ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ – ตอนที่ 47

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

           ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต

           วันเวลาผ่านไปไวเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง เพียงเผลอตัวแปบเดียววันนี้ก็กลายเป็นวันที่ต้องมาโรงเรียนเป็นวันสุดท้ายของเทอมนี้แล้ว

           ตลอดระยะเวลาเกือบๆ หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเวลาชีวิตของผมหมดไปกับการเดินทางไป – กลับ โรงเรียน การเที่ยวเล่นสนุกสนานกับพวกโคสุเกะ การทำงานบ้าน การทบทวนหนังสือ การติวข้อสอบให้รุ่นพี่ การเล่นบาส และการออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ อีกนิดหน่อย

           การออกมาใช้ชีวิตคนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายในตอนแรก แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินความสามารถของตัวผม แถมพอสามารถจัดการตัวเองได้แล้ว ก็รู้สึกว่าการอยู่แบบนี้เป็นอะไรที่สบายใจที่สุดแล้ว

           แม้จะมีปัญหาหรือเรื่องปวดหัวบ้างแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แถมได้เรียนรู้อีกสิ่งสำคัญหนึ่งขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือเงิน

           เงิน…คือตัวช่วยในการแก้ปัญหาของชีวิต

           ตัวผมที่ได้เงินจากมรดกที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้รวมๆ แล้วก็มีมากโข ขอแค่ผมไม่สุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่รู้เรื่อง ผมมั่นใจว่าตัวเองจะมีกินมีใช้ไปได้จนจบมหาวิทยาลัยแบบสบายๆ

           เมื่อแรกที่ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านผมเอาเงินตัวเองออกมาซื้อของค่อนข้างมาก เนื่องจากข้าวของเครื่องใช้เดิมถูกขายหรือไม่ก็ทิ้งไปตอนที่แม่เสียชีวิต พวกเขาทิ้งหมดแทบไม่เหลืออะไรไว้ โดยเฉพาะบรรดาภาพถ่ายนี่เหลือแต่เถ้าถ่านเท่านั้นตอนที่ผมกลับมา

           เสียงเฮดังขึ้นมาในห้องปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ความคิดของตัวเอง หันไปมองหน้าห้องก็เห็นเพียงความว่างเปล่า เคนจังคงจบการโฮมรูมวันสุดท้ายแล้วเดินออกไปแล้ว พวกเพื่อนๆ เลยโฮ่ร้องยินดีต้อนรับการปิดเทอมอย่างเป็นทางการ

           แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ดีใจกัน ผมมองเห็นเพื่อนร่วมห้องเกือบครึ่งนั่งคอตก บางคนก็กำลังปลอบเพื่อนตัวเอง ดูจากสภาพแล้วคนพวกนี้คือคนที่ต้องมาเรียนเสริมเพื่อให้ผ่านเกณฑ์การเลื่อนชั้นที่จะตัดสินกันในเทอมหน้า

           ขณะที่กำลังเหม่อมองไปรอบๆ ห้อง พวกโมโมสุเกะก็เดินเข้ามาเรียกผม พวกเขาสะพายกระเป๋าพร้อมสำหรับการกลับบ้านเต็มที่ ไม่ซิ… ต้องบอกว่าพร้อมไปเที่ยวมากกว่า

           วันนี้พวกเราสี่คนนัดกันแล้วว่าจะไปค้างบ้านผม ที่จริงพวกโมโมสุเกะร่ำร้องอยากจะไปตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้วแต่ผมไม่อนุญาต เนื่องจากยังการจัดสิ่งต่างๆ ได้ไม่เรียบร้อยดี

           แต่ตอนนี้เกือบทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว การจะเตะถ่วงเวลาออกไปอีกก็เลยทำไม่ได้แล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ทำด้วย

           ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อยเพื่อยืดกล้ามเนื้อที่หดตัวจากการนั่งท่าเดิมนานๆ จากนั้นก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องพร้อมกับทุกคน

           “นี่ๆ ถ้าไปบ้านนายแล้วพวกเราจะได้กินข้าวฝีมือคุณโอโตเมะมั้ยอ่ะ?” 

