนที่นี่จนคุ้นชินกันดีแล้ว
หลังจากจับคู่ทีมแล้วก็ลำดับการแข่งกันแล้วพวกเราก็ลงสนามกัน ครั้งนี้ผมได้ดวลกับรุ่นพี่นาคาจิมะก่อนเลย บอกตรงๆ ว่าเป็นอะไรที่โหดหินมาก เพราะถ้านับกันตามความสามารถตัวต่อตัวแล้วรุ่นพี่นาคาจิมะถือว่าเป็นตัวบัคของสนามเลย
การแข่งขันดำเนินไปโดยมีกติกาง่ายๆ คือฝ่ายไหนได้ 20 แต้มชนะ ทีมที่แพ้จะต้องออกไปแล้วทีมที่ชนะจะอยู่เล่นต่อ แต่ถ้าครบ 20 นาทีแล้วยังหาฝ่ายชนะไม่ได้ก็ต้องออกจากสนามทั้งสองทีม ปล่อยให้ทีมอื่นๆ ได้ลงเล่นบ้าง
สำหรับการแข่งครั้งนี้หน้าที่ของผมคือตำแหน่ง Point guard อันเป็นตำแหน่งถนัดของตัวเอง หน้าที่รองคือจ่ายบอลให้คนในทีมทำแต้ม ส่วนหน้าที่หลักคือคอยวิ่งตามจับรุ่นพี่นาคาจิมะที่ชอบแอบลักไก่วิ่งไปทำแต้มจากการขว้างบอลยาว
หลังจากวิ่งตามจับรุ่นพี่นาคาจิมะอยู่จนครบ 20 นาที แต้มของทั้งสองทีมอยู่ที่ 12 : 16 ทำให้ต้องออกจากสนามทั้งคู่ ผมกับรุ่นพี่นาคาจิมะเดินไปหาคุณคาวากุจิที่ถือน้ำมารอที่ริมสนาม
รุ่นพี่นาคาจิมะรับน้ำส่งมาให้ผมขวดนึง ผมขอบคุณเขาก่อนจะล้วงเอาผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดเหงื่อ
“อ้าว โอโตเมะจัง มาด้วยหรอ?”
หืมม…?
ผมหันไปมองตามเสียงทักของรุ่นพี่นาคาจิมะก็เห็นผู้หญิงสองคนกำลังเดินมาทางพวกเรา พอมองดีๆ แล้วหนึ่งในสองคนนั้นคือโอโตเมะ อามายะ จริงๆ
ทั้งสองคนเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ คุณคาวากุจิ ผมมองดูพวกเธอทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่กัน
“สวัสดีค่ะคุณนาคาจิมะ พอดีเอาชุดมาคืนอาคิยามะน่ะค่ะ”
โอโตเมะทักทายรุ่นพี่กลับและบอกเหตุผลที่เธอมาที่นี่ พอผมสังเกตเห็นถุงกระดาษที่เธอถือมาด้วยก็เลยเข้าใจเหตุผลที่เธอมา
[‘…แต่บอกให้ฝากคุณคาวากุจิมานินา…’]
ในขณะที่ผมกำลังสงสัย รุ่นพี่ก็สงสัยด้วยเหมือนกัน เขาทำเสียง หืมมม… พร้อมกับทำหน้างงๆ ไปพร้อมกันแล้วก็หันมามองหน้าผม
“อะไรครับ?”
รุ่นพี่ไม่ตอบผมแต่กลับหันไปมองทางโอโตเมะแทน แล้วก็หันกลับมามองผมอีก
“อย่าบอกนะว่าที่ต้องมายืมชุดฉันก็เพราะเอาชุดตัวเองไปให้โอโตเมะจังยืมน่ะ”
จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมากลางวง ทำเอาผมติดสถานะสตั้นไปชั่วขณะ
“…ช่วยไม่ได้นิครับ ตอนนั้นสถานการณ์มันจำเป็น”
“…แล้วมีหน้ามาบอกว่าลืมเอามาด้วยนะ โกหกรุ่นพี่นิสัยไม่ดีจริงๆ”
รุ่นพี่นาคาจิมะป้าบเข้าให้ที่หลังหัวไปทีนึง มันไม่ได้เจ็บอะไร เหมือนรุ่นพี่จะแกล้งผมซะมากกว่า
“ไม่ได้ตั้งใจโกหกนิครับ ตอนนั้นมันไม่รู้จะอธิบายยังไงดี”
“นี่…ยังจะแถอีก ไหน มีอะไรจะสารภาพอีกไหม?”
