วันนี้อากาศก็ยังคงร้อนเหมือนเดิม ทั้งที่ยังเหลือเวลาอีกตั้งสามสัปดาห์กว่าจะปิดเทอมหน้าร้อนแต่ความรู้สึกฉันตอนนี้คือเรากำลังอยู่ในหน้าร้อนอย่างเต็มตัว
ตอนนี้ฉันกำลังรอเซริอยู่ที่ป้ายรถประจำทางที่ไม่ห่างจากตัวสถานีรถไฟมากนัก เป้าหมายของเราในวันนี้คือศูนย์กีฬากลางของเมืองที่อยู่ห่างออกไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงถ้านั่งรถไป
อันที่จริงเราสามารถนั่งรถไฟไปแล้วเดินต่อไปยังศูนย์กีฬาเลยก็ได้แต่ว่าระยะทางมันค่อนข้างไกล สำหรับในวันที่อากาศร้อนแบบนี้ฉันไม่ค่อยอยากเดินให้เหงื่อออกมากนัก
ระหว่างที่นั่งรอฉันก็นั่งเล่นโทรศัพท์ไปด้วย โชคดีที่โทรศัพท์สมัยนี้เป็นอะไรที่มากกว่าโทรศัพท์อย่างเดียว ฉันเลยไม่รู้สึกเบื่อจากการนั่งรออะไรนานๆ
ฟังจากที่แม่เล่ามาที่โทรศัพท์สมัยก่อนทำได้แค่โทรและรับส่งข้อความ นั่นคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อขั้นสุดสำหรับชีวิตฉันเลยทีเดียว
ไม่นานนักหลังจากส่งข้อความว่ามาถึงสถานีแล้ว เซริก็มาถึงจุดนัดพบของพวกเราในสภาพที่เรียกว่าจัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผม
“ก็ฉันเพิ่งกลับจากเดตกับโยจังนี่นา…”
ฉันเออออรับคำตอบของเธอแบบส่งๆ แล้วหันมาพิจารณาตัวเองที่ออกมาพร้อมกับเสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ และหมวกแก๊ปเด็กอนุบาลหนึ่งใบบนศีรษะ
ภาพสะท้อนตัวเองที่ออกมาจากหน้าจอโทรศัพท์ดูเหมือนเด็กกะโปโลยังไงไม่รู้เมื่อเทียบกับเซริ
“เธอดูดีแล้วน่า”
เซริบอกฉันขำๆ เห็นแล้วก็อารมณ์ขึ้น บอกกันสักนิดก็ไม่ได้ว่าจะแต่งเต็มมาขนาดนี้ ไม่งั้นฉันคงเลือกชุดดีๆ กว่านี้แล้ว ลำพังแค่รุ่นพี่คาวากุจิอย่างเดียวก็จะแย่แล้ว นี่มีเซริอีกคน คนอื่นๆ จะมองฉันยังไงเนี่ย
“อะไรกัน ทำหน้ามุ่ยอย่างนั้นหมายความว่าไง กลัวว่านายอาคิยามะนั่นจะมาสนใจฉันหรอ?”
“พูดบ้าอะไรของเธอ ใครจะไปสนใจกัน”
เซริขำที่ฉันแสดงออกแบบนั้น เธอปลอบฉันว่าฉันแต่งตัวโอเคแล้ว ไม่ต้องคิดมาก
“อีกอย่างฉันก็มีโยจังอยู่ทั้งคน ฉันไม่สนใจพ่ออัศวินขี่ม้าข้าวของเธอหรอก คิกๆๆๆ”
จากตอนแรกฉันว่าจะแค่งอนๆ เซรินิดหน่อย แต่พอได้ยินเธอแซวแบบนี้แล้วชักคิดว่าน่าจะเคืองจริงจังสักทีดีไหม ฮึ่มมม…
เรารอรถกันประมาณ 5 นาที จากนั้นก็นั่งรถไปอีกประมาณ 30 นาที ก็มาถึงศูนย์กีฬากลาง
“ใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย”
“นั่นซินะ”
“แล้วจะหาเจอได้ไงอ่ะ”
“นั่นน่ะซิ”
ฉันกับเซริยืนมองหน้ากันอยู่หน้าทางเข้า สับสนว่าต้องไปทางไหนต่อ ตอนแรกเข้าใจว่ามันไม่ใหญ่โตอะไรมากมายเลยไม่ได้ถามรุ่นพี่คาวากุจิมาให้ละเอียด พอมาเจอจริงๆ เข้าฉันก็ถึงกลับไปไม่ถูก