           โมโมสุเกะ สหายสายเขมือบถามขึ้นระหว่างที่พวกเรากำลังเดินไปยังสถานีรถไฟด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

           ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าตอนนี้เขาน่าจะใช้ฟิลเตอร์หน้าเด็ก ทำตาปริบๆ แบบตัวการ์ตูนเด็กน้อยกำลังอ้อนวอนผู้ใหญ่อยู่

           “มีแต่ฝีมือฉันนี่แหละ” 

           ผมตัดบัวแบบไม่เหลือใยให้โมโมสุเกะเหลือความหวังแปลกๆ ใดๆ ทั้งสิ้น

           ที่ว่าความคาดหวังแปลกๆ นั้นมันมีที่มาที่ไปอยู่ ที่ไปที่มานั้นคือชายที่ชื่อว่า นาคาจิมะ ยูทากะ

           ใช่ครับ…รุ่นพี่นาคาจิมะนั่นแหละ

           ตั้งแต่ที่รุ่นพี่โพล่งเรื่องที่ผมกับโอโตเมะต่อล้อต่อเถียงกันที่สนามบาสวันนั้นออกไปในรูปแบบของคู่รักงอนง้อกัน เจ้าเพื่อนทั้งสามของผมก็ได้ปักใจเชื่อไปแล้วว่าโอโตเมะคือแฟนสาวที่ผมแอบซ่อนไว้ที่บ้าน

           แน่นอนว่าทั้งสามคนไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีเอาซะเลยเพราะว่ามันไม่ใช่ความจริง แต่อธิบายไปก็เหนื่อยเปล่า ทั้งโคสุเกะ โมโมสุเกะ แม้กระทั่งจินต่างก็ไม่ฟังอะไรและร่วมกันจินตนาการอะไรแปลกๆ ไปแล้ว

           “เอาน่า เดี๋ยวไปถึงเราค่อยไปสำรวจร่องรอยของแฟนสาวที่บ้านเออิชิก็ได้ ถึงตัวจะไม่อยู่แต่คงเหลือหลักฐานอะไรบ้างอยู่แล้ว” 

            [‘ไม่มีหรอกเฟ้ยยย…’] 

           ผมเถียงกลับโคสุเกะที่ปลอบโมโมสุเกะซึ่งกำลังผิดหวังจากข้าวเย็นของแฟนเพื่อนอยู่ในใจ ไม่รู้จะพูดกับเจ้าพวกนี้ยังไงให้เข้าใจดี

           พวกเราลงรถไฟและเดินออกจากสถานีตอนราวๆ บ่ายโมงเห็นจะได้ พอเดินผ่านหน้าโรงเรียนฮิบิยะ เจ้าสามหน่อนั่นก็ทำตาโต โคสุเกะที่คุยโม้กับโมโมสุเกะอยู่ข้างหลังดึงเสื้อผมยึกๆ

           “…มีอะไร?” 

           ผมหันไปถามเพื่อนที่มัวแต่มองไปที่หน้าประตูโรงเรียน

           “นี่เออิชิ ไม่ใช่ว่าท่านเทพธิดากับแฟนนายเรียนอยู่ที่นี่หรอ?” 

           “อืม…” 

           ผมตอบไปแบบส่งๆ แล้วก็เดินต่อ แต่โมโมสุเกะกลับดึงผมไว้อีกครั้ง หนนี้ผมชักรำคาญนิดๆ แล้ว

           “บ้านนายอยู่แถวๆ นี้หรอ?” 

           “ใช่” 

           “งี้ก็มารอรับแฟนกลับบ้านได้ทุกวันเลยซิ” 

           “ฉันจะบอกพวกนายเป็นครั้งสุดท้ายนะ ฉันยังไม่มีแฟน ไม่ได้คบกับใครหรืออะไรทั้งนั้น แล้วก็ถ้าอยากจะไปบ้านฉันก็ตามมา แต่ถ้าสนใจโรงเรียนนี่นักก็ยืนดูอยู่ตรงนี้ไป” 

           พูดจบแล้วผมก็ไม่สนใจโมโมสุเกะกับโคสุเกะที่ยืนทำหน้าเหวออยู่ หันกลับมาเดินต่อโดยมีเป้าหมายเป็นซูเปอร์มาเกต