ป้าบที่สองนี่รู้สึกเจ็บนิดๆ ผมหน้ามุ่ยเอามือลูบหัวตัวเองบอกรุ่นพี่นาคาจิมะว่า ไม่มีอะไรแล้ว จากนั้นคุณคาวากุจิก็เข้ามาแยกเอาตัวรุ่นพี่นาคาจิมะไป ดูท่าแล้วคงโดนสวดยาวแน่ๆ
ผมมองส่งรุ่นพี่ไปสู่สุคติเสร็จแล้วก็หันกลับมาที่โอโตเมะ เห็นเธอมองไปทางรุ่นพี่กับคุณคาวากุจิ แต่เหมือนเธอจะรู้ว่าผมมองอยู่เลยหันกลับมา
“ทำไมเธอถึงเอามาเองล่ะ? ไม่ใช่ว่าให้ฝากคุณคาวากุจิมาหรอกหรอ?”
ผมถามเธอไปแบบนั้น เพราะเมื่อคืนวันศุกร์ที่เราคุยกันเราตกลงกันไว้แบบนั้น
“อ่อ รุ่นพี่คาวากุจิชวนมาน่ะ อีกอย่างมันก็ไม่ไกลด้วย ฉันเลยอยากเอามาคืนเอง อ่ะ ขอบคุณมากนะที่ให้ยืม”
โอโตเมะยื่นถุงกระดาษที่เธอหิ้วมาให้ผม
“ไม่เป็นไร”
ผมรับถุงกระดาษมาเปิดดูข้างในก็เห็นชุดที่ให้เธอยืมไปเมื่อวันก่อน แล้วก็รับรู้ได้ถึงสายตานึงที่มองมา ผมเงยหน้ามองกลับไปยังหญิงสาวอีกคนที่ยืนข้างโอโตเมะ คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเธอเลยลองถามดูเพื่อความชัวร์
“เอ๊ะ? อ่อ…ใช่ นี่เพื่อนสนิทฉันเอง อาโออิ เซริ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะอาโออิ เซริ เองค่ะ”
หญิงสาว…ไม่ซิ ต้องเรียกว่าเด็กสาวถึงจะถูก เธอยื่นมามือมาให้ผมอย่างเป็นกันเองพร้อมกับรอยยิ้มที่มองไม่ออกว่าเป็นยิ้มด้วยเจตนาแบบใด
อาจเป็นเพราะการแต่งตัวของเธอจึงทำให้ดูมีเสน่ห์ความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าจะดูเป็นสาว ม.ปลาย ไม่เหมือนการแต่งตัวของโอโตเมะ เสน่ห์นั่นช่วยส่งเสริมให้รอยยิ้มเธอดูลึกลับขึ้นไปอีก
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาคิยามะ เออิชิ ครับ เอ่อ…คือขอโทษที่เสียมารยาทครับ มือผมเลอะเหงื่อน่ะ”
ผมแบมือให้เพื่อนของโอโตเมะดู ไม่ใช่แค่ฝ่ามือ แต่ตัวผมชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งตัว
คุณอาโออิยิ้มแม้ว่าจะได้ยินข้ออ้างของผมไปแล้วแต่ก็ยังไม่ชักมือกลับแถมตอบกลับมาว่าเธอไม่ถือ
ผมรู้สึกงงเล็กน้อยกับการกระทำของเธอ แต่ไหนๆ เธอก็ให้เกียรติกันขนาดนี้ ถ้าปฏิเสธอีกคงจะเสียมารยาทมากเกินไป
ผมเทน้ำจากขวดล้างมือแล้วสะบัดๆ ให้พอหมาด ก่อนจะยื่นมือไปจับมือเธอตอบ
“ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
เราปล่อยมือกันหลังจากกล่าวทักทายกันแค่นั้น ผมหันไปถามโอโตเมะว่าเธอจะกลับตอนไหน คำตอบคืออีกเดี๋ยวก็กลับ เธอแค่จะเอาชุดมาคืนผมแค่นั้น
[‘ถ้าแค่นั้นฝากคุณคาวากุจิมาก็ได้’]
ผมคิดแต่ไม่ได้พูดออกไป เพราะหลังจากนี้เธออาจจะมีธุระอื่นอีกก็ได้ การถามซอกแซกอาจจะดูไม่ดี
“แล้วนายจะกลับเมื่อไหร่หรอ?”