“รอแปบนะ ถามรุ่นพี่คาวากุจิก่อน”
แล้วฉันก็โทรหารุ่นพี่คาวากุจิ รอไม่นานนักเธอก็รับสาย พูดคุยกันสักพักก็ได้คำตอบว่า ถามคนเฝ้าประตูแล้วก็เดินตามป้ายมา
หันไปมองหน้าเซริแล้วก็หมดคำจะพูด พวกเราจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของรุ่นพี่คาวากุจิ
เริ่มจากจ่ายเงินค่าเข้า เอ๊ะ…ต้องจ่ายด้วย! ฉันแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้กระโตกกระตากอะไร เราถามทางจากเขาแล้วเขาก็ชี้ให้เราเดินตามทางข้างในมันจะมีป้ายบอกเป็นระยะ โชคดีที่คนเฝ้าประตูใจดี เราเลยรู้ทางไปต่อค่อนข้างละเอียด
ฉันกับเซริเดินผ่านสนามกีฬาต่างๆ ไป 4-5 สนาม มีทั้งแบบเป็นโรงยิมในร่มและแบบสนามกลางแจ้ง ตอนนี้เป็นช่วงเย็นแล้ว คนมาเล่นกีฬากันเยอะอยู่
ในที่สุดเราก็เดินมาถึงจุดหมาย ตรงหน้าเป็นอาคารโดมหลังใหญ่ที่พอเดินเข้าไปก็เจอกับสนามบาสเกตบอลอยู่ข้างใน ตอนนี้ในสนามกำลังมีทีมบาสเกตบบอลแข่งกันอยู่ ข้างสนามมีกองเชียร์ที่ตะโกนเชียร์กันเสียงดังดูน่าสนุก
ฉันมองไปตรงแถวกองเชียร์ตรงนั้นแล้วก็เห็นรุ่นพี่คาวากุจินั่งอยู่บนที่นั่งคนดู กำลังมองการแข่งขันในสนาม แวบหนึ่งเหมือนเธอรู้ว่าฉันมองอยู่ เธอหันมาที่ฉันและกวักมือเรียกพวกเราเข้าไป
““สวัสดีค่ะรุ่นพี่””
ฉันกับเซริทักทายรุ่นพี่คาวากุจิที่นั่งอยู่ เธอพยักหน้าแล้วบอกให้พวกเรานั่งลง
“พวกนั้นยังแข่งอยู่ ไหนๆ ก็มาแล้วรอคืนด้วยตัวแล้วกันเนาะ”
“ค่ะ”
ฉันพยักหน้ารับคำของรุ่นพี่คาวากุจิ แล้วก็มองไปในสนาม
ทั้งสองทีมกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด…หรือเปล่า อันนี้ก็ไม่แน่ใจนัก ฉันรู้ว่าบาสเกตบอลมีกติกาการเล่นยังไง แต่ถ้าให้ลงลึกในรายละเอียดก็คงอธิบายไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจริงๆ แล้วในการแข่งขันแบบไหนถึงจะเรียกว่าดุเดือด
เซริที่นั่งข้างๆ กันก็กำลังตั้งใจดูอย่างเต็มที่ ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอสนใจกีฬาประเภทนี้ด้วย
“นี่ อาคิยามะคุงเนี่ย ใช่คนนั้นไหม?”
[‘หืมมม…นึกว่าสนใจการแข่ง นี่มองหาอาคิยามะอยู่หรอกหรอ’]
ฉันมองตามที่เธอบอกแล้วก็พบว่านั่นไม่ใช่อาคิยามะ แต่เป็นใครก็ไม่รู้ ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะสูงพอๆ กันแต่ตัวใหญ่กว่า สีผิวก็เข้มกว่าด้วย ดูแล้วอายุก็น่าจะมากกว่าอีกต่างหาก
“ไม่ใช่หรอก อืมมม…อ๊ะ คนที่ใส่เสื้อสีดำนั่นน่ะ รองเท้าสีขาวๆ ที่กำลังจะชู๊ตน่ะ อ๊ะ ชู๊ตเข้าด้วย”
“อ่อออ…อืมมม…งี้นี่เอง อืมๆๆๆ”
พอเซริเห็นอาคิยามะแล้วก็นั่งงึมงำคนเดียว สายตาไม่ละไปจากสนาม แต่ฉันก็ชักจะชินแล้วเพราะเธอชอบงึมงำแบบนี้ตอนกำลังจินตนาการอะไรสักอย่างอยู่
“อามายะชอบแบบนี้ซินะ”
“ห๊ะ!?”