           วันนี้มีคนมาเพิ่มอีก 3 คน ของที่เหลือในตู้เย็นคงไม่พอ ยิ่งเจ้าโมโมสุเกะด้วยแล้วน่าจะต้องเพิ่มมื้อพิเศษตอนดึกด้วย

           ผมเดินไปคิดเรื่องของกินไปเรื่อยๆ จนจินที่เดินเงียบๆ อยู่ข้างๆ เอ่ยกับผมเบาๆ

           “นายอย่าถือสาสองคนนั่นเลย สองคนนั้นไม่ได้จะตั้งใจกวนนายหรอก ก็แค่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากไปเท่านั้น” 

           ผมมองจินที่ปกติไม่ยอมแม้แต่จะอ้าปากแต่ตอนนี้กลับยอมพูดอธิบายซะยืดยาว

           “ทำตัวเป็นเด็กผู้หญิงไปได้” 

           “ทำไงได้ โรงเรียนเรามีแต่ผู้ชายนิ หาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ได้ง่ายซะที่ไหน” 

           “มันก็จริง” 

           ผมบอกจินแบบนั้นพร้อมกับเหลือบไปมองโคสุเกะกับโมโมสุเกะที่เดินคอตกอยู่ข้างหลัง

           “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ได้โกรธอะไรจริงจัง ฉันแค่ไม่อยากให้เจ้าพวกนั้นพูดอะไรไม่คิดแบบนั้น มันจะไม่ดีกับโอโตเมะ ถ้าคนอื่นได้ยินจะเข้าใจผิด” 

           จินมองหน้าผมแล้วยิ้มออกมา

           “เป็นห่วงเธอ?” 

           “นายก็รู้นิว่าพวกเราโดนคนนอกมองยังไง ถ้าเธอมีข่าวลือแปลกๆ กับพวกเรา มันจะลำบากเอา” 

           “แต่ท่านเทพธิดาคาวากุจิไม่เห็นเป็นอะไรเลย” 

           “วันนี้นายพูดเยอะนะ?” 

           งั้นหรอ…จินตอบมาสั้นๆ แล้วก็กลับไปทำหน้านิ่งเหมือนเดิม ผมไม่ค่อยเข้าใจจินนักว่าเขาคิดอะไรอยู่ เราเลยเดินกลับกันเงียบๆ

           ค่ำคืนมาถึงอย่างรวดเร็ว ในบ้านที่เป็นแหล่งรวมตัวของเด็กหนุ่ม 4 คนกำลังครื้นเครงไปกับปาร์ตี้หลังมื้อเย็น

           จะเรียกว่ามื้อเย็นก็คงไม่ถูกนัก เพราะตอนที่ผมกำลังเลือกซื้อของมาทำอาหาร โมโมสุเกะกับโคสุเกะก็หอบเอาสารพัดขนมมาพร้อมกับบอกว่าคืนนี้จะมีปาร์ตี้ และปาร์ตี้ก็ต้องมีพิซซ่ากับไก่ทอด เพราะงั้นซื้อแค่ขนมกับน้ำพอ

           เพราะงั้นมื้อเย็นที่ว่าเลยรวมเข้าไปในงานปาร์ตี้ หรือจะเรียกว่างานปาร์ตี้เป็นมื้อเย็นดี…

           “เอาหล่ะ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว พวกเรามาเล่นเกมดีกว่า” 

           โมโมสุเกะที่มือซ้ายถือแก้วโคล่า มือขวาถือน่องไก่ที่ยังกินไม่หมดโบกไปโบกมาร้องเรียกทุกคน

           “เอาๆๆ เล่นอะไรๆ” 

           โคสุเกะรีบร้องรับแล้วมานั่งลงหน้าที่โต๊ะทันที ผมกับจินที่ล้างจานชามที่ไม่ใช้แล้วเสร็จจึงเดินตามมานั่งล้อมโต๊ะตาม

           “Truth or Dare” 

           “เหหหห…เกมของพวกผู้ใหญ่นั่นอ่ะนะ” 