คราวนี้โอโตเมะถามผมกลับบ้าง ผมมองไปที่เธอก็ไม่แน่ใจว่าเธอมองผมอยู่ไหมเนื่องจากหมวกของเธอบังหน้าเธอไปครึ่งหนึ่ง
“น่าจะเล่นกันอีกเกมหรือสองเกมน่ะ ฉันไม่ค่อยได้มาเล่น มาทีพวกรุ่นพี่ชอบดึงตัวไว้ไม่ยอมให้กลับ”
“ฮ่าๆ ลำบากแย่เลยนะน่ะ”
ผมมองปีกบนหมวกของเธอขยับตามจังหวะการหัวเราะของเธอ ในใจก็คิดว่าหมวกนี่มันเกะกะจริงๆ
“นานๆ ทีก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คนพวกนี้ชวนมาเล่นทุกวัน เด็กมหาวิทยาลัยนี่เวลาว่างเยอะกันจริงๆ”
พอตอบโอโตเมะไปแบบนั้นเธอก็เอียงคอนิดมองผม
“เอ๊ะ? พวกเขาไม่ใช่เพื่อนนายหรอกหรอ?”
“ไม่หรอก คนพวกนี้มาจากหลายๆ ที่ มีทั้งเด็กมหาวิทยาลัยไปจนถึงคนที่ทำงานแล้วมารวมตัวกัน สลับๆ กันมาเล่น”
“เอ๋… งั้นนายก็เด็กสุดเลยอ่ะดิ”
“ก็น่าจะนะ ฉันยังไม่เคยเจอคนรุ่นเดียวกันเลย”
“เอ๋…?”
“อะไร?”
“แต่นายดูกลมกลืนกับพวกเขานะ”
เกือบจะเผลอเออออตามคำพูดของโอโตเมะที่พูดได้ไหลลื่นเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่สมองส่วนหน้าของผมกลับส่งเสียงเอ๊ะขึ้นมาก่อน
“เธอว่าฉันหน้าแก่?”
“ป่าวววว…นายคิดมากน่า ฮิๆๆ”
ฟังเสียงก็รู้ทันทีว่าผมคิดถูก ยัยนี่ตั้งใจแหย่ผมเล่น ผมมองเธอยิ้มหัวเราะคิกคักเหมือนเด็กน้อยที่แกล้งเพื่อนได้สำเร็จ
ผมเองก็เพิ่งรู้เมื่อคืนวันศุกร์นี่เองว่าโอโตเมะมีใบหน้าตอนยิ้มที่ดูเหมือนเด็กน้อยมากๆ
ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กน้อยในด้านของอายุ แต่ให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนรอยยิ้มของเด็กๆ โดยเฉพาะดวงตานั่นที่มักจะสะท้อนความคิดของเจ้าของออกมา เวลาที่มันโค้งขึ้นนิดๆ ตอนที่เธอหัวเราะนั่นช่างชวนมอง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมชอบมันจริงๆ
แต่ตอนนี้ดวงตาฉ่ำวาวที่น่าจะโค้งขึ้นนิดๆ นั่นถูกบังโดยเจ้าหมวกบนหัวของเธอ
[‘น่าขัดใจจริง…ใส่หมวกอะไรเนี่ย’]
ผมคิดแบบนั้นแล้วก็ดึงหมวกของเธอขึ้นมาพร้อมกับถามเธอว่าแต่งตัวอะไรมาเนี่ย ถามเสร็จแล้วก็ฉุกใจคิดได้ว่าเหมือนตัวเองจะใช้คำถามผิดไปนิดหน่อย
แต่ก็ไม่ทันแล้ว โอโตเมะโวยวายแล้วกระโจนเข้ามาแย่งหมวกคืนจากผมเสียแล้ว
เราสองคนต่อล้อต่อเถียงกันอยู่ข้างสนามบาสจนลืมสังเกตไปเลยว่าพวกรุ่นพี่และเพื่อนของโอโตเมะเดินหลบไปนั่งกันแล้ว
สุดท้ายผมก็ต้องคืนหมวกให้กับโอโตเมะไปเพราะเธอทำท่าจะร้องไห้
อุตส่าห์ตั้งใจว่าถ้าเจอกันจะทำตัวเป็นคนดีเพื่อให้เธอลืมเรื่องไม่ดีๆ ที่ทำเมื่อคืนก่อน แต่กลายเป็นว่าผมไปทำให้เธอโกรธมากกว่าเดิมเข้าไปอีก แบบนี้แย่แน่ๆ
โอโตเมะสวมหมวกแล้วก้มหน้าไม่ยอมมองผม ผมเลยล้วงลูกอมที่เหลือในกระเป๋ากางเกงออกมาแล้วส่งให้เธอ
“นี่…”
พอโอโตเมะเห็นว่าผมยื่นอะไรให้ เธอก็ยอมมองหน้าผมทันที แต่แทนที่จะเป็นใบหน้าสงสัยว่านี่คืออะไรอย่างที่ผมคาดไว้ มันกลับเป็นใบหน้าที่ทำให้ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาซะเอง
“โกรธหรอ?”