เซริหันมาบ่นฉันว่าจะเสียงดังทำไม อยู่ใกล้กันแค่นี้ ฉันถึงได้รู้สึกตัวว่าเมื่อกี้ตัวเองเผลอ ห๊ะ เสียงดังไปหน่อย
“จะว่าไงดีล่ะ ดูเหมือนพวกแบดๆ เกเรๆ เลยนะ ตรงข้ามกับนิโนะมิยะเลย แต่ก็ดูมีเสน่ห์แบบลูกผู้ชายดี”
“นี่เธอกำลังประเมินอาคิยามะอยู่หรอ?”
ฉันถามเซริที่หันกลับไปมองในสนามอีกครั้ง เธอพยักหน้าตอบแล้วก็พูดโดยไม่มองมาที่ฉัน
“อืมม มองจากภายนอกถ้าไม่รู้จักกันก็ดูเป็นคนที่น่ากลัวนะ แต่ฟังจากที่เธอเล่ามาแล้วก็ดูไม่น่าจะเป็นคนไม่ดีอะไร ตอนนี้รวมๆ แล้วก็ถือว่าผ่านแหละ”
“เอ๊ะ?? ผ่านอะไร?”
“ผ่านการประเมินของฉันไง”
“แล้วเธอประเมินเขาไปเพื่ออะไรล่ะเนี่ย”
“เอ้า แฟนเพื่อนก็คือเพื่อนใช่ไหมล่ะ ฉันก็ต้องช่วยเธอสแกนก่อนซิ”
“ดะ..เดี๋ยวนะ ฉันไม่ได้คบกับเขา”
“แต่เธอสนใจเขานิ เขาอาจจะมาเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งแฟนของเธอก็ได้”
“บ้าาา…ฉันไปสนใจเขาตอนไหนมิทราบ”
เซริจ้องหน้าฉันเขม็งทันทีที่ฉันตอบเธอไปแบบนั้น สายตานั้นเหมือนจะมองทะลุเข้าเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนไว้ สิ่งที่แม้แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่ามันมีอยู่หรือเปล่า
“อามายะ นี่เธอไม่รู้ตัวจริงๆ หรอ?”
“รู้ตัวเรื่องอะไร?”
“งั้นฉันยกตัวอย่างนะ เธอเคยคิดจะทำข้าวกล่องให้นิโนะมิยะคุงไหม?”
“เอ๊ะ?? เกี่ยวไรกับนิโนะมิยะล่ะ?”
“เอาน่า ตอบมาเถอะ”
“ไม่อะ ฉันยังอยากมีชีวิตในรั้วโรงเรียนที่สงบสุขนะ ขืนทำอะไรแบบนั้นมีหวังคงเป็นข่าวใหญ่แล้วได้โดนรังควานอีกแน่”
แค่คิดว่าถ้าตัวเองทำข้าวกล่องมาให้นิโนะมิยะที่โรงเรียนก็สยองแล้ว ไม่ได้สยองเพราะนิโนะมิยะหรอกนะ เขาน่ะน่าจะดีใจมากเลยแหละ แต่บรรดาแฟนคลับของเขานี่ซิที่ไม่รู้จะทำอะไรแปลกๆ อีกไหม
ฉันลูบขนแขนที่ลุกขึ้นมาพลางฟังเซริพูดต่อ
“งั้นทำไมเธอถึงทำให้อาคิยามะล่ะ?”
“ก็เขาช่วยฉันนิ เรื่องนี้ฉันก็เล่าให้เธอฟังแล้วไม่ใช่หรอ อีกอย่างไม่ได้ทำให้เขาคนเดียว เพื่อนๆ เขาฉันก็ทำให้”
“นิโนะมิยะก็ช่วยเธอที่โรงเรียนหลายๆ อย่างนิ อย่างล่าสุดก็ช่วยแก้ข่าวลือให้นะ”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนยังไง?”
“ก็…มันคนละกรณีกัน จะเหมือนกันได้ยังไง”
“เฮ้อออ…”
เซริถอนหายใจออกมายาวๆ เธอส่ายหน้าพร้อมบอกว่าฉันนี่ไม่ยอมรับอะไรเลยจริงๆ
“แล้วเธอจะให้ฉันยอมรับอะไรไม่ทราบ”
เซริมองหน้าฉันแล้วถอนหายใจอีกรอบด้วยสีหน้าแบบ ไม่ได้เรื่องเลยน้าา… เห็นแล้วคิ้วกระตุกอยากจะบู้บี้หน้าเธอจริงๆ
“งั้นเอาใหม่ ช่วงหลังมานี่ เธอคิดยังไงกับนิโนะมิยะ?”