           “ใช่ แต่ไม่ต้องกลัวไป พวกเราดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้เพราะงั้นก็ดื่มน้ำมะเขือเทศแทน ฮ่าๆๆๆ” 

           โมโมสุเกะก้มหยิบน้ำมะเขือเทศกล่องใหญ่ออกมาวางบนโต๊ะพร้อมกับหัวเราเหมือนพวกตัวร้ายในละคร

           ผมกับจินนั่งฟังโคสุเกะกับโมโมสุเกะพูดกัน ดูแล้วกติกาการเล่นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ปกติในวงดื่มของพวกผู้ใหญ่จะใช้ขวดเหล้าหมุนปากขวดไปตรงกับใครคนคนนั้นจะต้องทำตามคำสั่งของคนในวงหรือตอบความจริง ถ้าไม่ทำก็ต้องดื่มแทน

           โมโมสุเกะดัดแปลงกติกานิดหน่อยเปลี่ยนจากดื่มเหล้าเป็นดื่มน้ำมะเขือเทศแทน แน่นอนว่าไม่มีใครที่บ่นอะไรออกมา มีแต่คนที่ร้องอี๋ออกมาเท่านั้น

           “เราไม่มีขวดเหล้าเพราะงั้นใช้แอพสุ่มในโทรศัพท์แทนเอาละกัน” 

           โมโมสุเกะวางโทรศัพท์ที่บนหน้าจอแสดงภาพวงล้อที่มีชื่อพวกเราสี่คนอยู่ ผมประหลาดใจเล็กน้อยที่เขาจัดเตรียมอุปกรณ์การเล่นเกมได้พร้อมโดยใช้เวลาสั้นๆ ได้

           เราสี่คนรินน้ำมะเขือเทศใส่แก้วของตัวเอง โคสุเกะเช็กว่ารินได้ระดับเท่ากันแล้วก็ส่งสัญญาณให้โมโมสุเกะเริ่มเกมได้

           “เอาละน้าาา…” 

           โมโมสุเกะส่งเสียงร้องอย่ากระตือรือร้นพร้อมกับกดลงบนหน้าจอโทรศัพท์ วงล้อในหน้าจอเริ่มหมุน มองเห็นชื่อของพวกเราวิ่งวนจนเห็นเป็นเส้นสีขาวบนพื้นสีต่างๆ ของวงล้อ

           ผมมองดูวงล้อสุ่มชื่อที่กำลังหมุนอยู่ในใจก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ แม้จะคิดว่าตัวเองไม่ได้เกลียดน้ำมะเขือเทศ แล้วก็ไม่มีเรื่องที่น่าจะเป็นความลับอะไร แต่พอคิดว่าคนที่โดนสุ่มอาจจะเป็นตัวเองแล้วก็อดตื่นเต้นนิดๆ ไม่ได้

           วงล้อหมุนช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุด แล้วชื่อที่ออกมาก็คือ จิน

           ฟูจิชิมะ จิน เด็กชายผู้ปกติมักทำหน้าตายไร้คำพูด จะเป็นคนแรกที่ถูกสังเวยในเกมนี้

           “เอ้ามา!! ใครจะถามก่อนดี? “

           “งั้นฉันเองๆ” 

           โคสุเกะเสนอตัวเป็นผู้ถามคนแรก แล้วหันไปมองทางจินที่นั่งหน้านิ่งอ่านอารมณ์ไม่ออก

           “คำถามแรก รักแรกของนายเป็นใคร?” 

           สิ้นคำถามของโคสุเกะ โมโมสุเกะก็หัวเราะชอบใจบอกว่าถามได้ดี ผมนั่งมองพวกเขางงๆ ไม่ค่อยเข้าใจนัก ก็ในเมื่อพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วทำไมถึงได้ไม่รู้เรื่องนี้กัน

           โคสุเกะที่นั่งตรงข้ามกับผมคงเห็นผมทำหน้างง เลยอธิบายให้ผมฟัง

           “จินน่ะไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย ฉันกับโคสุเกะถามหลายทีแล้วก็ไม่ยอมบอก ไม่รู้จะหวงทำไม ฮ่าๆๆ” 

           ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้วก่อนจะหันไปทางจิน เห็นเขายังคงมีใบหน้านิ่งๆ ไม่หือไม่อือเหมือนเดิม

           “เอ้าๆๆ จะตอบหรือจะดื่ม?” 