“เปล่า!!”
[‘โกรธชัดๆ’]
ผมเถียงโอโตเมะในใจและไม่ปล่อยให้ความจริงในใจนี้หลุดออกไป ผมจึงพยายามง้อเธอต่อ
“นี่ ไม่เอาหรอ?”
“อาคิยามะ นายเห็นฉันเป็นเด็กหรือไงถึงได้คิดว่าเอาลูกอมมาให้แล้วฉันจะอารมณ์ดีน่ะ”
[‘อ้าว นึกว่าโกรธเรื่องหมวก นี่โกรธเรื่องลูกอมหรอกรึ’]
ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เธอโกรธผมเรื่องนั้นแต่ก็รู้ตัวดีว่าการพูดมันออกมาก็ไม่ต่างอะไรกับการไปดึงสลักระเบิดเล่น ดังนั้นแล้วสิ่งที่ผมควรทำตอนนี้ก็คือการเปลี่ยนเรื่อง
“เปล่า…งั้นก็ช่างเถอะ ไปนั่งกันเถอะ พวกรุ่นพี่ไปนั่งกันหมดแล้ว”
โดยไม่รอให้โอโตเมะตัดสินใจหรือได้ทันคิดอะไร ผมเดินไปนั่งตรงที่พวกรุ่นพี่นั่งอยู่ โดยนั่งลงข้างรุ่นพี่นาคาจิมะ โอโตเมะเดินตามมาแต่ไม่ยอมนั่งจนคุณคาวากุจิถามว่าทำอะไรอยู่
โอโตเมะทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมนั่งลงข้างผม ผมมองดูเธอตลอดตั้งแต่เธอเดินตามมา ยิ่งได้เห็นท่าทางเหมือนเด็กน้อยถูกขัดใจนั่นแล้วไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่ามันดูน่ารักนิดๆ
ผมเอ่ยขอโทษโอโตเมะ แต่เธอทำเป็นไม่สนใจผม ผมแอบยิ้มอยู่ในใจกับการตอบสนองของเธอแล้วก็พูดต่อ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเธอ”
“…”
“แค่รู้สึกว่าเธอไม่ค่อยเหมาะกับหมวกอันนี้เท่าไร”
“…”
“ฉันคิดว่าเธอดูดีกว่าถ้าไม่สวมมัน แต่ถ้าออกไปเจอแดดข้างนอกก็อีกเรื่อง”
หลังความพยายามในการเรียกความสนใจจากเธอ ในที่สุดโอโตเมะก็หันมามองผม แววตาเอาเรื่องนั่นจ้องมาที่ผมเขม็ง ไม่รอช้าผมรีบพูดต่อ ตีเหล็กมันต้องตีตอนกำลังร้อนนี่แหละ
“ปกติเธอแต่งตัวแบบนี้หรอ?”
“…”
“ฉันเพิ่งเคยเห็นเธอแต่งแบบนี้”
“…”
“ดูเข้ากับเธอดีนะ”
“อะไร แกล้งฉัน ว่าฉันแล้ว ตอนนี้จะกลับตัวมาพูดชมหรือไง?”
[‘ยอมตอบแล้วๆ ~~’]
ผมพยายามเก๊กหน้าตัวเองไม่ให้เผลอยิ้มจนเกินไป ปั้นยิ้มน้อยๆ ให้ดูเป็นธรรมชาติ
“เปล่า ฉันไม่ได้ว่าเธอนิ แค่ถามว่าแต่งตัวอะไรมา”
“นั่นไม่เรียกว่าว่าหรอ?”
“นั่นเป็นคำถามซิ”
“อย่ามาแถ!!”