“เอ๊ะ…? ก็ปกตินะ รู้สึกว่าคุยด้วยง่ายขึ้นคงเพราะสนิทกันมั้ง”
“อย่างอื่นล่ะ?”
“อะไรที่ว่าอย่างอื่น?”
“ความรู้สึกไง”
“ก็ปกติไง”
“ไม่มีคิดถึง”
“ก็มีนึกถึงบ้าง”
“อยากเจอเขามั่งไหม?”
“เฉยๆ อ่ะ”
“อยู่กับเขาแล้วใจเต้นมั่งหรือเปล่า?”
“หลังๆ มานี่ไม่แล้วนะ เหมือนมีภูมิคุ้มกันแล้ว”
“ตอนที่เขาชวนไปติวครั้งล่าสุดนี่ ความคิดแรกที่โผล่เข้ามาในหัวคืออะไร”
“ไม่อยา…เอ๊ะ!?”
เซริมองหน้าฉันนิ่งๆ เหมือนรอให้ฉันพูดให้จบ
“ไม่อยากไป แต่ถ้าเธอไปด้วยคงไม่เป็นไร”
“ดีแล้วซินะที่ฉันปฏิเสธไป”
ฉันก้มหน้าเงียบไม่ได้ตอบอะไรเซริไป เธอเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วเราก็มองไปสนามแข่งขัน
รุ่นพี่คาวากุจิลงไปอยู่ข้างสนามตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ตอนนี้ตรงที่นั่งมีแค่ฉันกับเซริสองคน
“อามายะ”
จู่ๆ เซริก็เรียกชื่อฉัน
“ฉันไม่ได้จะชี้นำอะไรเธอหรอกนะ แต่เธอลองคิดดูให้ดีเกี่ยวกับคำถามที่ฉันถามเธอไปเมื่อกี้นี้ ลองเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่นิโนะมิยะคุงดู แล้วลองพิจารณาดูว่าตัวเองรู้สึกยังไง”
พูดจบเธอก็หันมายิ้มให้ฉัน เป็นรอยยิ้มที่คอยให้กำลังใจกันมาเสมอ
“ฉันเคยบอกเธอแล้วนิ ว่าฉันอยู่ข้างเธอเสมอน่ะ ถ้านิโนะมิยะคุงไม่คิดจะจริงจังหรือเดินหน้าทำอะไร เธอก็ไม่จำเป็นต้องรอเขาหรอก ไอ้ที่บอกเขาว่าจะรอฟังความรู้สึกจริงๆ ของเขาน่ะ แค่รับฟังเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องไปเกรงใจว่าจะต้องตอบรับความรู้สึกนั้นก็ได้ถ้าเธอไม่ชอบ”
“ฉันน…”
พูดได้แค่นั้นแล้วก็นึกคำไม่ออก เซริรู้…นี่ฉันแสดงออกไปมากขนาดไหนกัน คนอื่นจะรู้ไหม นิโนะมิยะจะรู้ไหม…
ฉันเงยหน้ามองเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันอีกครั้ง เธอยังคงยิ้มอ่อนโยนให้ฉันเสมอ รู้สึกขอบคุณเธอจริงๆ ที่ยอมมาเป็นเพื่อนกับฉัน
“ไปกันเถอะ อาคิยามะคุงแข่งจบแล้วนะ”
เซริลุกขึ้นแล้วยื่นมือมาดึงฉันให้ลุกตาม ข้างสนามทีมบาสเกตบอลที่แข่งกันเมื่อครู่ออกมาพักแล้ว ส่วนกองเชียร์เมื่อกี้ตอนนี้ลงไปเป็นผู้เล่นแทน
ฉันกับเซริเดินเข้าไปหารุ่นพี่คาวากุจิ คุณนาคาจิมะกับอาคิยามะก็อยู่ตรงนั้นด้วย กำลังพักกินน้ำกัน
คนแรกที่ทักฉันคือคุณนาคาจิมะ
“อ้าว โอโตเมะจัง มาด้วยหรอ?”
“สวัสดีค่ะคุณนาคาจิมะ พอดีเอาชุดมาคืนอาคิยามะน่ะค่ะ”
“หืมมม…?”