           โมโมสุเกะเร่งเร้าจินที่นั่งนิ่งอยู่ เขาหันหน้ามองทุกๆ คนงรอบโต๊ะ สุดท้ายก็หันไปจ้องโมโมสุเกะที่ยิ้มกริ่มราวกับกำชัยชนะไว้ในมือ

           “ฉัน…” 

           ควับ…อึกๆๆๆๆ …

           ด้วยความรวดเร็ว จินคว้าแก้วน้ำมะเขือเทศตรงหน้าแล้วกระดกมันลงไป ไม่ถึง 5 วินาที แก้วเปล่าก็วางอยู่ตรงหน้าเขา

           โมโมสุเกะมองแก้วเปล่านั้นแล้วก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

           “ทั้งที่ไม่ชอบน้ำมะเขือเทศขนาดนั้นแท้ๆ ยังยกซดหมดแก้วรวดเดียวได้ ยอมนายจริงๆ” 

           ผมหันไปมองจินที่ตอนนี้รินน้ำมะเขือเทศแก้วใหม่ด้วยใบหน้านิ่งๆ งี้เองหรอ จินเองก็ไม่ชอบน้ำมะเขือเทศซินะ

           “มาๆๆ รอบที่สอง พร้อมนะ เอ้า…” 

           วงล้อมหมุนไปอีกครั้งและในครั้งนี้เป็นคราวซวยของผมเอง

           โมโมสุเกะกับโคสุเกะหันมองหน้ากันแล้วยิ้ม ผมมองแล้วเผลอจินตนาการเสียงพูดของพวกเขาในหัวว่า

           [‘นายคิดเหมือนฉันมั้ย B1’] 

           [‘ฉันก็คิดเหมือนกับนายเลย B2’] 

           ออกไปจากหัวของฉันนะเจ้ากล้วยบ้า…

           “เออิชิเพื่อนรัก สำหรับคำถามของนายคือ…” 

           หนนี้โคสุเกะก็ยังเป็นคนถาม แต่จะเกริ่นให้ดูน่าตื่นเต้นทำไมล่ะนั่น

           “นายชอบอะไรในตัวโอโตเมะจังมากที่สุดเอ่ย?” 

           “เอ๋??” 

           ผิดคาด ผมคิดว่าจะถามว่าผมคบโอโตเมะอยู่ใช่มั้ย หรือไปพบรักกันยังไง ถ้าแบบนั้นก็สามารถตอบได้ทันทีว่าไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้น แต่พอถามมาแบบนี้ถ้าบอกว่าไม่มีก็ถือเป็นการโกหกน่ะซิ

           “อืมมม…ส่วนที่ชอบงั้นหรอ…” 

           ผมแสร้งทำเป็นนึกเพื่อถ่วงเวลา กำลังคิดอยู่ว่าจะบอกไปตามตรงหรือแสร้งตีมึนกลบเกลื่อนไปดี แต่พอเห็นแววตาของเพื่อนที่มองมาเหมือนลูกหมาอ้อนเจ้าของแล้วก็รู้สึกแย่ถ้าตอบไปแบบไม่ใส่ใจ

           “…ที่ชอบที่สุด น่าจะดวงตานั่นแหละนะ” 

           “เหหหห…” 

           “ผิดคาด” 

           “นั่นซิ” 

           เจอคำพูดของเพื่อนทั้งสามที่แสดงความแปลกใจออกมาแล้วรู้สึกว่าตัวเองผิดแปลกไปจากคนทั่วไปยังไงไม่รู้ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่รอให้เกมรอบที่ 3 เริ่ม

           “แล้วทำไมถึงชอบอ่ะ?” 