แล้วเราก็เริ่มถกปัญหาการแต่งตัวกัน อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นปัญหาก็ไม่ถูกนักเพราะโอโตเมะไม่ได้แต่งตัวมีปัญหาอะไรเลย เธอแต่งมาดูดีด้วยซ้ำ ติดอย่างเดียวคือหมวกของเธอซึ่งผมไม่ชอบมันสักเท่าไร ย้ำนะว่าผมไม่ชอบแค่หมวกแล้วก็เป็นแค่ความคิดเห็นของผมด้วย ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังอธิบายว่าทำไมผมถึงไม่ชอบมัน… แบบอ้อมๆ
“อย่างแรกเลย การแต่งตัวของเธอไม่ได้มีปัญหานะ ในความคิดฉัน ฉันว่ามันออกมาดีเลย แต่หมวกเนี่ยมันขัดกับลุคการแต่งตัวของเธอไปหน่อย”
“ขัดยังไง?”
โอโตเมะสวนมาทันที ดูท่าแล้วถ้าไม่อธิบายดีๆ ผมคงชะตาขาดแน่ๆ
“ก็เธอน่ะอยู่ ม.ปลายแล้ว วันนี้ก็แต่งตัวมาในลุควัยรุ่นสดใสสมวัย แล้วไหงหมวกเธอถึงได้มีปีกสีขาวกับลายคล้ายของหนูน้อยกับดอกเตอร์สลัมคนนั้นนักล่ะ ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีหรอกนะ แค่มันคล้ายหมวกที่เด็กอนุบาลชอบใส่กันเฉยๆ”
คราวนี้โอโตเมะอ้าปากเหมือนจะเถียงผมอีกแต่ก็ไม่มีคำพูดหลุดออกมา ดูท่าเธอคงพอรู้อยู่เหมือนกันว่าหมวกของเธอมันมีลักษณะยังไง
“กะ…ฉันมีอยู่อันเดียวนิ แค่ใส่มากันแดดไม่ได้หรือไงล่ะ”
ในที่สุดก็เถียงผมกลับมา แต่ก็เป็นการเถียงแบบไม่เต็มเสียงนัก เห็นแบบนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้
เพี๊ยะ!!
ผมมองต้นแขนตัวเองที่ถูกตี ไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด กลับประหลาดใจเล็กน้อยที่ถูกตี นี่คือสิ่งที่เรียกว่าจากอับอายกลายเป็นโกรธาหรือเนี่ย
ผมแกล้งทำเป็นลูบๆ ตรงบริเวณที่ถูกตีทั้งที่ไม่เจ็บ มองโอโตเมะที่ทำท่าทางเป็นเด็กน้อยโวยวายอยู่ข้างๆ ทั้งตลก ทั้งน่ารักน่าชัง
สุดท้ายผมก็ต้องยอมถอยให้เธอ ใจจริงก็อยากจะแกล้งเล่นต่อแต่ถ้าแกล้งมากเกินไปเดี๋ยวเธอจะโกรธจริงๆ เอาได้ การหยุดไว้แต่พอดีจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะถ้าไม่ทำผมอาจจะเล่นบาสต่อไม่ได้เพราะโอโตเมะเงื้อมือมองผมตาเขียวแล้ว
แต่โบราณว่าไว้ สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เผลอแค่นิดเดียวปากผมก็พาตัวเองซวยซะแล้ว
“งั้นเดี๋ยวเธอด่วนกลับไหม ฉันรู้จักร้านดีๆ อยู่ร้านนึง เป็นทางผ่านกลับบ้านแต่มันต้องอ้อมสักหน่อย ถ้ายังไงฉันพาไปซื้อได้ หาที่มันเข้ากับเธอสักใบก็ดี หึๆๆ”
เพี๊ยยย…
ซู๊ดดดด…
เจ็บชะมัด…
เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นเรื่องราวของการง้อโอโตเมะ อามายะ ที่งอนตุ๊บป่องไม่พูดไม่จา ง้อจนรุ่นพี่นาคาจิมะถึงกลับหันไปกระซิบกับสองสาวที่นั่งข้างๆ ว่า
“สองคนนั่นคบกันอยู่หรอ?”
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจยังง้อโอโตโมะต่อจนถึงเวลาลงไปเล่นบาสในเกมที่ 2
พอกลับออกมาโอโตเมะกับเพื่อนก็กลับไปเสียแล้ว