คุณนาคาจิมะทำหน้าสงสัยแล้วหันไปมองอาคิยามะ หมอนั่นถามว่าอะไรครับ แล้วก็มองมาที่ฉัน
“อย่าบอกนะว่าที่ต้องมายืมชุดฉันก็เพราะเอาชุดตัวเองไปให้โอโตเมะจังยืมน่ะ”
“…ช่วยไม่ได้นิครับ ตอนนั้นสถานการณ์มันจำเป็น”
“แล้วมีหน้ามาบอกว่าลืมเอามาด้วยนะ โกหกรุ่นพี่นิสัยไม่ดีจริงๆ”
คุณนาคาจิมะตบหัวอาคิยามะไปสองที แต่ดูท่าแล้วคงเป็นการหยอกเล่นมากกว่าจะตบจริง อาคิยามะก็แค่ลูบหัวแล้วบ่นงึมงำๆ เบาๆ สุดท้ายรุ่นพี่คาวากุจิก็ต้องเป็นคนระงับเหตุให้ พร้อมเทศนาคุณนาคาจิมะต่ออีกบทนึงยาวๆ
“ทำไมเธอถึงเอามาเองล่ะ? ไม่ใช่ว่าให้ฝากคุณคาวากุจิมาหรอกหรอ?”
อาคิยามะหันมาถามฉันที่ยืนหิ้วถุงมองดูรุ่นพี่คาวากุจิสวดคุณนาคาจิมะอยู่
“อ่อ รุ่นพี่คาวากุจิชวนมาน่ะ อีกอย่างมันก็ไม่ไกลด้วย ฉันเลยอยากเอามาคืนเอง อ่ะ ขอบคุณมากนะที่ให้ยืม”
“ไม่เป็นไร”
อาคิยามะรับถุงกระดาษไปเปิดดูของข้างในก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามฉัน
“นี่เพื่อนเธอหรอ?”
“เอ๊ะ? อ่อ…ใช่ นี่เพื่อนสนิทฉันเอง อาโออิ เซริ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะอาโออิ เซริ เองค่ะ”
เซริทักทายอาคิยามะอย่างเป็นกันเองพร้อมกับยื่นมือให้จับ ฉันเห็นอาคิยามะชะงักไปนิดนึงพร้อมกับมองมือของเซริแต่ก็ไม่ได้ยื่นมือมาจับ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาคิยามะ เออิชิ ครับ”
เขาแนะนำตัวเองพร้อมกับบบอกเหตุผลที่ไม่จับมือเธอเพราะว่ามือตัวเองเปียกเหงื่อ เดี๋ยวเธอจะเลอะไปด้วย เซริก็ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไรเธอไม่ถือ
เดี๋ยวนะ…ไม่ถือนี่คือจะจับมือเขาให้ได้ว่างั้น
อาคิยามะลังเลนิดนึงก่อนจะเทน้ำจากขวดล้างมือแล้วสะบัดๆ ก่อนจับมือเซริตอบ
“ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”
ไม่รู้คิดไปเองไหม แต่รู้สึกเหมือนเซริจะแอบเหล่มาทางฉันแวบนึงก่อนที่ทั้งสองจะปล่อยมือกัน
“เธอจะกลับเลยหรอเปล่า?”
อาคิยามะหันกลับมาถามฉัน ดูแล้วเขาไม่ได้สนใจเซริเท่าไรแฮะ
“อืมม เดี๋ยวก็คงกลับแล้ว ตั้งใจเอาชุดมาคืนนายอย่างเดียวด้วย”
“งั้นหรอ”
“แล้วนายจะกลับเมื่อไรหรอ?”
“น่าจะเล่นกันอีกเกมหรือสองเกมน่ะ ฉันไม่ค่อยได้มาเล่น มาทีพวกรุ่นพี่ชอบดึงตัวไว้ไม่ยอมให้กลับ”
“ฮ่าๆ ลำบากแย่เลยนะน่ะ”
“นานๆ ทีก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คนพวกนี้ชวนมาเล่นทุกวัน เด็กมหาวิทยาลัยนี่เวลาว่างเยอะกันจริงๆ”
“เอ๊ะ? พวกเขาไม่ใช่เพื่อนนายหรอกหรอ?”
“ไม่หรอก คนพวกนี้มาจากหลายๆ ที่ มีทั้งเด็กมหาวิทยาลัยไปจนถึงคนที่ทำงานแล้วมารวมตัวกัน สลับๆ กันมาเล่น”
“เอ๋… งั้นนายก็เด็กสุดเลยอ่ะดิ”
“ก็น่าจะนะ ฉันยังไม่เคยเจอคนรุ่นเดียวกันเลย”
“เอ๋…”
“อะไร?”
“แต่นายดูกลมกลืนกับพวกเขานะ”