           “นั่นเป็นคำถามที่สองแล้วนะ กติกาบอกไว้ว่าแค่คำถามเดียวต่อรอบนิ” 

           โมโมสุเกะบ่นผมที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยพลางเริ่มกดหมุนวงล้อรอบที่สาม ผมไม่ได้สนใจอะไรเขานัก พลางนั่งมองวงล้อในจอโทรศัพท์ที่หมุนไป

           เกมดำเนินไปจนกระทั่งเวลาประมาณ 5 ทุ่ม น้ำมะเขือเทศที่เตรียมมาก็หมดลง ทุกคนจึงตกลงจบเกมแค่นี้และเก็บข้าวเก็บของเพื่อไปอาบน้ำ

           แน่นอนว่าเป็นการอาบน้ำรวมตามแบบชายชาตรีของโคสุเกะ ผมขี้เกียจจะค้านเลยปล่อยตามน้ำไป แต่คิดในใจว่าถ้าเข้าไปพร้อมกันหมดจะไปอยู่ตรงไหนของห้องน้ำได้มั่ง

           กว่าความวุ่นวายในการอาบน้ำจบลงก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ตอนนี้ทุกคนกำลังเตรียมตัวนอนอยู่ในห้องของผม โดยมีผมกับจินนอนบนเตียงส่วนโคสุเกะกับโมโมสุเกะนอนฟูกอยู่ข้างๆ เพราะแพ้การเป่ายิงฉุบ

           “ปิดไฟแล้วนะ” 

           ผมบอกเพื่อนๆ ก่อนจะปิดไฟห้องนอนเหลือไว้เพียงไฟหัวนอน ก่อนจะล้มตัวลงบนที่นอนอ่อนนุ่ม

           ทันทีที่หัวสัมผัสหมอน สติก็แทบจะหลุดลอย วันนี้รู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติแต่ก็สนุกมากด้วย เป็นครั้งแรกเลยที่มีเพื่อนมาค้างที่บ้านแบบนี้ความรู้สึกแปลกใหม่หลายๆ อย่างที่ก่อนหน้านี้เคยเห็นได้จากนิยายหรืออนิเมะเวลาที่ตัวเอกไปค้างบ้านเพื่อนหรือเพื่อนมาค้างบ้านตัวเอกก็คงจะประมาณนี้เหมือนกัน

           ผมปิดไฟบนหัวนอนพร้อมจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา จินนอนนิ่งสงบเงียบอยู่ข้างๆ ส่วนข้างล่างโคสุเกะกับโมโมสุเกะยังพูดคุยกันงุ้งงิ้งไม่ยอมนอน

           ในตอนที่สติเลอะเลือนเหมือนจะได้ยินเสียงของโคสุเกะแว่วมา แยกไม่ออกว่าฝันหรือเปล่า

           “นายชอบโอโตเมะจังหรือเปล่า?” 

           ความทรงจำผมในวันนั้นหมดลงเพียงแค่นี้ บางทีนั่นอาจเป็นเพียงความฝัน และบางทีผมคงไม่ได้ตอบคำถาม ดังนั้นผมจึงจำมันไม่ได้

                                                                  —

           วันเวลาในสัปดาห์แรกของการปิดเทอมฤดูร้อนหมดไปกับการกิน ดื่ม เที่ยว เล่น นอน กับเพื่อนๆ ที่มาค้างที่บ้าน

           จากกำหนดการเดิมที่ตั้งใจว่าจะมาค้างแค่สองคืนก็ถูกขยายออกไปเป็นหนึ่งสัปดาห์ด้วยการโทรบอกทางบ้านแค่กริ๊งเดียว

           ผมเหนื่อยมากกับการเที่ยวเล่นไปพร้อมๆ กับทุกคนจนคิดว่าปิดเทอมนี้ไม่ต้องเที่ยวเล่นอีกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

           พวกเราจะตื่นนอนตอนเช้า…ไม่ซิ ตื่นตอนสายๆ หน่อย แล้วก็ค่อยๆ สลับกันไปอาบน้ำ จากนั้นก็จะนั่งประชุมวางแผนกันว่าจะกินอะไรเป็นมื้อเที่ยงในขณะที่กำลังกินมื้อเช้า เสร็จแล้วก็จะทบทวนแผนการเที่ยวเล่นที่ได้วางแผนกันไว้ก่อนนอนเมื่อคืน

           ตั้งแต่วันแรกที่ตกลงวางแผนกันไปซื้อของที่ห้างในย่านศูนย์การค้าของเมือง แน่นอนว่าเป็นห้างบันโชวที่มีทุกอย่างครบจบในที่เดียว จำได้ว่าเราเดินกันตั้งแต่เที่ยงจนค่ำ เดินกันจนขาลากแต่ก็สนุกมากที่สุดนับตั้งแต่เคยเดินห้างมา

           วันที่สองพวกเราเปลี่ยนบรรยากาศมาเล่นกันอยู่ที่บ้าน โมโมสุเกะเสนอว่าจะทำอาหารกินกันเองแล้วนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของหายนะในห้องครัว สุดท้ายก็เป็นผมกับโคสุเกะที่ต้องเข้ามากอบกู้เหตุการณ์ก่อนจะเกิดเหตุเพลิงไหม้ หรืออุบัติเหตุอะไรร้ายแรงขึ้น วันนั้นจบลงด้วยการเล่นเกมกันแบบ 4 คน ลากยาวตั้งแต่บ่ายถึงสามทุ่ม ตอนที่ลุกขึ้นมาสั่งไก่ทอดกับพิซซ่ามากินผมถึงกับรู้สึกว่าข้อต่อในร่างกายมันขึ้นสนิมแข็งไปหมดแล้ว

           วันที่สามพวกเราออกจากบ้านกันตั้งแต่สิบโมงเช้า จุดหมายปลายทางคือทะเลที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออก ต้องนั่งรถไฟและรถประจำทางรวมกันกว่า 2 ชั่วโมง

           ไปถึงที่หมายก็เวลาก็ล่วงเลยไปเที่ยงกว่า เราเลยตกลงหาของกินก่อนแล้วค่อยไปเล่นน้ำกัน แต่ยังไม่ทันกินเสร็จฝนก็ตกลงมา สรุปว่าวันนั้นเราไม่ได้เปียกแม้แต่ละอองน้ำทะเล

           แต่โชคยังดีอยู่เล็กน้อยที่ที่นั่นมีโรงแรมที่มีบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งอยู่ หลังจากคุยกันเสร็จสรรพแล้วก็ตกลงกันว่าจะค้างคืนกันที่นั่นแล้วค่อยกลับวันพรุ่งนี้

           คืนนั้นเราแช่น้ำผุร้อนกัน รู้สึกผ่อนคลายสบายไปทุกอณูจนเผลอครางแปลกๆ ออกมา แถมก่อนนอนโมโมสุเกะยังก่อสงครามขว้างหมอนอีก กว่าจะจบเรื่องแล้วนอนได้ก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว

           วันที่สี่ท้องฟ้าสดใสแต่เช้า หลังกินข้าวกินปลาที่ทางโรงแรมจัดมาให้แล้วพวกเราก็เช็กเอาท์ออก แต่แทนที่จะกลับบ้านพวกเรามุ่งหน้าไปชายหาดที่เมื่อวานไม่มีแม้แต่โอกาสจะมาเดินเล่น

           หลังจากเปลี่ยนชุดและฝากของที่บังกะโลใกล้ๆ พวกเราสี่คนก็วิ่งลงทะเลกันแบบไม่แคร์สายตานักท่องเที่ยวแถวๆ นั้น

           พอเล่นกันไปสักชั่วโมงนึงก็ชักคอแห้ง เลยขึ้นฝั่งมานั่งกินน้ำแข็งไสกันพร้อมกับมองบรรดาสาวๆ น่ารักๆ ที่มาเที่ยวทะเลหน้าร้อนเป็นอาหารตาไปด้วย แล้วจู่ๆ โมโมสุเกะกับโคสุเกะก็เกิดคึกบอกว่าจะไปจีบสาวก่อนจะลุกเดินออกไป ทิ้งผมกับจินให้นั่งงงมองทั้งสองเดินจากไป

           พออยู่กันไม่ครบผมกับจินก็ขี้เกียจจะไปเล่นน้ำต่อเลยตัดสินใจไปเช่าเสื่อกับร่มมาปูนอนรอทั้งสองคน แต่การนอนกลับถูกรบกวนโดยพี่สาวที่อธิบายว่าตัวเองเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยโตเกียว อยากจะชวนพวกเราไปเล่นน้ำกัน

           แน่นอน ใครจะไปปฏิเสธเล่า

           หลังจากเล่นน้ำก็ไปกินน้ำแข็งไส ก่อนแยกย้ายก็ยังได้แลกเบอร์ติดต่อของพวกพี่สาวมาอีก

           ตอนเย็นกลับมาเจอโมโมสุเกะกับโคสุเกะที่นั่งคอตกอยู่ ผมเลยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่ยังฟังไม่ทันจบทั้งสองก็ลุกขึ้นมาไล่เตะผมเสียก่อน

           เฮ้อออ…นิสัยไม่ดีเลยจริงๆ

           วันที่ห้าพวกเราตื่นสายกันทุกคน เนื่องจากเมื่อวานใช้แรงกันมาทั้งวัน เมื่อคืนเลยไม่ได้วางแผนสำหรับวันนี้ หลังกินอาหารเช้ากันแล้วก็นั่งๆ นอนๆ เล่นเกมกันจนบ่าย แล้วก็หลับกันไปจนถึงเย็นก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน เป็นอันจบทริปนอนค้างบ้านเพื่อนในช่วงปิดเทอมหน้าร้อนแรกของชีวิต ม.ปลาย ของผมกับเพื่อนๆ

           หลังส่งทุกคนที่สถานีแล้วผมก็กลับมาบ้านของตัวเอง เปิดประตูบ้านแล้วก็รู้สึกว่าบ้านโล่งและเงียบผิดปกติ คงเป็นเพราะเคยชินกับการที่ทุกคนอยู่ด้วยกันมาหนึ่งสัปดาห์เต็ม พอตอนนี้ต้องมาอยู่คนเดียวแล้วก็รู้สึกเหงานิดๆ

           นับตั้งแต่จบ ม.ต้น มานี่ถือเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขจริงๆ โดยไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องอื่นใด แม้จะเหนื่อยมากๆ ที่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว แต่ก็มีความสุขมากๆ แม้จะไม่ใช่คนในครอบครัวก็ตาม

           หลังจากนี้โคสุเกะกับโมโมสุเกะมีแพลนจะไปเที่ยวกับครอบครัว จินเองก็จะไปต่างจังหวัดเห็นว่ากลับไปบ้านเดิมของพ่อกับแม่ ดังนั้นกว่าจะเจอกันอีกก็คงเปิดเทอมโน่นเลย

           “เอาเถอะ เราเองก็ใช่ว่าจะว่าง การบ้านก็ยังไม่ได้ทำ แล้วไหนจะต้องติวให้รุ่นพี่อีก จะมามัวเอื่อยเฉื่อยคงไม่ได้เหมือนกัน” 

           ผมปัดความคิดฟุ้งซ่านและความเหงาออกจากหัวตัวเองแล้วเดินเข้าครัวเพื่อเริ่มทำอาหารเย็น แต่บ้านก็เงียบเกินไปผมเลยเปิดทีวีทิ้งไว้

           เสียงจากทีวีดังขึ้นมา นักข่าวกำลังรายงานข่าวสารเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ ผมไม่ได้ตั้งใจฟังมันนักเพราะเตรียมอาหารเย็นไปด้วย

           …ก็แค่ไม่อยากให้บ้านเงียบ เลยเปิดไว้

           ปิดเทอมหน้าร้อนแรกของการอยู่คนเดียวของผมเริ่มต้นขึ้นจริงๆ แล้ว

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

Status: Ongoing
อาคิยามะ เออิชิ เด็กหนุ่มที่เคยมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม… วันแรกของชีวิต ม.ปลาย เขาถูกรุ่นพี่ลากไปพัวพันกับการมีเรื่องทะเลาะวิวาทและจบลงด้วยการพาไปเลี้ยงอาหารขอโทษ ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กสาวผู้มีนัยน์ตางดงาม โอโตเมะ อามายะ แต่เธอกลับมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม?” ประโยคเปิดตัวที่ไม่ธรรมดา จะนำพาความสัมพันธ์ของพวกเขาไปในทิศทางใด…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท